TXV – 65 หวิงชุนไม่ได้ยากอย่างที่คิด !
TXV – 65 หวิงชุนไม่ได้ยากอย่างที่คิด !
หลิวหยิงเดินทางไปออสเตรเลียกับคุณพ่อและลูกของเธอ พักงานทุกอย่างที่ต้องทำเกี่ยวกับไนท์มูฟสปอตอีควิชเมนต์เอาไว้ก่อน
เซี่ยเหล่ยทำอะไรหลายอย่างเพื่อไนท์มูฟสปอตอีควิชเมนต์ และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าเขาควรจะหันมาทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้แล้ว ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังได้รับสิ่งที่มีค่ามากที่สุดกลับมา ไม่ใช่เงิน 5 ล้าน แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลิวหยิงนั่นเอง
ผ่านไป2-3วัน หลินบู่เหวินและหลินหย่าหยู่ยังไม่ได้มายุ่งวุ่นวายอะไรกับเซี่ยเหล่ย อาจเป็นเพราะทำอะไรกับเซี่ยเหล่ยไม่ได้ หรือนี่อาจเป็นลมสงบก่อนที่พายุจะโหมกระหน่ำ แต่ไม่ว่ายังไงเซี่ยเหล่ยก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจอยู่แล้ว
อาชาสายฟ้าเวิกค์ช็อปยังไม่มียอดสั่งซื้อปริมาณมากๆมาเพิ่มที่ร้านของเขา งานที่ได้ก็เป็นการขายสิ่งของธรรมดาและไม่ได้มีปริมาณมากเท่าไหร่ จริงๆมันไม่ดีต่อบริษัทนักที่เซี่ยเหล่ยลงทุนเงินไปอีกหลังจากที่จ่ายเงินเดือนพนักงานและค่าใช้จ่ายต่างๆแล้ว เซี่ยเหล่ยไม่ได้ใส่ใจเรื่องกำไรของเขานัก ตราบใดที่ยังคงจ่ายเงินเดือนให้พนักงานได้อยู่
งานตอนนี้มีงานแบบสบายๆและน้อยมาก ไม่ต้องถึงมือเซี่ยเหล่ยให้ต้องลงแรง นั่นหมายถึง เขามีเวลามากมายให้ทำอะไรที่อยากทำ เช่น อ่านหนังสือ หรือศึกษาเรื่องธุรกิจเพิ่มเพิ่มเติม เซี่ยเหล่ยยังไปซื้อของจำพวกอุปกรณ์ออกกำลังกายสำหรับพนักงานของอาชาสายฟ้าเวิกค์ช็อปอีกด้วย เขาซื้อแชมพูขวดหนึ่งให้เฉินอาเจียว ส้นสูงคู่หนึ่งให้จูเสี่ยวหง กับบุหรี่อีก2ซองหรือเหล้าดีๆให้กับพวกพนักงานชาย บางครั้งเซี่ยเหล่ยยังขับรถพา โฟล์คสวาเก้น โปโลของเจียงหยู่ยี่ไปแถบชานเมือง เพื่อหาที่ดินราคาดีๆและวาดฝันเกี่ยวกับการสร้างบริษัทเป็นของตัวเองบ้าง
หรือถ้าไม่ได้ทำอะไรพวกนั้น เซี่ยเหล่ยก็จะไปโรงเรียนหวิงชุนเพื่อศึกษาศิลปะการต่อสู้แบบหวิงชุนเพิ่มขึ้นอีก
เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ไปตามโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ต่างๆเพื่อเรียนทักษะเหล่านั้นเนื่องจากเขาไม่จำเป็นต้องเรียน แต่ตอนนี้มันต่างออกไป เขาจัดการกู๋เค่อเหวินและพวกลิ่วล้อของคนดังอย่างหล่าวฉี่ของเมืองห่ายจูไปนิดหน่อย เซี่ยเหล่ยคิดว่าเขารับมือพวกอันธพาลกระจอกๆสองคนนี้ได้ด้วยฝีมือตอนนี้ แต่ถ้าหากมีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่านี้ปรากฏตัว เขาคงได้กลายเป็นกระสอบทรายให้พวกมันอัดแน่ๆ
เซี่ยเหล่ยไม่เคยเป็นคนที่จะทำเรื่องพวกนี้ จนกระทั่งถูกคุกคาม เขาจึงเริ่มก้าวแรกในการเรียนศิลปะการต่อสู้
ตอนเช้าตรู่ เซี่ยเหล่ยวอร์มร่างกายที่อาชาสายฟ้าเวิกค์ช็อปรอบหนึ่งก่อนจะไปที่โรงเรียนหวิงชุนต่อ
โรงเรียนสอนหวิงชุนนั้นชื่อโรงเรียนห่ายจูหวิงชุน ซึ่งเจ้าของโรงเรียนคือ คุณหลางเฉิงชุนจากฟู๋ชาน มีคนกล่าวขานกันว่าเขาคือทายาทของผู้ก่อตั้งโรงเรียนหวิงชุน ทั้งสไตล์การสอนของเขายังถือเป็นหวิงชุนขนานแท้อีกด้วย
ในโรงเรียนมีนักเรียนหลายคน แต่วันนี้เซี่ยเหล่ยมาเร็วกว่าปกติ ที่โรงเรียนจึงแทบไม่มีผู้คนอยู่เลย มีเพียงแต่ คุณหลางเฉิงชุนที่กำลังฝึกตีหุ่นไม้อยู่คนเดียว
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
หลางเฉิงชุนอายุเกือบ 50 ปีแล้ว แต่เขาปราดเปรียวว่องไวและแข็งแรงอยู่ อายุไม่ทำให้เขาอ่อนแอลงเลย....
เซี่ยเหล่นเดินตรงเข้าไปทักทายเขา “อรุณสวัสดิ์ คุนหลาง”
หลางเฉิงชุนหยุดการออกลีลาลงแล้วหันมามองเซี่ยเหล่ย ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า “อ่า เซี่ยเหล่ยนี่เอง มาเร็วจังนะ” เซี่ยเหล่ยเพิ่งจะมาที่นี่ได้ 3 วัน แต่ก็สามารถทำให้ หลางเฉิงชุนประทับใจในตัวเขาได้แล้ว
เซี่ยเหล่ยยิ้มออกมา “ผมไม่มีอะไรทำ ก็เลยมาเร็วเพื่อฝึกซ้อม”
“โอเค งั้นฝึก ‘เซียเซี้ยฟ่าง’ ให้ดูก่อนนะ” หลางเฉิงชุนกล่าว
หวิงชุนขั้นพื้นฐานคือ เซียเซี้ยฟ่างมันเป็นพื้นฐานของร่างกาย การเคลื่อนไหวเท้า และอื่นๆ เมื่อฝึกได้แล้ว ก็จะสามารถเลื่อนขั้นไปยังเลเวลสูงกว่าอย่าง ‘พลังที่ซ่อนเร้น’, ‘หัตถ์ผสาน’, ‘ฝ่าผสาน’, ‘หัตถ์สไว, ‘ดัชนีพิฆาต’, การตีหุ่นไม้, ‘3 ดาราสวรรค์’ และอื่นๆได้อีกมากมาย
ซึ่ง 3 วันที่เซี่ยเหล่ยมาฝึกหวิงชุน เขาก็ฝึก เซียเซี้ยฟ่างมาโดยตลอด
เซี่ยเหล่ยฝึกท่าพื้นฐานได้แล้ว จึงเริ่มฝึกเคลื่อนไหวเท้าต่อ มือของเขาเคลื่อนไหว เปลี่ยนจากโจมตีเป็นป้องกันสลับไปมา เขาเริ่มทำได้ใกล้เคียงระดับมาตรฐานแล้ว…
หลางเฉิงชุนที่มองเซี่ยเหล่ยอยู่รู้สึกประหลาดใจมาก คนอื่นๆต้องใช้เวลาเป็นเดือนจึงจะทำได้ แต่เซี่ยเหล่ยสามารถเข้าใจถึงแก่นแท้ได้ภายใน 3 วัน แค่เขาไม่ได้แสดงความประหลาดใจนั้นออกมา เพียงแต่นั่งมองดูอยู่เงียบๆ บอกสิ่งที่เซี่ยเหล่ยต้องปรับไปบ้างเป็นครั้งคราว เนื่องจากเซี่ยเหล่ยเป็นนักเรียนที่จริงจัง นั่นทำให้เขาต้องสอนอย่างจริงจังตามไปด้วย
ไม่กี่นาทีต่อมา หลางเฉิงชุนก็พูดขึ้น “หยุดก่อน พอแค่นี้แหละ ไปพักเถอะ จะได้ฝึกอย่างอื่นกันต่อ”
เซี่ยเหล่ยผ่อนคลายลงแล้วยืนในท่าปกติ ถามขึ้นว่า “เป็นยังไงบ้าง คุณหลาง ?”
“ไม่เลวเลย ผมสอนนักเรียนมาหลายคน แต่คุณเรียนรู้ได้เร็วที่สุด ปู่ของผมเคยบอกว่าผมก็เรียนรู้ได้เร็วเหมือนกัน แต่ผมรู้สึกว่าคุณทำได้เร็วกว่าที่ผมเคยทำเสียอีก” หลางเฉิงชุนกล่าว
เซี่ยเหล่ยหัวเราะออกมาแต่ไม่ได้พูดอะไร ตาซ้ายของเขาจดจำทุกสิ่งที่เห็นได้อย่างแม่นยำ เขาบันทึกสิ่งที่ได้เรียนจาก หลางเฉิงชุนเอาไว้ในหัว และไม่เคยลืมวิธีที่เขาสอน จึงไม่แปลกที่เซี่ยเหล่ยเรียนรู้ได้เร็วจนความเร็วของหลางเฉิงชุนดูธรรมดาไปเลย…
ในขณะนั้นมีนักเรียนบางกลุ่มเดินมา หลางเฉิงชุนจึงออกไปทักทายและเตรียมการฝึกซ้อมให้พวกเขา
ในอดีต เหล่าลูกศิษย์จะต้องหมอบคลานและนำน้ำชามาให้อาจารย์ศิลปะการต่อสู้ของตนและแสดงให้เห็นถึงความเคารพนับถืออย่างมากที่มีต่ออาจารย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ครูสอนการต่อสู้ก็เป็นเพียงครู ส่วนลูกศิษย์ก็เป็นเพียงนักเรียน คนเป็นครูจะต้องคอยดูแลนักเรียนของตนและต้องมีทัศนคติที่ดีด้วย ทำไมน่ะเหรอ ? เพราะถ้าทัศนคติของครูแย่ นักเรียนก็จะเปลี่ยนไปฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างอื่น เช่นจูโดหรือเทควันโดได้ จะมีใครเหลือใครมาเรียนหวิงชุนกันล่ะ?
นักเรียนทุกคนเข้ามาเรียนที่นี่กันนานแล้ว ซึ่งเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปีในการฝึกฝน หัวหน้ากลุ่มคือลู่เชิง เขารู้จักศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานและได้เรียนหวิงชุนมากว่า 3 ปีแล้ว เขาแข็งแกร่งมาก และเป็นนักเรียนที่เก่งที่สุดของที่นี่ทั้งยังเข้ากับคนอื่นได้ดีอีกด้วย นักเรียนที่อายุน้อยกว่า จะเรียกเขาว่าพี่เชิงด้วยความนับถือทุกครั้งที่เจอ
“เชิงมาเร็วนะวันนี้” หลางเฉิงชุนพูดและยิ้มให้เมื่อนักเรียนเขาทักทาย
ลู่เชิงตอบกลับด้วยความสุภาพ “อรุณสวัสดิ์ คุณหลางพอดีเจ้านายของผมเดินทางไกลวันนี้ ผมไม่ได้ไปด้วยเพราะไม่มีวีซ่า พออยู่ที่บ้านไม่มีอะไรทำ ก็เลยมาฝึกที่นี่”
ลู่เชิงเป็นบอดี้การ์ดมืออาชีพ
นักเรียนคนอื่นๆทักทาย หลางเฉิงชุนด้วยความนับถือ....
เหล่านักเรียนเริ่มฝึกซ้อมกันแล้ว พวกเขาจับคู่กันฝึก หัตถ์ผสาน และ ฝ่าผสาน บางคนก็เป็นตัวสำรอง ลานฝึกซ้อมวันนี้จึงดูค่อนข้างคึกคัก
เซี่ยเหล่ยมองด้วยตาที่ร้อนผ่าวเพราะรู้สึกแย่ที่ไม่ได้ฝึก หัตถ์ผสาน และ ฝ่าผสาน สักที เซี่ยเหล่ยมองพวกเขาอยู่สักพัก ก่อนจะเดินตรงไปยังหุ่นไม้ แล้วเริ่มออกลีลาตามที่เห็น หลางเฉิงชุนทำ
การตีหุ่นไม้เป็นหนึ่งในหลักสูตรระดับสูงของหวิงชุน ซึ่งต้องใช้เวลาฝึกอย่างน้อย 1 ปี แต่นั่นสำหรับคนอื่น ขีดจำกัดนี้ไม่ใช่สำหรับเซี่ยเหล่ย เขาเพียงแค่นึกถึงสิ่งที่จำมา การเคลื่อนไหวของ หลางเฉิงชุนก็ปรากฏขึ้นในหัวเป็นฉากๆแล้ว เวลา ทิศทาง หรือต้องโจมตีตรงไหน เซี่ยเหล่ยจำได้หมดแล้ว เหลือเพียงแค่ทำตามเท่านั้น....
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เทียบกับการเคลื่อนไหวของ หลางเฉิงชุนที่ฝึกมาจนชำนาญแล้ว เซี่ยเหล่ยยังขยับแบบทื่อๆอยู่ การตอบโต้ก็ยังคร่อมจังหวะ แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็นับว่าถูกต้องพอสมควร และการตีแต่ละครั้งก็เป็นไปตามขั้นตอนด้วย เปรียบได้กับคนที่ฝึกมาเป็นเดือนๆ...
หลางเฉิงชุนมองเซี่ยเหล่ยตีหุ่นไม้ด้วยความประหลาดใจ คิดในหัวว่า ‘เด็กคนนี้แปลกจริงๆ นี่เพิ่งจะเป็นวันที่4ที่เขามาฝึก แต่กลับกล้าลองฝึกตีหุ่นไม้แล้วงั้นเหรอ? ขนาดเรายังฝึกเป็นปีกว่าจะมุ่งมั่นฝึกตีหุ่นไม้ได้ สมัยนี้ยังมีอัจฉริยะศิลปะการต่อสู้แบบนี้อยู่อีกเหรอ ? ’
ตอนนั้นลู่เชิงแนะนำการฝึกหัตถ์ผสานให้กับนักเรียนคนอื่นๆก่อนจะเดินตรงมาที่เซี่ยเหล่ย
แต่เซี่ยเหล่ยไม่รู้ตัวเลยว่าลู่เชิงเดินเข้ามาใกล้ เพราะกำลังจดจ่ออยู่กับการเลียนแบบการเคลื่อนไหวของ หลางเฉิงชุนเมื่อเซี่ยเหล่ยเริ่มฝึกต่อ การเคลื่อนไหวของเขายังคงช้าอยู่ครึ่งจังหวะ แล้วค่อยๆเพิ่มความเร็วขึ้นจนใกล้เคียงกับที่ หลางเฉิงชุนทำแล้ว
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
การตีหุ่นไม้ของเซี่ยไหล่สร้างความเจ็บปวดให้กับเนื้อตัวและกระดูกอย่างหนัก แต่เขาไม่ใส่ใจ ในความคิดมีเพียงใบหน้าเปื้อนน้ำตาของ หลิวหยิงและสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ เซี่ยเหล่ยนึกถึง กู๋เค่อเหวิน หลินบู่เหวินและ หลินหย่าหยู่ ไฟโกรธก็ลุกโชนขึ้นทันที ความเจ็บปวดเทียบอะไรไม่ได้กับความแค้นนี้เลย...
‘สักวันหนึ่ง ฉันจะต้องจัดการกู๋เค่อเหวินให้ได้ !’ ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวของเซี่ยเหล่ย นั่นทำให้เขาโถมแรงหนักขึ้นอีก
“เฮ้ย ไอ้หนุ่ม ออกไปได้แล้ว” ลู่เชิงพูดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว
นอกจาก หลางเฉิงชุนแล้ว ทุกคนในโรงเรียนนี้จะต้องเรียกเขาด้วยความเคารพว่า พี่เชิงทุกครั้งที่เจอ และถ้าเขาต้องการฝึกกับอุปกรณ์ใดๆก็ตาม ทุกคนจะต้องหยุดและยกให้เขาเสมอ แต่เซี่ยเหล่ยไม่ได้มองเขาเลยแม้แต่น้อย นั่นทำให้เขาเริ่มรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาแล้ว...
เซี่ยเหล่ยเอาแต่จดจ่ออยู่กับภาพการเคลื่อนไหวของ หลางเฉิงชุนในหัวจนไม่ได้สังเกตเลยว่า ลู่เชิงมายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ และได้พูดอะไรไปบ้าง เซี่ยเหล่ยตีหุ่นไม้อย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว จนดูเหมือนว่าเขาจะเก่งไม่แพ้นักเรียนคนอื่นๆที่ฝึกหวิงชุนมากว่า 2 ปีเลย
“หูหนวกรึไง ไอ้หนุ่ม?” ลู่เชิงเอื้อมมือออกไปจับไหล่เซี่ยเหล่ยแล้วดึงตัวเขาออกมาทันที
เซี่ยเหล่ยตัวลอยจนเท้าไม่ติดพื้นก่อนที่จะได้พูดอะไรด้วยซ้ำ
ผลัก ! เซี่ยเหล่ยร่วงลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง แล้วพบว่าเป็น ลู่เชิงนั่นเองที่ทำเขาล้มกระแทกกับพื้น
“ทำอะไรของคุณเนี่ย?” เซี่ยเหล่ยพูดด้วยความงุนงงเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ลู่เชิงฉีกยิ้ม “คุณกล้ามาฝึกตีหุ่นไม้ทั้งที่มาที่นี่แค่ 4 วัน เพราะงั้นผมเลยอยากรู้ว่าคุณจะเก่งแค่ไหนกัน ผมอยากทดสอบทักษะของคุณสักหน่อย มือของผมก็เลยขยับไปเองน่ะ แต่คุณก็ไม่เลวเลยนี่ ผมนึกว่าฉันโยนแกไปถึงประตูแล้ว แต่คุณลอยไปแค่ 3 เมตรเอง”
เซี่ยเหล่ยลุกขึ้นยืนทันที ลูเชิงคนนี้ดูจะไม่ชอบเขาเสียแล้ว ถึงได้มาทำกับเขาแบบนี้
“ทำไม? ไม่พอใจเหรอ? มาวัดกันเลยก็ได้นะถ้าคุณไม่พอใจ แค่การขยับ 3 ครั้ง ผมสามารถทำให้คุณพิการได้แล้ว” ลู่เชิงมองเซี่ยเหล่ยด้วยการดูถูก “คุณกล้ามั้ยล่ะ?”
เซี่ยเหล่ยไม่ยอมโดนดูถูกแบบนี้ ถ้าไม่สู้กลับ แล้วเขาจะเป็นลูกผู้ชายได้ยังไงกัน?
เซี่ยเหล่ยยืนขึ้น “งั้นเข้ามาเลย !”
ลู่เชิงอึ้งไปชั่วครู่ “คุณกล้ารับคำท้าผมเหรอ ?”
“ก็จริงอยู่ที่ผมชนะคุณไม่ได้ แต่มันไม่เกี่ยวว่าผมจะกล้าหรือไม่กล้า ถึงแม้ว่าผมอาจจะล้มคุณไม่ได้ในตอนนี้ แต่ผมไม่กลัวคุณหรอก ผมจะสู้กับคุณ !” เซี่ยเหล่ยกล่าว
ลู่เชิงหัวเราะออกมาและยกนิ้วให้เซี่ยเหล่ย “คุณนี่ลูกผู้ชายดี ผมจะออมมือให้แล้วกัน”
เซี่ยเหล่ยไม่พูดอะไร แต่ตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้แล้ว
หลางเฉิงชุนรีบตรงเข้ามาแล้วตะโกนลั่น “ทำอะไรกันน่ะ? นี่ผมสอนหวิงชุนให้พวกคุณเอามาสู้กันเองหรือไง ? ถ้าจะสู้กันก็ออกไปข้างนอก อย่ามาทะเลาะกันในโรงเรียนของผม”
“คุณหลาง ผมแค่หยอกรุ่นน้องผมเฉยๆ ผมไม่คิดจะสู้จริงจังหรอก อีกอย่าง ผมจะไปรังแกพวกมือใหม่ได้ยังไง?” ลู่เชิงกล่าว
เซี่ยเหล่ยกลับมายืนในท่าผ่อนคลาย แล้วพูดต่อ “ใช่แล้ว พวกเราแค่หลอกล้อกัน ไม่ได้จริงจังอะไรเลย”
จู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางประตู “แต่ที่ฉันเห็น เธอกำลังรังแกเด็กใหม่อยู่นะ !”
เซี่ยเหล่ยมองตามไปยังต้นเสียง ก่อนจะเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา
ติดตามตอนต่อไป.......