TXV - 68 มือใหม่แล้วไง ?
TXV - 68 มือใหม่แล้วไง ?
“ได้ แค่ครึ่งชั่วโมง !” ลู่เชิงจ้องมองเซี่ยเหล่ยตาเขม็ง แล้วเดินตรงกลับไปยังหุ่นไม้
“พี่เชิง สั่งสอนเขาเลย!” นักเรียนคนหนึ่งกล่าว
“ใช่ๆ สั่งสอนมันเลย มันจะทำตัวกร่างเกินไปแล้ว” นักเรียนอีกคนพูดต่อ
เซี่ยเหล่ยแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและไม่ใส่ใจคำพูดพวกนั้น เพราะเขาเป็นเด็กใหม่จริงๆ ส่วนลู่เชิงอยู่ที่นี่มาถึง 3 ปี แน่นอนว่าเขาต้องมีพวกเยอะอยู่แล้ว
ลู่เชิงหยุดยืนหน้าหุ่นไม้แล้วเริ่มออกลีลา เสียงที่เขาตีหุ่นแต่ละครั้งดังกึกก้องและน่าเกรงขาม กล้ามเนื้อของเขาดูราวกับกล้ามเนื้อของสิงโต กระดูกและเส้นเอ็นของเขาก็ราวกับว่าทำมาจากเหล็ก ทั้งตัวของลู่เชิงตอนนี้แข็งแรงมาก เพราะมันถูกฝึกมาให้รองรับความแข็งแกร่งของเขา...
ซึ่งลู่เชิงไม่รู้เลยว่ากำลังทำให้เซี่ยเหล่ยได้เปรียบอยู่
เซี่ยเหล่ยไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม่แต่น้อย เขาเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้เพื่อพักผ่อน เซี่ยเหล่ยหลับตาลงจนดูเหมือนกลับว่าเขาหลับ แต่แท้จริงแล้วกำลังนึกถึงการออกท่าทางของหลางเฉิงชุนอยู่เป็นฉากๆ ตาข้างซ้ายเริ่มทำการวิเคราะห์รายละเอียด ว่ากระดูกทั้งตัวของหลางเฉิงชุนขยับอย่างไร กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นปล่อยพลังออกไปอย่างไร เซี่ยเหล่ยซึมซับข้อมูลทั้งหมดไว้ได้ราวกับฟองน้ำที่กำลังดูดน้ำเข้าไปจนอวบอิ่ม...
“ดื่มอะไรก่อนสิ” เสียงที่นุ่มนวลของใครบางคนดังขึ้น
เซี่ยเหล่ยลืมตามอง และพบหลางซือเหยากับน้ำผลไม้ในมือของเธอ
หลางซือเหยาวางแก้วน้ำลงในมือเซี่ยเหล่ย “นี่น้ำแครอท ดื่มสิ มันช่วยให้เธอหายเหนื่อยได้เร็วขึ้นนะ”
“ขอบคุณนะ” เซี่ยเหล่ยกล่าวก่อนจะดื่มน้ำแครอทเข้าไป
หลางซือเหยานั่งลงข้างเซี่ยเหล่ย “ลู่เชิงน่ะ แข็งแกร่งมากนะ คุณอยากสู้กับเขาจริงๆเหรอ? ผมพอจะพูดกับเขาได้นะถ้าคุณไม่อยากสู้กับเขาแล้ว”
“ไม่ล่ะ ผมจะสู้กับเขา อีกอย่างผมจะได้ทดสอบความสามารถตัวเองด้วย” เซี่ยเหล่ยกล่าว แล้วหัวเราะออกมา “สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็เป็นผมโดนอัดจนน่วมนั่นแหละ ผมไม่กลัวความเจ็บปวดหรอก”
“โอเค งั้นพักผ่อนเถอะ” หลางซือเหยารับแก้วเปล่ามาจากเซี่ยเหล่ยก่อนจะเดินจากไป
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ลู่เชิงเดินออกมายืนในพื้นที่โล่ง พวกนักเรียนต่างถอยกรูและหลบทางให้เขาแล้วยืนล้อมรอบเป็นวงกลม พร้อมจะชมการต่อสู้ของทั้งสองแล้ว
ลู่เชิงชี้ตรงไปยังเซี่ยเหล่ย “หมดเวลาครึ่งชั่วโมงแล้ว ไอ้กระจอก พักผ่อนเต็มที่รึยังล่ะ?”
เซี่ยเหล่ยลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหาลู่เชิง ยืนเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ เซี่ยเหล่ยจัดท่าให้ตัวเองอยู่ในท่าเริ่มต้นของหวิงชุนที่โด่งดังที่สุด ‘หัตถ์ผสาน’ ในท่านี้ มือข้างหนึ่งจะต้องซ่อนไว้และโจมตีเมื่อมืออีกข้างหนึ่งใช้ป้องกัน มือข้างที่ซ่อนและมือป้องกันสามารถเปลี่ยนสลับไปมาได้ ทั้งโจมตีและป้องกัน นี่คือสิ่งที่เซี่ยเหล่ยได้เรียนรู้จากหลางเฉิงชุนเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน…..
“คุณดูเหมือนนักเลงข้างถนนเหมือนกันนะเนี่ย” ลู่เชิงเยาะเย้ย “แต่ผมไม่ต้องใช้หวิงชุนคว่ำแกหรอก แค่ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานก็พอแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ ลู่เชิงก็ยกขาข้างหนึ่งขึ้นโจมตีเซี่ยเหล่ยด้วยการเตะ
เซี่ยเหล่ยกระโดดเพียงครึ่งก้าวเล็กน้อย เปลี่ยนมือป้องกันเป็นกำปั้น แล้วดึงมือที่ซ่อนไว้ออกมาตีเข้าที่เส้นเอ็นระหว่างเข่าและต้นขาของลู่เชิง
เพียงหนึ่งหมัดนั้นทำเอาลู่เชิงกะเผลกถอยกลับไปสองก้าว จ้องมองเซี่ยเหล่ยด้วยความประหลาดใจ แม้การโจมตีเข้าที่เส้นเอ็นทำอะไรผิวกับกล้ามเนื้อหนาๆของลู่เชิงไม่ได้ แต่ก็สร้างความเจ็บปวดให้อย่างสาหัส ลู่เชิงไม่ได้แสดงความเจ็บปวดออกมา ทำได้เพียงแต่คลายความเจ็บปวดอย่างเงียบๆคนเดียว
พวกนักเรียนรอบๆเองก็ประหลาดใจเช่นกัน ตอนที่ลู่เชิงเตะเซี่ยเหล่ย แทบทุกคนคิดว่าเซี่ยเหล่ยคงจะโดนเตะจนร่วงไปอยู่กับพื้น แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร เป็นเซี่ยเหล่ยออกหมัดใส่ลู่เชิงแทน !
“พ่อคะ แปลกจัง” หลางซือเหยาที่มองเหตุการณ์อยู่ หันไปหาหลางเฉิงชุนข้างๆแล้วพูดต่อ “รู้สึกเหมือนพ่อกำลังสู้อยู่กับลู่เชิงเลย”
หลางเฉิงชุนถอนหายใจออกมาเบาๆ “ชายคนนี้แปลกจริงๆ ตอนแรกพ่อคิดว่าเขาแค่ทำตามพ่อ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไต่ระดับมาเป็น ช่างเฉี่ยว กับ ฮ่วนเฉี่ยว ได้แล้ว คนๆนี้แหละ ผู้ฝึกหวิงชุนที่แท้จริง ลูกไม่รู้สึกเหรอว่าเขาเรียนรู้ได้เร็วมากๆ?”
ช่องลมปราณช่างเฉี่ยว และ ช่องลมปราณฮ่วนเฉี่ยวเป็นขั้นตอนการส่งพลังออกไปตามแบบหวิงชุน รูปแบบคือการโจมตีจะเป็นช่วงยาวและตามด้วยช่วงสั้น ตอนที่เซี่ยเหล่ยใช้ผลักลู่เชิงออกไปเป็นฮ่วนเฉี่ยว การที่เขาสามารถทำให้ลู่เชิงที่แข็งแรงกว่าถอยไปได้พิสูจน์ว่าเขาเข้าใจเทคนิคการส่งพลังแบบหวิงชุนและเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองได้หลายเท่าตัวเลยทีเดียว !
บนลานประลองของทั้งสองคน ลู่เชิงเลิกออมมือให้เซี่ยเหล่ยแล้ว เขาเปลี่ยนมายืนในท่าเริ่มต้นของหวิงชุนบ้าง
เซี่ยเหล่ยซัดหมัดแหวกอากาศตรงเข้าหัวใจลู่เชิงอย่างจัง
ตอนนี้เซี่ยเหล่ยพลิกเกมมาเป็นฝ่ายรุกบ้าง ทำเอาพวกนักเรียนรอบๆถึงกับตะลึง !
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ลู่เชิงและเซี่ยเหล่ยเปิดฉากปะทะกันต่อ พวกเขาทั้งโจมตีและป้องกันอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน ราวกับเป็นฉากในหนังต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบ……
“เป็นไปได้ยังไง พี่เชิงฝึกหวิงชุนมาตั้ง 3 ปี แถมยังเป็นคนที่เก่งที่สุดด้วย ทำไมพี่เชิงถึงล้มเขาไม่ได้ล่ะ?” นักเรียนคนหนึ่งกล่าว
“นั่นสิ เขาเพิ่งจะฝึกได้แค่ไม่กี่วันเองนี่? ไม่อยากจะเชื่อ!” นักเรียนอีกคนพูดต่อ
“บ้าไปแล้ว หรือเขาจะแกล้งทำตัวอ่อนแอเพื่อจะได้ลอบเข้ามาล้มคู่ต่อสู้เก่งๆ แต่ เขาจะทำไปทำไมล่ะ?” นักเรียนอีกคนตั้งข้อสงสัย
ทุกคนต่างก็ประหลาดใจในความสามารถที่น่าเหลือเชื่อของเซี่ยเหล่ยจนเสียงพูดคุยกันเสียงดัง
ทันใดนั้นหลางเฉิงชุนก็พูดขึ้น “ไม่ดีแน่ ลู่เชิงกำลังจะแพ้แล้ว”
“เป็นไปไม่ได้...” หลางซือเหยาแทบไม่เชื่อว่า พ่อพูดอะไรออกมา !
ในขณะที่พวกเขากำลังปะทะกันอยู่นั้น เซี่ยเหล่ยก็ตัดจบการต่อสู้ด้วยการซัดหมัดเข้าที่หน้าอกของลู่เชิงซ้ำๆอย่างรวดเร็วและหนักหน่วง จนร่างกายกว่า 90 กิโลกรัมของลู่เชิงลอยขึ้นแล้วร่วงโครมลงมากระแทกพื้น
เซี่ยเหล่ยใช้จังหวะนั้นกดเข่าลงบนตัวลู่เชิงเพื่อยึดให้อยู่กับพื้น ก่อนจะง้างหมัดเตรียมชกเข้าที่หัว
ลู่เชิงหลับตาลง
เซี่ยเหล่ยชะงักหมัดก่อนที่มันจะตรงเข้าหน้าของลู่เชิง
ลานฝึกทั้งลานเงียบลง เงียบจนสามารถได้ยินเสียงของใบไม้ปลิว...
ชายผู้เคยเป็นหนึ่งในกองกำลังพิเศษและฝึกหวิงชุนมากว่า 3 ปี ทั้งยังเป็นบอดี้การ์ดมืออาชีพ ถูกเด็กหนุ่มที่ฝึกหวิงชุนมาเพียง 3 วันคว่ำเขาได้ จะใครมีเชื่อผลการประลองครั้งนี้กันล่ะ ?
เซี่ยเหล่ยยืนขึ้นพร้อมกับส่งมือให้ลู่เชิง
ลู่เชิงลังเล แต่ก็จับมืออีกคนแล้วดึงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน
“คุณยอมให้ผมชนะ” เซี่ยเหล่ยพูดด้วยความสุภาพ
“ทำไมสุภาพนักล่ะ ผมเป็นผู้พ่ายแพ้ แล้วคุณก็เป็นฝ่ายชนะ” ลู่เชิงกล่าว
เซี่ยเหล่ยยิ้มออกมา แล้วยื่นแขนออกไปหาลู่เชิงอีกครั้ง “พวกเรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ”
ครั้งนี้ลู่เชิงไม่ได้ลังเลอะไรอีก เขาจับมือเซี่ยเหล่ยแล้วเขย่าเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้าง “ปกติฉผมไม่ค่อยยอมรับความพ่ายแพ้หรอกนะ แต่กับคุณนี่ต้องยอมจริงๆ”
ลู่เชิงเป็นคนค่อนข้างตรงไปตรงมา และไม่แอบซ่อนความรู้สึก เมื่อเขาไม่ชอบใคร ก็มักจะหมายตาคนๆนั้นเอาไว้ แต่ถ้าเขาชอบใครหรือเคารพใคร คนๆนั้นก็จะได้รับมิตรภาพจากเขาทันที
‘การแลกเปลี่ยนความรู้สึกอาจนำไปสู่มิตรภาพที่แท้จริง’ เป็นภาษิตเก่าที่เหมาะกับลู่เชิงและเซี่ยเหล่ยในตอนนี้ที่สุด
เมื่อทั้งสองคนเข้าเป็นมิตรกันแล้ว หลางเฉิงชุนก็ดึงตัวหลางซือเหยาออกมาในมุมเงียบๆแล้วพูดขึ้นเบาๆ “ที่ลูกบอกว่าเซี่ยเหล่ยจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของพ่อก่อนหน้านี้น่ะถือว่าน่าสนใจเลยล่ะ ไปคุยกับเขาหน่อยสิว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร”
หลางซือเหยาหัวเราะเล็กน้อย “พ่อคะ หนูบอกแล้วใช่มั้ยคะว่าพ่อมีทองอยู่ในมือ เพียงแต่พ่อไม่เคยมองมัน ถ้าพ่ออยากคุยกับเขาก็ไปเองสิคะ ลูกไม่ไปนะ”
หลางเฉิงชุนมองลูกสาว “เจ้าตัวแสบ นี่กำลังพยายามยั่วโมโหพ่ออยู่หรือไง ? ถ้าพ่อเข้าไปถามแบบนั้น พ่อจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะ พ่อของแกเป็นถึงทายาทที่แท้จริงของหวิงชุนและมีศักดิ์ศรีเพื่อสืบสานหวิงชุนเลยนะ ถ้าพ่อคุยกับเขาแล้วถูกปฏิเสธล่ะ เกิดข่าวนี้แพร่ออกไป พ่อจะออกไปเจอหน้าคนอื่นๆได้ยังไง”
หลางซือเหยาหัวเราะออกมา “โอเค โอเค งั้นให้ลูกสาวพ่อจัดการเรื่องนี้เอง แต่พ่อต้องซื้อซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวานเป็นรางวัลให้นะ”
หลางเฉิงชุนตะเบ็ง “เจ้าเด็กตะกละ ! กินแบบนั้นจะไม่อ้วนขึ้นรึไง”
“หนูน่ะเป็นพวกไม่ว่าจะกินเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่อ้วนขึ้นหรอกค่ะ ฮิฮิ โอเค หนูจะไปถามเขาเองว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร พ่อรอฟังข่าวดีได้เลย” หลางซือเหยาเดินตรงไปหาเซี่ยเหล่ย
หลางเฉิงชุนลูบคางตัวเอง ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ผู้ชายคนนี้นี่เป็นความอัศจรรย์ของศิลปะการต่อสู้จริงๆ พวกเขาอธิบายไว้ในนิยายเซียนเซียถ้าเรารับเขามาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย ศิลปะการต่อสู้หวิงชุนของเราก็จะมีผู้สืบทอดที่ดีได้ ใครจะรู้ล่ะ บางทีเขาอาจจะเป็นอาจารย์ที่เก่งกาจอีกคน !”
แม้ว่าจะเป็นศตวรรษที่ 21 แล้ว แต่แก่นแท้ของ กังฟู ก็ยังคงสืบทอดมาจากประเพณีโบราณและการอุทิศตนเป็นศิษย์ของอาจารย์อย่างเป็นทางการก็เป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ เซี่ยเหล่ยได้แสดงความสามารถที่น่าทึ่งแล้ว เมื่อหลางเฉิงชุนสละตำแหน่ง เขาก็อยากให้เซี่ยเหล่ยเป็นผู้สืบทอดหวิงชุนต่อจากเขา แต่เซี่ยเหล่ยจะต้องเป็นลูกศิษย์ของเขาอย่างเป็นทางการก่อน
“เซี่ยเหล่ย ช่วยอะไรฉันหน่อยได้มั้ย?” หลางซือเหยาแทรกขึ้นระหว่างที่เซี่ยเหล่ยและลู่เชิงกำลังคุยกันอยู่
“ได้สิ” เซี่ยเหล่ยถามต่อ “ให้ช่วยอะไรเหรอ?”
“อืม.. มากับฉันหน่อยสิ” หลางซือเหยาไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากจะขอ แต่เธอพาเขาเดินออกไปทางประตูด้วยกัน
เซี่ยเหล่ยตามเธอไป ด้านหลังประตูเป็นห้องทำงานของหลางเฉิงชุน บางครั้งเขาก็เคยมาฝึกที่นี่ มันมีทั้งห้องครัวและห้องน้ำอยู่ด้วยกัน...
หลางซือเหยาพาเซี่ยเหล่ยเข้ามาในห้องทำงานของหลางเฉิงชุนแล้วยิ้มก่อนพูดว่า “นั่งก่อนสิ !”
“เมื่อกี้เธอเพิ่งขอให้ผม...”
“ใช่ ฉันอยากขอให้เธอช่วยเปลี่ยนแทงก์น้ำให้ฉันหน่อยน่ะ” หลางซือเหยากล่าว
เซี่ยเหล่ยมองไปยังตู้กดน้ำที่มุมห้อง น้ำในแทงก์ยังเต็มอยู่ จึงกลับมามองหลางซือเหยาโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา
หลางซือเหยาหัวเราะแห้งๆ “ตายล่ะ ! เปลี่ยนแล้วหนิโทษทีนะ ฉันสะเพร่าไปหน่อย แต่ดีแล้วล่ะ ไม่ต้องเปลี่ยนแล้วเนอะงั้นมาคุยกันดีกว่านั่งก่อนนะ ฉันจะไปเอาน้ำมาให้”
“ไม่ๆ ไม่เป็นไร แค่นั่งคุยก็พอ” เซี่ยเหล่ยนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยความสงสัยในใจ ‘เธอจะคุยเรื่องอะไรกันนะ เธอทำตัวมีพิรุธเกินไปแล้ว’
หลางซือเหยาเดินมาที่เก้าอี้แล้วนั่งลงหันหน้าเข้าหาเซี่ยเหล่ยและจ้องมองเขา “ขอถามได้มั้ยว่าเธอทำงานอะไร”
“ผมมีร้านขายพวกเครื่องมือหรือชิ้นส่วนอุปกรณ์กีฬาน่ะ เป็นธุรกิจเล็กๆ” เซี่ยเหล่ยตอบ
“เธอไม่เคยเรียนศิลปะการต่อสู้มาก่อนเลยเหรอ?”
“ไม่เคย”
“แล้วครอบครัวล่ะ?”
“ก็มีน้องสาวน่ะ เธออยู่ที่ชิงตู่กำลังเรียนในมหาวิทยาลัย” หลังจากตอบคำถามนี้ เซี่ยเหล่ยก็ระเบิดหัวเราะออกมา “นี่ คุณหลาง ถามเรื่องพวกนี้ไปทำไมเนี่ย มีอะไรก็พูดออกมาตรงๆเลยสิ”
“งั้น... เธอจะทุ่มเทใจและวิญญาณให้กับการเรียนศิลปะการต่อสู้แล้วเลิกกิจการของเธอมั้ย?” หลางซือเหยาถาม
“ผมจะทำแบบนั้นได้ไง เรียนศิลปะการต่อสู้เป็นแค่งานอดิเรกของผมนะ ผมไม่เคยคิดจะมาตั้งตัวที่นี่หรอก เป้าหมายของผมคือแค่เรียนศิลปะการต่อสู้ไว้ป้องกันตัวก็เท่านั้นเอง”
“เข้าใจแล้ว...” หลางซือเหยาพูดด้วยผิดหวัง
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเซี่ยเหล่ยก็ดังขึ้น เขาหยิบมันออกมาแล้วมองไปที่หน้าจอ เป็นหม่าเสี่ยวอันโทร.มา
เซี่ยเหล่ยกดรับ “ครับ”
“เหล่ย! กลับมาด่วนเลย” หม่าเสี่ยวอันพูดด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย
เซี่ยเหล่ยเริ่มวิตก “เกิดอะไรขึ้น”
“มีใครไม่รู้มาพังร้านเรา เธอ...” ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ตัดไป
เซี่ยเหล่ยลุกขึ้นแล้วเดินออกมา “คุณหลาง พอดีมีเรื่องด่วน ไว้คุยกันวันหลังนะ”
“นี่ มีอะไรให้ช่วยมั้ย?” หลางซือเหยาถาม
แต่เซี่ยเหล่ยก็วิ่งผ่านบานประตูไปแล้ว
ติดตามตอนต่อไป.....