บทที่ 73 ยามคับขันพลันเกิดไหวพริบ
จั่วม่อยามคับขันพลันเกิดไหวพริบ ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนน่าสะพรึงกลัวออกมา จากนั้นทรุดคว่ำลงบนพื้น
นอกประตู ศิษย์ผู้นั้นได้ยินเสียงกรีดร้องของจั่วม่อ รีบตะโกนเรียกอย่างตื่นตระหนก “ศิษย์พี่! ศิษย์พี่จั่ว! ท่านเป็นไรไปแล้ว?” ยังคงไม่มีคำตอบ สวี่ฉิงผู้ให้ความสนใจกับสถานการณ์อยู่แล้ว รีบวิ่งรี่เข้ามาและตะโกนผ่านประตูเข้าไปบ้าง “ศิษย์พี่! เกิดอะไรขึ้น? ท่านเป็นอะไรไป?”
ยังคงไม่มีการตอบสนองจากด้านใน สวี่ฉิงกลายเป็นกังวลทันที ไม่ใส่ใจว่านางอาจถูกดุด่า รีบผลักเปิดประตูห้องหลอมกลั่นเข้าไป เห็นจั่วม่อนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้นห้อง
สวี่ฉิงตื่นตกใจแต่ไม่ลนลาน นางรีบตะโกนบอกศิษย์ผู้ที่มาตามจั่วม่อ “ไปรายงานท่านเจ้าสำนัก!” ศิษย์ผู้นั้นตระหนกแทบเสียสติ พอฟังก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ในโถงสุญตา เผยเหยียนหรานกับเหล่าศิษย์น้องกำลังต้อนรับคณะของนางเซียนอวิ๋นเสีย ยอดฝีมือกลุ่มนี้มาเยี่ยมเยือนถึงสำนักกระบี่สุญตา นับเป็นการให้เกียรติเผยเหยียนหรานกับพวกอย่างแท้จริง เป็นธรรมดาที่เผยเหยียนหรานกับศิษย์น้องทั้งสามจะสุภาพอ่อนโยน และอบอุ่นเป็นกันเอง ทั้งอาคันตุกะผู้มาเยือนทั้งเจ้าของบ้านล้วนอัธยาศัยดีงาม สนทนาอย่างถูกคอ การชุมนุมยอดคนด่านจินตันมากมายถึงเพียงนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงแค่เพียงในตงฝู แต่กระทั่งทั่วทั้งอาณาจักรนภาจันทร์ก็ยังถือเป็นกลุ่มบุคคลที่ยิ่งใหญ่คับฟ้า
สำหรับเหล่าศิษย์ที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้าง นอกเหนือจากจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้างและปากที่อ้าค้าง พวกมันยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ก่อนการเข้าสู่ด่านจู้จีของเหวยเสิ้ง สำนักกระบี่สุญตาไม่เคยเป็นที่รู้จักในตงฝู แต่บัดนี้กระทั่งกลุ่มยอดฝีมือจากอาณาจักรคลื่นเรืองรองยังลดตัวมาเยือนถึงสำนักมัน ไม่มีสำนักใดในตงฝูได้รับเกียรติเช่นนี้
อาณาจักรคลื่นเรืองรองหากเทียบตลอดทั้งแดนคุนหลุน ไม่อาจนับเป็นอะไรได้ แต่จะอย่างไรปกครองสามสิบเอ็ดอาณาจักรขนาดเล็ก ซึ่งรวมทั้งอาณาจักรนภาจันทร์แห่งนี้ด้วย แต่กระทั่งยอดฝีมือจากอาณาจักรคลื่นเรืองรองยังปฏิบัติต่ออาจารย์อาซินหยานอย่างมีมารยาท ในยามนี้เองที่เหล่าศิษย์เพิ่งได้ทราบว่าอาจารย์อาซินหยานผู้เงียบขรึมเย็นชานั้น ที่แท้เก่งกาจเลื่องชื่อถึงเพียงนี้ ในสายตาของพวกมัน สำนักที่พวกมันอาศัยอยู่คล้ายกลับกลายเป็นลี้ลับกว่าเดิม
ในโถงสุญตา เสียงสนทนาปนหัวร่อดังขึ้นเป็นระยะ อวิ๋นเสียเซียนจื่อหลังจากพิจารณาตัวตนของซินหยาน ยิ่งเพิ่มความรู้สึกอยากเอาชนะคะคานมากกว่าเดิม พวกมันรู้สึกผิดหวังมากที่เหวยเสิ้งไม่สามารถออกมาจากถ้ำกระบี่ ทว่าแม้ไม่อาจพบพานเหวยเสิ้งผู้เลื่องลือในครั้งที่ก่อเกิดนิมิตแห่งฟ้าดินยามเข้าสู่จู้จี แต่ยังคงไม่เสียเวลาเปล่า หากพวกมันยังสามารถพบหน้าจั่วม่อผู้มีพรสวรรค์หลากหลายด้าน สำหรับบางคนเช่นผู้เฒ่าเหอ พวกมันสนใจจั่วม่อมากกว่าเหวยเสิ้งเสียอีก
ในเวลานี้เอง ศิษย์ผู้ได้รับคำสั่งให้ไปตามจั่วม่อ วิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามา “แย่แล้ว แย่แล้ว”
เผยเหยียนหรานขมวดคิ้วไม่พอใจ ถามเสียงลึก “เจ้าตื่นตระหนกอันใด?”
เห็นท่านเจ้าสำนักไม่พอใจ ศิษย์ผู้นั้นยิ่งหวาดกลัวกว่าเดิม กล่าวตะกุกตะกัก “ท่านเจ้าสำนัก! ศิษย์พี่จั่วม่อ...ศิษย์พี่หมดสติไปแล้ว!”
ฟังถึงตอนนี้ สือฟ่งหรงผุดลุกขึ้นทันที
“เกิดเรื่องอันใด? ค่อยๆ เล่ามา!” เผยเหยียนหรานตวาดหนักๆ สุ้มเสียงของมันยังบรรจุ ‘มนตราสำเนียงกระจ่าง’ เข้าไปด้วย ทุกผู้คนรู้สึกจิตใจกลายเป็นสงบและแจ่มชัด พวกมันอดทอดถอนชมเชยพลังฝึกปรือของเผยเหยียนหรานไม่ได้
เมื่อสดับเสียงตวาด จิตใจของศิษย์ฝ่ายนอกผู้นั้นพลันสงบลง คำพูดของมันกลับเป็นชัดเจนและเรียบร้อย “คาดว่าศิษย์พี่จั่วม่อหักโหมหลอมกลั่นโอสถมาหลายวันโดยไม่ยอมพักผ่อน ร่างกายจิตใจมันอ่อนล้าอยู่แล้ว พอศิษย์นี้รายงานไปยังศิษย์พี่ตามที่ท่านเจ้าสำนักสั่ง ศิษย์พลันได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากในห้องหลอมกลั่น ทดลองเรียกอยู่หลายครั้งก็ไม่มีเสียงตอบ ศิษย์พี่หญิงสวี่ฉิงจึงเปิดประตูเข้าไป และพบว่าศิษย์พี่จั่วม่อนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น เท่าที่ศิษย์เห็น ผิวพรรณของศิษย์พี่ดูหมองคล้ำ ซีดเซียวเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่ามันคงไม่ได้ออกจากห้องหลอมกลั่นมาหลายวันแล้ว”
ได้ยินเช่นนี้ สือฟ่งหรงพลันกล่าว “ทุกท่าน ขออภัยด้วย” จากนั้นนางเร่งมุ่งหน้าไปยังเรือนขิงหอม
เผยเหยียนหรานรีบประสานมือไปยังเหล่าอาคันตุกะด้วยท่าทีขออภัย “ศิษย์น้องหญิงผู้นี้ห่วงกังวลกับศิษย์รักของนาง อาจเสียมารยาทไปบ้าง ทุกท่านโปรดอย่าถือสานาง!”
“เจ้าสำนักเผยไม่ต้องยึดถือเป็นจริงเป็นจังถึงเพียงนี้ หากสำนักของพวกเรามีอัจฉริยะเช่นนี้ พวกเราเหล่าผู้อาวุโส เกรงว่าคงไม่ต่างอันใดกับนาง” ผู้เฒ่าเหอกล่าวปนหัวร่อ ผู้อื่นล้วนพยักหน้าเห็นพ้อง
“ใช่แล้ว สำนักของท่านช่างโชคดีจริงๆ ! ในสำนักข้ามีแต่ศิษย์ธรรมดาสามัญ ไม่เคยประสบความสำเร็จอันใด ทุกคราที่ข้าคิดถึงเรื่องนี้ ข้าถึงกับนั่งไม่ติด เกรงว่าไฟของสำนักจะดับมอดลงในรุ่นของข้านี่เอง อย่างนั้นข้าคงไม่มีหน้าไปพบท่านอาจารย์และบรรพชนในปรโลกแล้ว” เยวียนลี่อดสอดคำไม่ได้
ฟังวาจาของเยวียนลี่ ทุกผู้คนล้วนเห็นใจอย่างสุดซึ้ง กระทั่งเผยเหยียนหรานยังเผยสีหน้าเข้าอกเข้าใจ ก่อนปรากฏเหวยเสิ้งกับจั่วม่อขึ้นมา มันกับเหล่าศิษย์น้องไยมิใช่รู้สึกเช่นเดียวกันกับเยวียนลี่
“เจ้าสำนักเผย” ผู้เฒ่าเหอกล่าวอย่างครุ่นคิด เลือกเฟ้นถ้อยคำอย่างระมัดระวัง “เพียงเพิ่งเริ่มต้นร่ำเรียนวิชาหลอมกลั่น ก็สามารถหลอมกลั่นโอสถปราณอันโดดเด่นเช่นเม็ดยาอีกาทองคำสำเร็จ ศิษย์ของสำนักท่านผู้นี้นับว่ามีพรสวรรค์เป็นพิเศษในด้านหลอมกลั่น เราผู้เฒ่าไม่ค่อยได้พบเห็นเรื่องเช่นนี้มาหลายปีมากแล้ว” จากนั้นมันทอดถอนคราหนึ่ง “หลายสิบปีมานี้ เราผู้เฒ่าได้พบเห็นอัจฉริยะที่เด่นล้ำมากมาย อย่างไรก็ตาม ยิ่งแก่เฒ่าลง ก็ยิ่งพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายซ้ำรอยเดิมเสมอ เมื่อมีพรสวรรค์ ก็เร่งรีบ ร้อนรน พยายามจะรีดเค้นพรสววรค์นั้นออกมาให้ถึงที่สุด หาทราบไม่ว่ากลับเป็นเหตุให้อัจฉริยะหลายคนต้องล้มเหลวและตายเร็ว สำหรับเหล่าอัจฉริยะผู้เด่นล้ำเหนือคน หนทางก้าวหน้าของพวกมันย่อมยุ่งยากลำบากกว่าคนทั่วไป เจ้าสำนักเผย พวกท่านต้องระมัดระวังให้ดี วาจาจริงใจอาจระคายหู แต่ข้าทนเห็นอัจฉริยะเช่นนี้ต้องพินาศก่อนวัยอันควรมิได้ หากมีที่ล่วงเกิน เจ้าสำนักเผย โปรดอย่าได้ถือสา”
ฟังถ้อยคำของผู้เฒ่าเหอ เผยเหยียนหรานสะท้านขึ้นทั้งร่าง จากนั้นมันรีบลุกขึ้นยืน ประสานมือคำนับต่ำอย่างเต็มพิธีการให้แก่ผู้เฒ่าเหอ “ความห่วงใยของผู้เฒ่าเหอ ข้าจะไม่ทราบได้อย่างไร? น้ำใจนี้ขอจารึกไว้ในใจ!”
ซินหยานกับหยานเล่อก็ลุกขึ้นยืนอย่างเคร่งขรึม และค้อมกายคารวะผู้เฒ่าเหอพร้อมกัน
บรรยากาศในโถงสุญตากลายเป็นตึงเครียด วาจาของผู้เฒ่าเหอกระตุ้นเตือนความคิดของหลายๆ คน ทุกสำนักย่อมมีศิษย์ที่เด่นล้ำ แต่เป็นเช่นดังที่ผู้เฒ่าเหอกล่าวไว้ ศิษย์อัจฉริยะเหล่านี้ล้วนมีชะตากรรมอันทุกข์ยากเหนือธรรมดารอคอยพวกมันอยู่เบื้องหน้า
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ทุกผู้คนล้วนไม่มีอารมณ์จะสนทนาสืบต่อ และหลังจากพากันสั่งซื้อเม็ดยาอีกาทองคำจำนวนหนึ่ง พวกมันก็อำลาจากไป
เมื่อสือฟ่งหรงรีบร้อนกลับมาถึงเรือนขิงหอม และพบเห็นสภาพน่าสมเพชของจั่วม่อ นางกลืนถ้อยคำดุด่าที่ขึ้นมาถึงปาก กลับลงไปอย่างกะทันหัน แต่สุ้มเสียงยังคงแฝงด้วยโทสะอยู่บ้าง “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เป็นเวลาหนึ่งเดือน ห้ามเจ้าเข้าไปในห้องหลอมกลั่นเป็นอันขาด!”
จั่วม่อในใจลอบคร่ำครวญอย่างหวนโหย ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ห้องหลอมกลั่นเป็นเวลาหนึ่งเดือน นั่นหมายความว่าในหนึ่งเดือนนี้ มันจะไม่มีรายได้ใดๆ เข้ามา รายได้เกือบทั้งหมดของมันตอนนี้มาจากการหลอมกลั่นเม็ดยาอีกาทองคำ สำหรับเหล่าหญ้าปราณและสมุนไพรปราณในท้องทุ่งปราณ มันจะขายเพียงพวกที่ไม่ได้ใช้ในการหลอมกลั่น อย่างเช่นหญ้าหางจิ้งจอกหิมะ นอกเหนือจากนั้นแล้ว มันตั้งใจจะเก็บไว้ใช้เป็นวัตถุดิบในการหลอมกลั่นโอสถ
แต่เมื่อคิดว่ารักษาชีวิตน้อยๆ ของมันไว้ได้ชั่วคราว จั่วม่อก็ลอบดีใจ เผชิญหน้ากับซือฟู่ที่กำลังเดือดดาล มันยิ่งไม่กล้าโต้แย้ง ได้แต่พึมพำรับคำ
พอดุด่าจนหนำใจ เหลือบมองจั่วม่ออย่างเย็นชาแวบหนึ่ง สือฟ่งหรงทิ้งโอสถปราณบำรุงกำลังไว้จำนวนหนึ่งก่อนจะจากไป จั่วม่อสะท้านใจอย่างรุนแรง ซือฟู่อาจจะเย็นเยียบทั้งวาจาและหน้าตา แต่นางห่วงใยมันอย่างแท้จริง เดิมทีมันรู้สึกโชคร้ายที่ได้ซือฟู่อารมณ์บูดเช่นนี้ แต่เวลานี้มันรู้สึกว่าโชคของมันก็ไม่เลวเลยจริงๆ
เมื่อสือฟ่งหรงเร่งรุดกลับไปยังโถงสุญตา อาคันตุกะล้วนจากไปหมดแล้ว เห็นเผยเหยียนหรานกับอีกสองคนยังนั่งเงียบๆ อยู่ที่เดิม
รอจนสือฟ่งหรงนั่งลง เผยเหยียนหรานทวนวาจาของผู้เฒ่าเหอให้นางฟัง สือฟ่งหรงอดเผยสีหน้าวิตกกังวลไม่ได้
“หากมิใช่คำเตือนของผู้เฒ่าเหอในวันนี้ เกรงว่าเราทุกคนคงละเลยปัญหานี้ไป” เผยเหยียนหรานน้ำเสียงเคร่งขรึม “เมื่อมาคิดดูตอนนี้ พวกเราก็ใจร้อนเกินไปจริงๆ ทั้งเรื่องที่เหวยเสิ้งเข้าไปในถ้ำกระบี่ และสิ่งที่เกิดขึ้นกับการหลอมกลั่นของจั่วม่อ”
“ข้าได้สั่งห้ามมันหลอมกลั่นเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว” สือฟ่งหรงกล่าวอย่างกะทันหัน “เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง”
เผยเหยียนหรานโบกมือ “พวกเราผิดกันทุกคนนั่นละ”
“ใช่แล้ว!” หยานเล่อสีหน้าสำนึกเสียใจ “เม็ดยาอีกาทองคำขายดีเกินไป ข้าก็ร้อนใจเกินไปเพราะพวกมันเร่งเร้าข้า แล้วข้าก็รีบวิ่งไปหาจั่วม่อ ตอนนี้มาคิดถึงเรื่องนี้ เราทำกำไรจิงสือก็เพื่อการดำรงอยู่ต่อไปของสำนัก หากเกิดอะไรขึ้นกับจั่วม่อเพราะเรื่องนี้ นี่ต่างหากที่จะเป็นความสูญเสียอย่างแท้จริง เราจะสูญเสียครั้งใหญ่!”
“ดีแล้วที่จำกัดมันไว้จากการหลอมกลั่นโอสถเสียก่อน” เผยเหยียนหรานกล่าวอย่างครุ่นคิด “ศิษย์น้องรอง ในช่วงเวลานี้ดูแลให้มันฝึกปรือกระบี่อย่างถูกต้อง เราจะไม่หวังว่ามันต้องมีความสำเร็จในมรรคากระบี่ พรสวรรค์เชิงกระบี่ของมันแม้ไม่เลว แต่มันมีความชอบมากหลาย ยากที่จะจดจ่อทุ่มเทให้กับอย่างใดอย่างหนึ่ง หากไม่เกิดเรื่องน่าอัศจารรย์อันใด ในอนาคตความสำเร็จเชิงกระบี่ของมันจะไม่ดีเท่าเหวยเสิ้ง”
ทุกผู้คนล้วนเป็นยอดฝีมือด่านจินตัน ในจุดนี้ย่อมเห็นได้อย่างชัดเจน กระทั่งสือฟ่งหรงยังพยักหน้าเล็กน้อย จั่วม่อเริ่มต้นจากเกษตรกรปราณ จากนั้นร่ำเรียนวิชาหลอมกลั่นโอสถ ตามด้วยวิชากระบี่ สิ่งที่มันเรียนรู้ทั้งกว้างขวางทั้งซับซ้อนเกินไป มันยังไม่ยินยอมละทิ้งสิ่งใด ดังนั้นความสำเร็จเชิงกระบี่ของมันย่อมจำกัดมาก
“แต่พรสวรรค์ด้านอื่นๆ ของจั่วม่อกลับเด่นล้ำอย่างแท้จริง หากมันไม่ได้ร่ำเรียนวิชาหลอมกลั่นกับศิษย์น้องหญิง พรสวรรค์ด้านหลอมกลั่นของมันคงสูญเปล่า เราจะไม่หวังให้มันมุ่งสู่มรรคากระบี่ เรายังสามารถหล่อเลี้ยงความสนใจด้านอื่นของมัน อย่างเช่นวิชาหลอมสร้างยุทธภัณฑ์ของศิษย์น้องรอง เราสามารถทดลองดู” เผยเหยียนหรานกล่าวต่อเนื่อง “แต่วันนี้คำเตือนของผู้เฒ่าเหอทำให้ข้าฉุกคิด ร่ายกายของจั่วม่ออ่อนแอเกินไป เราอาจไม่คาดหวังกับทักษะเชิงกระบี่ของมัน แต่เราสามารถเสริมสร้างความแข็งแรงทางร่างกายของมัน จะได้ป้องกันเหตุการณ์อย่างเช่นจู่ๆ ก็หมดสติได้ในอนาคต ก่อนที่สังขารร่างกายของมันจะแข็งแกร่งพอ ก็อย่าเพิ่งปล่อยให้มันจมลงไปในกระบวนการหลอมกลั่นโอสถ ศิษย์น้องรอง เรื่องนี้ต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว”
“ประเสริฐ!” ซินหยานคำรามคำหนึ่ง ในดวงตาครึ่งหลับครึ่งลืม แสงเย็นสองจุดสาดประกายวาบ
ไม่มีผู้ใดคัดค้านการจัดการของเผยเหยียนหราน กระทั่งสือฟ่งหรงยังรู้สึกว่าการไม่ยอมปล่อยให้จั่วม่อจมลงไปในกระบวนการหลอมกลั่นเป็นการชั่วคราว คือทางเลือกที่ถูกต้องที่สุด
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายจากไป เค้าความกังวลค่อยฉายชัดบนใบหน้าของเผยเหยียนหราน เวลานี้จั่วม่อมีปัญหา เช่นนั้นเหวยเสิ้งเล่า? ตอนนี้มันสำนึกเสียใจไม่น้อยที่ส่งเหวยเสิ้งเข้าไปในถ้ำกระบี่เร็วเกินไป
ในถ้ำกระบี่อันมืดมนอันธการ เสื้อผ้าของเหวยเสิ้งถูกย้อมด้วยโลหิตแดงคล้ำ เลือดสายหนึ่งไหลปรี่ลงมาจากมุมปาก ร่างท่อนบนของมันเปลือยอก บาดแผลใหญ่น้อยตัดไขว้เปื้อนเปรอะ เกรอะกรังไปทั้งร่าง แทบทนดูไม่ไหว และที่ขัดกับความเหนื่อยล้าหมองคล้ำ คือกระบี่ผ่าสายรุ้งที่ทอประกายเรืองรองในมือมัน เปล่งปลั่งราวกับสายรุ้งแจ่มจรัสหลังพิรุณห่าใหญ่พ้นผ่าน สีสันสดใสสั่นกังวาน
เหวยเสิ้งลูบไปตามตัวกระบี่อย่างลุ่มหลง กระบี่เจ็ดสีสั่นสะเทือน คำรามแผ่วเบาราวกับตอบรับมัน
ถ้ำกระบี่มีทั้งสิ้นสิบแปดชั้น เริ่มจากชั้นแรก มันได้เข่นฆ่าเปิดทางมาทีละก้าวทีละก้าว จิตวิญญาณภูตชั่วร้ายที่มันพบพานตลอดทาง ล้วนไม่เคยปล่อยให้หลุดรอดไปได้แม้แต่ตัวเดียว ไม่มีหยุดหย่อน ไม่มีเล่ห์กล เพียงเข่นฆ่ารุดหน้าไปเรื่อยๆ เท่านั้น ยามนี้มันทราบแล้วว่าเคล็ดกระบี่สุญตาอยู่ในชั้นที่สิบแปด เพียงแค่ไปถึงชั้นที่สิบแปด มันก็จะได้ยลโฉมเพลงกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุด ซึ่งปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักทิ้งไว้เบื้องหลัง ...เคล็ดกระบี่สุญตา!
แต่มันอดทนต่อแรงปลุกเร้าในหัวใจ ค่อยๆ ย่ำเท้าอย่างมั่นคงไปทีละก้าวๆ สังหารจิตวิญญาณภูตทีละตัวๆ มันกำลังหลอมสร้างเจตจำนงกระบี่ของมันเอง!
เหวยเสิ้งเป็นคนแรกในบรรดาศิษย์รุ่นที่สองของสำนักกระบี่สุญตาที่บรรลุความเข้าใจเจตจำนงกระบี่ ถึงกับเร็วกว่าจั่วม่ออีก เป็นความเข้าใจตามธรรมชาติเมื่อผ่านเข้าสู่ด่านจู้จี เจตจำนงกระบี่ที่มันเข้าใจด้วยตัวเองไม่ได้มาจากเคล็ดวิชากระบี่เล่มใด แต่มาจากการต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้งทุกวี่วัน รับรู้และขัดเกลาด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง ก่อเกิดเจตจำนงกระบี่ของมันเอง!
เจตจำนงกระบี่ของมันไม่ใช่ความเข้าใจในเคล็ดวิชากระบี่ แต่เป็นความเข้าใจในกระบี่โดยตรง!
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมซินหยานรู้สึกลำบาก เหตุผลว่าทำไมยากที่จะสอนมัน และนี่ยังเป็นเหตุผลว่าทำไม ไม่ว่าจะเป็นดื้อรั้นซินหยานหรือมั่นคงเผยเหยียนหราน ทั้งหมดล้วนเห็นพ้องกับการส่งเหวยเสิ้งเข้าไปในถ้ำกระบี่
พวกมันคาดหวังต่อเหวยเสิ้งอย่างสูง!
เหวยเสิ้งผู้ครอบครองเจตจำนงกระบี่ของตนเอง มันไม่ใช่แค่เป็นบุคคลเดียวในสำนักที่มีโอกาสสำเร็จเคล็ดกระบี่สุญตามากที่สุด แต่ยังเป็นเพียงบุคคลเดียว ที่มีความหวังจะบรรลุพลังฝีมือระดับเดียวกันกับปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักอีกด้วย แม้ว่าจั่วม่อก็เข้าใจเจตจำนงกระบี่ แต่ในหัวใจของเหล่าผู้อาวุโส อัจฉริยะภาพเชิงกระบี่ของเหวยเสิ้งเหนือล้ำกว่าจั่วม่อมาก!
เหวยเสิ้งลูบไล้กระบี่อย่างเบามือ ดวงตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ พลังบำเพ็ญเพียรของมันรุดหน้าอย่างบ้าคลั่ง ภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ กลับบรรลุถึงด่านจู้จีขั้นที่แปดแล้ว แต่สิ่งที่เหวยเสิ้งไม่เคยรู้ก็คือ ในอดีตเหล่าศิษย์ที่เข้ามาในถ้ำกระบี่ ผู้ที่สามารถเข่นฆ่าเปิดทางลงมาจนถึงชั้นแปดของถ้ำ ไม่เคยมีผู้ใดอยู่ต่ำกว่าด่านหนิงม่าย
และมัน กับพลังบำเพ็ญเพียรด่านจู้จี กลับต่อสู้และเข่นฆ่าเปิดทางลงมาจนถึงชั้นสิบหก!
นี่น่าแตกตื่นสะท้านโลกอย่างแท้จริง!
ตั้งแต่ชั้นสิบสามเป็นต้นมา แต่ละก้าวที่มันย่ำไปเบื้องหน้า ล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทนออกไป
แต่เหวยเสิ้งทั้งไม่หวาดกลัว ทั้งไม่ถอยหนี กระบี่ของมันไม่มีรีรอลังเล และไม่มีหนทางถอย!