ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 เรื่องเล่าแห่งยุคเปลวอัคคี!

บทที่ 1 เงาปีศาจในระยะเวลาหลายพันปี!!!


ท้องฟ้าที่อยู่ภายใต้ความการครอบงำของเงามารสลายวิญญาณ ที่มันปกคลุมไปไปทั่วอาณาบริเวณอันแสนกว้างใหญ่แห่งนี้ แม้จะมีเมฆหมอกสีขาวโพลนปกคลุมก็ตาม แสงแดดที่สาดส่องลงบนหุบเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของ

นิกายกระบี่เทพมังกรฟ้า

วิหารบนยอดเขาที่มีแสงสีทองของดวงอาทิตย์สาดส่องเรืองรองเข้ามาทุกทิศ ทุกทาง มองดูมันส่องประกายแสงสีทองระยิบระยับไปทั่วหุบเขาทั้งลูก เบื้องหลังจากแสงสะท้อนบนทะเลหมอกที่ปกคลุมยอดเขาทั้งลูกนี้  มันช่างเป็นภาพที่งดงามและน่าตราตรึงยิ่งนัก

วิหารสีทองอันงดงามแห่งนี้ถูกสร้างอยู่ระหว่างหุบเขาที่ถูกรายล้อมด้วยทะเลหมอกนั้น ทำให้ดูสง่างามและน่าเลื่อมใสยิ่งนัก

พื้นที่อันรกร้างนั้นเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอีกสามชนเผ่าที่อาศัยอยู่ ณ นิกายกระบี่เทพมังกรฟ้าแห่งนี้!!!

และมีผู้ที่ฝึกบ่มเพาะพลังปราณอีกนับไม่ถ้วน ณ นิกายแห่งนี้ และทำหน้าที่คอยปกป้องดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่กว้างใหญ่ เหล่าชายหญิงจากชนเผ่าทั้งสามตั้งปณิธานว่า สักวันหนึ่งพวกเขาก็จะได้รับเกียรติสูงสุดในการถูกแต่งตั้งเป็นผู้พิทักษ์เพื่อเป็นเกียรติยศของตระกูล

ด้วยสภาพแวดล้อมอันรกร้างว่างเปล่า และแห้งแล้งแห่งนี้นั้น มันยากบำบากมากสำหรับชนเผ่าที่อ่อนแอที่จะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และคงล่มสลายมาช้านาน หากปราศจากนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้าอันยิ่งใหญ่แห่งนี้คอยปกป้อง!!!

ภายนอกห้องโถงของนิกายมีเหล่าสาวกนับหมื่น ทั้งผู้ฝึกบ่มเพาะพลังปราณอีกจำนวนมาก อีกทั้งเยาวชนอีกจำนวนไม่น้อยที่กำลังอยู่ในขั้นการฝึกหัดบ่มเพาะจะถูกส่งมาโดยทั้งสามชนเผ่าเพื่อมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เพื่อผู้ที่มีพลังปราณสูงส่งจะเป็นผู้ถ่ายทอด และปลูกฝังแก่คนเหล่านั้น

ซ่งหยูตื่นขึ้นมาตอนเช้า เขาตักน้ำอุ่นในถังขึ้นมาเทราดลงบนศรีษะให้ไหลลงมาที่ร่างของเขา เพื่อไล่ความหนาวเย็นซึ่งมันก็ได้ผล เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที .....

กล้ามเนื้อของเขาแข็งแกร่ง และสมส่วนพอควร ร่างกายเขานั้นเต็มไปด้วยมัดของกล้ามเนื้อ ส่วนบนหน้าอกเขามีรอยแผลเป็นลึกจากรอยเล็บของสัตว์อยู่สามแผล ด้านหลังของเขาก็ยังคงมีรอยแผลเป็นจากรอยเล็บของสัตว์อยู่จนทั่วแผ่นหลัง แม้แต่แขนซ้ายก็มีร่องรอยแผลเป็นจากรอยถูกกัด ซึ่งร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นทั้งขนาดใหญ่ และเล็ก มากมายทั่วร่างกาย ซึ่งมันช่างแตกต่างกับร่างกายของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีโดยสิ้นเชิง!!!

ซ่งหยูหยิบตะกร้าสมุนไพรขึ้นสะพายหลังเดินออกมาจากประตู และเดินลงไปตามไหล่เขา สถานะศิษย์นอกซึ่งอยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งเขาสามารถเรียนรู้เทคนิคแค่ระดับพื้นฐานของนิกายเท่านั้น แต่เมื่อหากเขาประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะขั้นพื้นฐานแล้วนั้น ก็จะกลายเป็นศิษย์ในโดยจะเริ่มต้นจากเด็กรับใช้ของเหล่าศิษย์ในก่อน และพวกเขาก็จะสามารถได้รับการฝึกฝนเทคนิคอย่างแท้จริงของนิกาย อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับศิษย์นอกจากชนเผ่าที่อ่อนแอ จะได้รับการเลื่อนตำชั้นให้เป็นศิษย์ในนั่นเอง

สำหรับสามชนเผ่าในถิ่นทุรกันดารนั้น แบ่งออกเป็นชนเผ่าเล็ก ๆ ที่มีจำนวนผู้คนนับหมื่นคน และชนเผ่าขนาดใหญ่ที่มีจำนวนผู้คนนับล้านคน และทุกคนก็ต่างขวนขวายพยามยามหาทางที่จะได้เข้าไปเป็นศิษย์ในนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้าแห่งนี้อย่างเป็นทางการ!!! ซึ่งพวกเขาอยากจะกลายเป็นหนึ่งศิษย์ในของนิกายแห่งนี้ และในที่สุดก็จะได้เลื่อนชั้นเป็นระดับการบ่มเพาะตามลำดับ

นิกายกระบี่เทพมังกรฟ้านั้นมีกฎเหล็กอยู่ว่า : หากศิษย์คนใดไม่สามารถสำเร็จการบ่มเพาะก่อนอายุสิบหกนั้นจะต้องถูกขับออกจากการเป็นศิษย์ เหล่าเยาวชนชายหญิงจากชนเผ่าที่มีอำนาจจะได้รับยาบำรุงทุกชนิดเพื่อช่วยเสริมสร้างร่างกาย ให้การบ่มเพาะของพวกเขาสำเร็จก่อนถึงอายุที่กำหนดให้ได้

แม้กระทั่งเหล่าศิษย์ที่ไม่มีพรสวรรค์ก็อาจกลายเป็นผู้สำเร็จระดับการบ่มเพาะขั้นสูงสุดได้เช่นกัน!!!

แต่ในทางกลับกัน มันอาจเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับเยาวชนที่มาจากชนเผ่าที่ยากจนไม่เคยไม่รับยาบำรุงใด ๆ มาเป็นตัวช่วยบำรุงในการฝึกบ่มเพาะนั้น และเยาวชนที่มาจากครอบครัวที่ยากจนสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือ การพึ่งพาตัวเองเท่านั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ยากมากสำหรับความสำเร็จระดับการบ่มเพาะขั้นสูงสุด

ซ่งหยูเกิดมาในชนเผ่าขนาดเล็กและยากจน และต้องทุกข์ทรมารจากความลำบากเนื่องจากชนเผ่าของเขานั้นประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี มีผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น และจะเรียกได้ว่าเป็นชนเผ่าที่มีขนาดเล็กที่สุด และทุรกันดารที่สุดก็ว่าได้

สำหรับชนเผ่าที่อ่อนแอ จึงไม่มีใครได้รับการสนับสนุน และเลื่อนชั้นเป็นผู้สำเร็จระดับการบ่มเพาะขั้นสูงสุดได้เลยแม้แต่คนเดียว!!!

ดังนั้นแม้จะมีความขวนขวายพยายามมากกว่าชนเผ่าอื่นถึงร้อยเท่า พันเท่า ซ่งหยูก็ยังห่างไกลมากหากแต่จะสำเร็จขั้นสูงสุดได้ภายในอายุที่กำหนด

นี่คือเหตุผลที่เขาต้องลงจากเขาเพื่อเสาะหาสมุนไพรยู่หลิง ซึ่งสมุนไพรบำรุงเพื่อเป็นตัวช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย สมุนไพรยู่หลิงนั้นเป็นสมุนไพรที่ใช้กันทั่วไป ที่สามารถหาเองได้ และนำมาปรุงจนเป็นเม็ดยาได้เพียงเม็ดเดียวเท่านั้น

หากเทียบกับศิษย์คนอื่น ๆ ที่สามารถหาซื้อยาบำรุงมาเป็นตัวบำรุงช่วยเสริมในการฝึกบ่มเพาะให้สำเร็จได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

สี่ชั่วยามหลังจากที่เขาลงจากหุบเขานั้น เวลานั้นเป็นเวลาเช้าตรู่เหล่าศิษย์คนอื่น เพิ่งลุกขึ้นจากเตียงนอนและเริ่มฝึกฝนเทคนิคการบ่มเพาะนั้น ทันใดนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้น และมีเสียงตะโกนดังขึ้นว่า "ขณะนี้ไอมารสลายวิญญาณกำลังเคลื่อนตัวมุ่งหน้ามาทางนี้!!! ห้ามศิษย์คนใดออกจากนิกายโดยเด็ดขาด!!!"

"และไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ออกจากหุบเขาแม้เพียงครึ่งก้าว และขอให้ทุกคนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด!!!"

สำหรับไอมารสลายวิญญาณนั้นเป็นมหันตภัยที่ร้ายกาจยิ่ง มีเพียงในนิกายเทียมฟ้าเท่านั้นที่จะสามารถเป็นที่กำบังให้ปลอดภัยได้

สำหรับผู้ฝ่าฝืนข้อห้ามจุดจบเดียว"คือความตายเท่านั้น!!!"

ข่าวนี้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็วดั่งเช่นไฟลามทุ่ง ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวายด้วยความตื่นตระหนกเกิดขึ้นในหมู่ศิษย์ทั้งหลาย และทันใดนั้นประตูอันมหึมาของนิกายก็ถูกปิดลงโดยฉับพลัน จากความสูงครึ่งหนึ่งของหุบเขา ห้องโถงที่ถูกปกคลุมด้วยเมฆหมอกที่หนาทึบ ก็ได้ปรากฎแสงสีทองเรืองรองออกมาจากยอดเขาที่สาดส่องเข้ามาสู่วิหารของนิกายที่สูงเสียดฟ้า ทำให้เปล่งประกายด้วยแสงสีทองสว่างไสวไปทั่ว นี่นับเป็นครั้งแรกที่เหล่าสาวกนอกได้พบเจอกับสถาณการณ์ที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้

ในทุก ๆ สิบปีจะเกิดปรากฎการณ์ไอมารสลายวิญญาณเกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวแม้กระทั่งผู้ที่สำเร็จการบ่มเพาะขั้นสูงสุดก็มิอาจจะต่อกรกับพวกมันได้ และทุกครั้งที่พวกมันปราฏตัวขึ้นและย่างกรายเข้ามายังพื้นที่ใดนั้นมันจะกลายเป็นพื้นที่มรณะโดยสิ้นเชิง แม้แต่หญ้าต้นเดียวก็มิอาจที่ยืนต้นต่อไปได้ คลื่นเสียงที่ดังกึกก้องอยู่ใต้พื้นดินคล้ายกับเป็นเสียงเคลื่อนไหวของเหล่าปีศาจ และสัตว์อสูรทั้งหลายที่กำลังเคลื่อนไหว และพวกมันจะนำความตายไปสู่ทุกพื้นที่ที่พวกมันเคลื่อนตัวผ่าน

ทันใดนั้นได้ปรากฎหมอกควันสีดำพวยพุ่งขึ้นมาดั่งน้ำพุมาจากหุบเขาใกล้ ๆ หมอกควันสีดำนี้ได้กระจายตัวลอยไปอย่างรวดเร็วในทุกทิศทุกทางในอากาศ

"ไอมารสลายวิญญาณ!!! เหตุใดจึงมาเร็วเช่นนี้?ตามคาดการณ์แล้วอีกห้าวันถึงจะครบสิบปีเต็มมิใช่หรือ???"ศิษย์ในคนหนึ่งบ่นพึมพำกับตัวเอง

โลกใบนี้เหมือนเต็มไปด้วยความมืดมิดที่เข้ามาครอบงำโดยเงาปีศาจ แม้แต่แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ก็มิอาจจะทำให้บริเวณนี้สว่างขึ้นได้แม้แต่น้อย หมอกควันสีดำที่กำลังคืบคลานเข้ามาปกคลุมบริเวณรอบข้างต้องหยุดชะงักลงนอกหุบเขาอันเป็นที่ตั้งของนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้า เสมือนมีม่านปราการคอยขวางกั้นมิให้พวกมันคืบคลานเข้ามาภายในนิกายได้

นอกจากนี้มันยังมีเสียงคำรามที่น่าสะพรึง ดังออกมาจากหมอกควันสีดำนั่น ทุกคนที่ได้ยินต่างพากันหวาดกลัว และอาจจะมีบางครั้งที่เสียงคำรามที่ดังกึกก้องเล็ดลอดทะลุผ่านปราการเข้ามาภายในนิกาย ทำเอาเหล่าศิษย์ทั้งหลายต่างพากันตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ด้านหน้านิกายกระบี่เทพมังกรฟ้านั้น มีผู้อาวุโสของนิกายบางคนกำลังทอดสายตามองไปยังไอมารสลายวิญญาณอันน่าสะพรึงนั้นด้วยแวดตาที่ยากที่จะต่อกรกับพวกมันได้ ผู้อาวุโสท่านหนึ่งได้เอ่ยขึ้น "แล้วเจ้าศิษย์นอกที่ลงจากเขาไปข้าเกรงว่า.....เขาอาจจะมิได้กลับมาอีก!!!"

ส่วนซ่งหยูที่กำลังเดินทางปลายทางที่เขากำลังมุ่งไปคือหุบเขา"จูหยุน"มันเป็นหุบเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์ และเต็มไปด้วยสมุนไพรต่าง ๆ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้า แม้ว่าเขาจะไม่สามารถที่จะฝึกฝนเทคนิคในการบ่มเพาะได้ก็ตาม แต่ช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่เขาเป็นศิษย์นอกของนิกายกระบี่เทพมังกรฟ้านั้น เขาก็พยายามฝึกฝนร่างกายของตนเองโดยการเดินข้ามภูเขาในช่วงระยะเวลาหลายปี จนทำให้เขาสามารถเดินข้ามภูเขาหลายลูกได้อย่างง่ายดาย.....แสงแดดที่สาดส่องไปยังหุบเขาจูหยุนนั้น บางคราเขาก็ได้ยินเสียงคำรามจากสัตว์ป่าอยู่เนือง ๆ

หุบเขาจูหยุนนั้นไม่มีใครกล้าจะย่างกลายเข้ามาล่าสัตว์ เพราะมีเหล่าสัตว์ร้ายอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

ซ่งหยูจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินทางเป็นพิเศษ และมองไปรอบๆ ไม่ช้าเขาก็พบสมุนไพรที่ต้องการ

"สมุนไพรอื่น ๆ ข้าก็หาจนครบแล้ว ขาดเพียงแต่เห็ดหลินจือสวรรค์เท่านั้นที่ยังหาไม่ได้!!.......สวรรค์ขอให้วันนี้ข้าได้พบกับมันด้วยเถอะ"

เขาได้เดินผ่านหุบเขาและสันเขาอีกหลายลูกจนเกิดเความรู้สึกท้อแท้.....

แต่....ทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของเห็ดหลินจือสวรรค์ ลอยมาแต่ไกล มันดูช่างยากเย็นในการตามกลิ่นของมัน เพราะบางคนอาจจะสับสนกลิ่นเฉพาะของมันที่มีถึงห้ากลิ่น การจะตามหากลิ่นใดกลิ่นหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่นับว่าเป็นโชคดีของเขาขณะที่เดินตามกลิ่นเข้ามาใกล้ ๆ ก็ยิ่งได้กลิ่นหอมของมันที่ชัดเจนยิ่งขึ้น.....

กลิ่นหอมเป็นส่วนผสมเฉพาะของทั้งห้ากลิ่นของเห็ดหลินจือสวรรค์ : คือ หวาน, สดชื่น, หอม, กลมกล่อมและฉุน

เขาเดินตามกลิ่นที่มีไม่ซ้ำกันไปยังด้านหน้าผา และเอียงร่างกายเพื่อสำรวจตรงหน้าผาที่สูงชัน และเต็มไปด้วยโขดหินแหลมคม หุบเขาที่ลึกจนสุดสายตาจนแสงสว่างไม่สามารถตกลงไปถึงกึ้นบึ้งของเหวลึกได้ ซึ่งมันอยู่ห่างจากหน้าผาประมาณหนึ่งร้อยฟุต และมีหินที่แหลมคมยื่นออกมา หยดเหงื่อที่ไหลผ่านร่างกายเขาดั่งสายธาราก็มิปานในการที่จะผลักดันขีดจำกัดของร่างกายในการใช้แขนเป็นตัวช่วยพยุงในการณ์ไต่หน้าผาอันสูงชันของเขา

"เห็ดหลินจือสวรรค์!!! โอ้สวรรค์ข้าพบมันแล้ว"

ซ่งหยูตื่นเต้นดีใจมากที่ได้พบมันเพราะมันเป็นสุดยอดสมุนไพรที่พบเจอได้ยากมาก เขาปีนหน้าผาที่สูงชันแต่ด้วยทักษะที่ดีเยี่ยมของเขาทำให้ไม่เกิดอันตรายกับเขาเลยแม้แต่น้อย

ในขณะที่อยู่ใกล้โขดหินขนาดใหญ่ และสิ่งที่มองเห็นนั้นคือเหวที่ลึก และสูงชันหากตกลงไปคงไม่เหลือแม้ซาก ในขณะที่ลมที่พัดมาจากด้านล่างของเลวลึกค่อนข้างแรงเขาจึงต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก

และในที่สุด เขาก็ไต่มาถึงโขดหินที่มีเห็ดหลินจือสวรรค์ขึ้นอยู่ เขาค่อย ๆ เก็บมันอย่างระมัดระวัง และในขณะนั้น ท้องฟ้ามืดดำลงอย่างเห็นได้ชัด เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจว่ามันเกิดะไรขึ้น

เขาเห็นนกขนาดใหญ่ บินอยู่ด้านบนของหน้าผา พร้อมกับแสงสีทองเรืองรองสว่างไสวไปทั่วปีกที่ถูกกางออกนั้นยาวประมาณ 3 เมตร มันมีปีกสองคู่ และกระพือปีกขณะที่มันพุ่งไปหาซ่งหยู กรงเล็บสีขาวที่ทรงพลังอันมหาศาลของมันนั้นแหลมคมดั่งเกล็ดน้ำแข็งก็มิปาน!!!

"น่ะ...นั่นมันคือตัวอะไรกัน?"

ก่อนที่นกยักษ์สีทองสี่ปีกนั้นกระโจนเข้ามาใกล้ตัวเขา ทำให้คลื่นลมแรงจากการกระพือปีกของมันเกือบทำให้เขาผลัดตกจากหน้าผา!!!

"ย๊ากกกกกกก!!!"

หลังจากเจ้านกยักษ์สีทองสี่ปีกกระโจนเข้าใส่ซ่งหยูนั้น เขาเห็นดังนั้นก็รีบคว้าเห็ดหลินจือสวรรค์ และรีบกระโดดลงมาจากโขดหินใหญ่ เมื่อเจ้านกยักษ์พลาดเป้าหมายก็บินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เพื่อค้นหาร่างของซ่งหยู ในขณะที่เขาใช้ความปราดเปรียวใช้เถาวัลย์โหนมาหลบใต้โขดหินใหญ่โดยทันที

เจ้านกยักษ์มัซึ่งพละกำลังมหาศาล ด้วยแรงกระพือปีกของมันที่รุนแรงเทียบได้กับคลื่นพายุใต้ฝุ่นขนาดมหึมาเลยทีเดียว และมันพร้อมที่จะโจมตีครั้งที่สอง เมื่อซ่งหยูโหนเถาวัลย์เลื่อนไปตามหุบเหวลึก ส่วนเจ้านกยักษ์ที่กำลังมองหาเป้าหมายอยู่กลางอากาศนั้น ทันใดนั้นก็ได้เกิดเมฆหมอกสีดำปกคลุมทั่วสันเขาและบริเวณนั้นมันคือไอมารสลายวิญญาณ! ซ่งหยูเงยหน้าขึ้น และเห็นว่าท้องฟ้ากำลังมืดดำ

แสงจ้าที่แวบวาบขึ้นมาจากด้านล่างของหุบเขานั้น ซ่งหยูเองก็มิอาจรู้ได้ว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงลมที่พัดมาจากเหนือศรีษะของเขา และสิ่งที่เขาเห็นนั่นคือสิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดคือ โครงกระดูกขนาดยักษ์ตกพรวดลงมาจากอากาศผ่านหน้าเขา และพุ่งลงสู่หุบเหวอย่างรวดเร็ว

ความหวาดกลัวได้เกิดขึ้นในทันใดเพราะนั่นคือ โครงกระดูกของเจ้านกยักษ์สีทองสี่ปีกนั่น!!!

ในเวลาเพียงชั่วครู่ดูเหมือนว่านกยักษ์สีทองสี่ปีกถูกกลืนกินโดยสิ่งที่อยู่ในหมอกควันสีดำนั่นจนเหลือแต่โครงกระดูกเท่านั้น

ซ่งหยูตื่นตระหนกสุดชีวิตเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองเห็นหมอกควันสีดำที่ตกลงมาสู่หน้าผาด้วยแรงกดดันอันมหาศาล เขาโหนเถาวัลย์หลบหลีกตามร่องโขดหินอย่างช่ำชอง แต่ทว่าด้วยน้ำหนักตัวของเขาที่ต้องโหนมาเป็นระยะเวลานานจึงทำให้เถาวัลย์เกิดการเสียดสีตามโขดหิน และฉีกขาดในที่สุดทำให้เขาร่วงตกลงจากหน้าผาที่สูงชัน

ในความหวาดกลัวแทบสิ้นสตินั้น เขาพยายามเอื้อมมือออกไปในทุกทิศทาง และพยายามจะจับอะไรบางอย่างให้จงได้ และในที่สุดเขาก็สามารถคว้ากิ่งจากต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากหน้าผา เขาเงยหน้ามองหมอกควันดำที่อยู่ห่างเขาเพียง 120 เมตรเท่านั้น จากนั่นเขาได้ยินเสียง "ฟ่อออออ! ฟ่ออออ!" ที่เล็ดลอดออกมาจากช่องกลางกิ่งของต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นมันคือ งูหลามยักษ์ขนาดใหญ่ที่โผล่หัวยื่นออกมาจากช่องกลางกิ่งไม้นั้น มันแลบลิ้นและจ้องมองไปยังซ่ง

หยู

งูหลามตัวนี้มันมีขนาดมหึมาเกินกว่าที่เขาจะคาดการณ์ไว้เสียอีก!!!

หูหลามแลบลิ้นสองแฉกสีแดงสด และจ้องมองเป้าหมายของมันอย่างย่ากลัว!!!

พลังการบีบรัดของงูหลามยักษ์นั้นมากมายมหาศาล และมันเป็นหนึ่งในสัตว์ดุร้ายที่สุดของหุบเขาแห่งนี้

แม้แต่ผู้ที่มีการบ่มเพาะในระดับสูงก็ยากที่จะสังหารมันเพียงลำพังได้

ซ่งหยูเห็นดังนั้นก็รีบผละมือจากกิ่งไม้และปล่อยตัวยังหุบเขาด้านล่างอย่างไม่รู้ชะตากรรม!!!

เจ้างูหลามยักษ์แลบลิ้นสองแฉกของมันเมื่อสังเกตเห็นเหยื่อตกลงสู่เหวลึกด้านล่าง จากนั้นมันก็เหยียดตัวที่ใหญ่โต และยืดยาวของมันเพื่อกระโจนเข้าจู่โจมซ่งหยูอีกครั้ง แต่ในทันใดนั้น!!!ก็ได้เกิดหมอกควันสีดำลอยมาคลอบคลุมบริเวณนั้นอีกครั้ง

และในที่สุด!!!มันก็ถูกกลืนกินด้วยไอมารสลายวิญญาณเช่นเดียวกับเจ้านกยักษ์สีทองสี่ปีกนั่นเอง

"ฟิ้วววววววววพลั๊กกกก!!!."

โครงกระดูกของเจ้างูหลามยักษ์ที่หลุดลอยออกจากไหมอกควันสีดำนั้นก็ได้ร่วงตกลงมายังหุบเหวลึกด้านล่าง ในขณะที่ซ่งหยูเองก็ตกลงสู่เหวลึกลงมาอีกฟากหนึ่งเช่นกัน

ด้านล่างของหุบเขาเย็นและมืด ชั้นที่หนาทึบของกิ่งไม้ และใบหญ้าที่ปกคลุมอยู่บนพื้นดิน ทำให้ซ่งหยูไม่ได้โดนกระแทกอย่างแรงตอนเขาตกลงมา เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ ตัวเองและในแสงจาง ๆ เขามองเห็นกระดูกนับไม่ถ้วนและซากของสัตว์ร้าย ซากเหล่านี้คงเป็นเหยื่อเคราะห์ร้ายของเจ้านกยักษ์ และงูหลามยักษ์นั่นเอง

"แม้แต่งูหลามยักษ์ขนาดมหึมายังตายเหลือแต่ซากกระดูกเท่านั้น แล้วหมอกดำที่นั่นมันคืออะไรกันแน่??"

ขณะนั้นสีหน้าของซ่งหยูก็เปลี่ยนไปอย่างรวกเร็ว เพราะเหล่าหมอกควันสีดำได้กระจายตัวไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงก้นเหวลึก และทั่วทุกหนทุกแห่งรอบตัวเขา มีเพียงความมืดถูกกลืนกินเข้าไปในหมอกควันดำนั้นอย่างน่าสะพรึง

ซ่งหยูมองไปรอบ ๆ เห็นหมอกควันสีดำพุ่งไปในทิศทางที่เขาอยู่ เขาได้แต่ตั้งสติและถอนหายใจ ว่าเขาคงมีจุดจบไม่ต่างจากเจ้านกยักษ์และงูหลามยักษ์เช่นเดียวกัน เหตุใดเขาจึงโชคร้ายเช่นนี้??? และเขาจะทำอย่างไรต่อไป หรือจะยืนรอคอยให้หมอกควันสีดำนั่นให้มากลืนกินร่างเขาไปเช่นนั้นหรือ???

หมอกควันสีดำที่กำลังพุ่งตรงมายังตัวเขานั้น พลันหยุดลงเมื่อห่างจากตัวเขาเพียง 3 เมตรเท่านั้น ราวกับว่ามันถูกปิดกั้นเป็นกำแพงจากด้านนอกด้วยกองกำลังที่มองไม่เห็น ซ่งหยูเห็นกรงเล็บกระดูกสีขาวขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากภายในหมอกควันดำ และเกาะกำแพงที่ขวางกั้นไว้

สัตว์อสูรตัวใดที่จะกรงเล็บกระดูกสีขาวขนาดใหญ่เช่นนี้? แม้แต่กระดูกนิ้วใหญ่ยังกว่า และสูงกว่าเขาหลายเท่านัก!!

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาซ่งหยูได้ใช้เวลาฝึกสมรรถภาพร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป นี่เพียงแต่หนึ่งส่วนของกระดูกนิ้วมือของกรงเล็บกระดูกสีขาวนั่นยังมีขนาดใหญ่กว่าตัวเขาเสียด้วยซ้ำ มันยากที่จะจินตนาการว่าเจ้าของกระดูกสีขาวนี้จะใหญ่โตสักเพียงใด!!!

"นะ....นี่มัน…"

ซ่งหยูสังเกตเห็นว่าที่แขนด้านขวาโครงกระดูกนั้นมันมีโคมไฟแสงจางๆ วาบ วาบ ราวกับว่าจะช่วยส่องสว่างในความมืดมิด มันเรียกว่าผีไฟนั่นเอง (ผีไฟ คือ แสงเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยวิญญาณของสัตว์ที่ตายแล้ว) ดูเหมือนว่าจะดับในเวลาใดก็ได้

แต่แปลกที่โครงกระดูกนี่เหลือเพียงแต่ซากเท่านั้น แต่กลับยังมีโคมไฟที่ยังส่องสว่างอยู่ได้อย่างไรกัน??

ด้วยความอยากรู้ เขาจึงก้าวเข้าไปดูใกล้ ๆ เพื่อคลายความสงสัย แต่แล้วเขาก็ค้นพบความแปลกประหลาดของมัน โครงกระดูกนี้ไม่ใช่ของมนุษย์ เพราะมันไม่ได้อยู่ในท่าปกติเช่นเดียวกับมนุษย์ มันไม่มีขา แต่มีหางที่ยาวที่ถูกม้วนเกลียวเข้าด้วยกัน แต่ส่วนบนของร่างกายมีหน้าตาเหมือนคน มีหัว คอ มือ และแขน

นี่คือโครงกระดูกของมนุษย์ครึ่งสัตว์ประหลาดเช่นนั้นหรือ!!!

มันมีส่วนที่ทำให้เกิดหมอกควันสีดำนี้หรือไม่???

ซ่งหยูมองดูโครงกระดูกประหลาดอย่างฉงน และประคองหยิบโคมไฟขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เขาเห็นมันสั่นสะเทือน และกำลังจะดับลง เขาก็รีบใช้สองมือป้องมันมิให้ดับลง

ทันใดนั้น!!! เขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า "ในค่ำคืนนี้มันครบรอบพันปีแล้วเช่นนั้นรึ???

มันเป็นเสียงของชายผู้หนึ่งที่สวมอาภรณ์คล้ายกับจักรพรรดิในตำนาน ก็ว่าได้

เขาคือใครกันแน่???

.................................................................................................................................

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด