Chapter 2 ถนนสีดำ
Chapter 2 ถนนสีดำ
ถนนสีดำมันคืออะไร? เมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทันสมัยมากขึ้น ก่อให้เกิดตึกสูงมากมาย บดบังแสงจากดวงอาทิตย์ แสงจึงส่องมาไม่ได้ถนน ตรอกข้างล่าง พื้นที่เหล่านี้จึงมืดตลอดวัน ผู้คนจึงเรียกว่า “ถนนสีดำ”
บริเวณที่ฝางเจียวตอนนี้อาศัยอยู่ถูกล้อมรอบไปด้วยตึกอาคารสูงกว่า 100 ชั้นโดยแต่ละตึกก็สร้างห่างกันทำให้มีช่องว่าง และช่องว่างระหว่างตึกพวกนี้แหละคือถนนสีดำ หากอยากจะเรียกผู้คนที่อาศัยบริเวนถนนสีดำอย่างสุภาพคือ คนที่อาศัยในช่องว่าง
สภาพถนนหยาบย่ำแย่ นอกเหนือจากการขาดแสงแดดแล้วก็ยังเป็นพื้นที่อันตราย
หลังจากที่ฟางเจียวคนก่อนเซ็นต์สัญญากับค่ายเพลง เขาย้ายออกจากมหาวิทยาลัย และได้ออกมาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวเพื่อต้องการหาที่สงบในการแต่งเพลง แต่ว่าเขามีเงินทุนที่จำกัด เขาจึงมีงบพอแค่จ่ายค่าเช่าเป็นที่อยู่แบบตู้คอนเทนเนอร์ที่ถนนสีดำเท่านั้น และเขาต้องการย้ายออกทันทีหลังจากที่ได้รับเงินจากการทำงาน แต่ก่อนที่เขาจะส่งงาน เขาก็ดันถูกขโมยผลงานไปส่งจากคนที่เขาไว้ใจ
เดิมทีแต่ก่อนฟางเจียวในวัยเด็กมีเพื่อน 4ขวบคือ ฝางเซิง แฟนเก่าของเขา“หวางหวง” เซงหวง และคู่หมั้นของซงหวงวรรณยู
ทั้ง 5คนเติบโตและอาศัยอยู่ในอาคารเดียวกัน แต่น่าเสียดายที่ ขณะที่เขาเรียนอาคารเรียนในโรงเรียนของพวกเขาเกิดการระเบิดขึ้นแต่พวกเขารอดโดยเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 1ใน10 ของนักเรียนทั้งหมดเท่านั้น
รัฐบาลจ่ายเงินให้เป็นจำนวนมากและสวัสดิการต่างๆเป็นการชดเชยช่วยเหลือ จึงทำให้พวกเขาทั้ง 5คนมีเงินมากพอที่จะเรียนจบมหาวิทยาลัย โดยแต่ละคนก็เรียนในมหาลัยที่ต่างกัน ถึงยังไงก็ตามยังมีการติดต่อกันเสมอแต่ก็ไม่เท่าตอนเด็กๆของพวกเขา
------------
และหลังจากเกิดเหตุการณ์หายนะขึ้นทั้งโลกก็รวมตัวกันเป็นหนึ่งไม่มีการแบ่งแยกประเทศ
ประกอบด้วยทวีปต่างๆ 12ทวีป โดยแบ่งเป็น 8ทวีปใหญ่ๆและ4ทวีปพิเศษ
ฟางเจียวอาศัยอยู่ในทวีปใหญ่คือ หางอัน โดยมีเมืองหลวงคือ อันโจว
ฟางเจียวเรียนเก่งที่สุดในกลุ่ม และเขาก็ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสอนดนตรีที่ดีที่สุดในอันโจว คือสถาบันดนตรีราชวงศ์ฉี
ตั้งแต่ในอดีตมีนักแต่งเพลงที่จบมาจากสถาบันดรตรีราชวงศ์ฉีถึง 100คนโดยพวกเขาล้วนแล้วเป็นนักประพันธ์เพลงที่มีอิทธิพลชื่อเสียงทั่วโลกผู้คนมากมายใฝ่ฝันที่จะเข้าสถาบันการศึกษานักเรียนที่ใกล้จะเรียนจบจะได้เซ็นต์สัญญากับบริษัทโดยฟางเจียวคนก่อนเมื่อ 6เดือนที่แล้วเขาก็ได้เซ็นต์กับบริษัท Silver Wing Media เป็นเวลา 6เดือนซึ่งเป็นบริษัทรายใหญ่แห่งวงการบันเทิง ของเมืองอันโจวโดย3เดือนแรกเขาจะได้ส่งไปอบรมและศึกษางานก่อน และอีกสามเดือนหลังเขาจะได้ทำผลงานจริงๆโดยมีการแข่งขันกันว่าใครที่ทำได้ผลงานดีที่สุดจะได้รับเข้าทำงานที่บริษัท Silver Wing Media
แต่ผลงานของเขาก็ถูกขโมยไปโดยฝางเซิงเพื่อนคนสนิทของเขาฝางเซิงเป็นญาติห่างๆกับฝางเจียง ซึ่งพวกเขาก็สนิทกันมาก เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกันเลยแหละ จนเขาทำให้ฝางเจียวคนก่อนรู้สึกผิดมากจนต้องตัดสินใจฆ่าตัวตายกับสิ่งที่ทำลงไป
ฟางเจียวคนใหม่จึงตัดสินใจหยุดรื้อฟื้นความจำใหม่ของเขา และเขาก็เริ่มสังเกตุสิ่งรอบตัวของเขาแทน และเขาได้เห็นว่ามีผู้คนมากมายอยู่รอบๆ เห็นร้านค้าที่มีประตูเลื่อน เห็นคนกำลังเปิดหน้าต่างแล้วจ้องมองท้องฟ้าแม้ว่าจะดึกมากแล้วแต่ฝางเจียงก็ยังคงมองดูธรรมชาติรอบๆต่อไปทุกอย่างมันเปลี่ยนไปมากจริงๆ เขาต่างหลงใหลกับสิ่งต่างๆที่เปลี่ยนนี่คือโลกใหม่
ยุคทองได้เกิดขึ้นทันทีหลังจากหมดสิ้นวันหายนะ หรือเรียกว่ายุคแห่งการบูรณะ
ฝางเจียวคิดว่าพวกพ้องของเขาในยุคสงคราม 100ปีจะต้องยินดีเป็นอย่างมาก เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเขาหวังไว้จนต้องต่อสู้มาอย่างลำบาก
เขาเห็นความมืดมิด และ เสียงที่เงียบสงบ
เขาหลับตาและสูดหายใจลึกๆ ฟางเจียวรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่ากับอากาศในโลกใหม่นี้มาก
เขาเกิดแรงบันดาลใจ อยากจะทำผลงาน เลือดของเขาสูบฉีด ขนลุกด้วยความเร้าใจ
แต่นั่นยังไม่พอ
เพื่อที่จะสร้างผลงานชิ้นโบแดง เขาต้องการแรงบันดาลใจมากกว่านี้
ทันใดนั้นแสงสว่างก็เกิดขึ้นและเสียงก็ดังขึ้นในความคิดของเขา
ฝางเจียงจึงตัดสินใจลุกขึ้น ปิดหน้าต่าง และจากความทรงจำทั้งหมดที่เขาได้รับมาพร้อมกับร่างใหม่ เขารู้ทันทีว่าถนนสีดำจะต้องมีช่วงเวลาที่คึกคักแล้วมีค่าที่สุดกำลังจะเกิดขึ้น
ฝางเจียงมองไปที่กำไล มองไปที่บ้านเห็นคอมพิวเตอร์ส่วนตัวและฝางเจียงนี่ต้องเป็น สิ่งของจำเป็นที่คนบนโลกต้องมีไว้ครอบครอง
กำไลสามารถใช้เพื่อที่จะซื้อส่งของและมันสามารถใช้เป็นกุญแจอพาทเมนต์ได้อีกด้วย ฝางเจียงจึงอยากได้กำไลนั้น
------------
หลังจากที่เขาได้กำไลมาแล้ว เขาก็ไปที่ประตูอพาทเมนต์และหยุดมองสุนัขจรจัดที่กำลังนั่งมองเขา แล้วพามันขึ้นไปด้วย
หลังจากที่เขาออกจากห้องพร้อมกับสุนัข เขาก็สังเกตว่าทุกคนต่างก็กำลังจะไปที่ชั้น 1 เหมือนกับเขาเพื่อลงไปขอย้ายห้องไปอยู่ห้องด้านบน
เนื่องจากว่าแถวนี้มีอาคารสูงมากมาย ถึงแม้ว่าจะเวลากลางวันข้างล่างก็มืดมิดเสมอ ส่วนคนที่อยู่บนชั้นบนก็มักจะได้รับแสงแดด
สำหรับผู้คนที่ไม่สามารถจ่ายค่าเช่าในชั้นบนได้พวกเขาก็จะออกไปรับแสงแดดข้างนอกพื้นที่ถนนสีดำแทน
ทันใดนั้นก็มีคนที่กำลังรีบวิ่งลงบันไดอยู่ได้เหลือบมองมาที่ฝางเจียว แต่ก็วิ่งผ่านไปทันที เพราะเขาคิดว่าไม่รู้จักกันคงไม่จำเป็นต้องทักทาย
หลายคนรู้สึกฉงนที่เห็นฝางเจียวเดินอุ้มสุนัข แต่ฝางเจียวก็ไม่คิดอะไรได้แต่ยิ้มกลับไป
ชาวบ้านต่างประหลาดใจที่เห็นชายหนุ่มคนนี้ยิ้มถึงแม้ว่าเขาจะมีความกังวลอยู่ก็ตาม
คนที่ออกไปรับแสงแดดส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้สูงอายุ
ผู้คนที่ออกมาจากลิฟท์เป็นผู้ชายและผู้หญิงที่มีผมสีเทาที่ดูสะดุดตา
ในตอนที่เขาไปถึงล็อบบี้ของอาคาร เขาก็สังเกตเห็นว่าบนถนนมีผู้คนอยู่แออัดมาก โดยปกติแล้วจะไม่มีรถมาสัญจรบนถนนเส้นนี้โดยเฉพาะช่วงเวลาเที่ยงวัน
ในยามเย็นคนที่อาศัยอยู่ชั้นล่างต่างก็เปิดหน้าต่างออกเพื่อรับแสงแดดยามเย็นอันสวยงาม
ฝางเจียวเขาเริ่มหิว เขาเดินไปที่ร้านขายของชำ
----------
ตั้งแต่วันหายนะสิ้นสุดลง รัฐบาลก็ไม่อนุญาตให้ใช้ปืนอีกเลย เนื่องมาจากป้องกันการเกิดสงคราม
สถานการณ์เริ่มคลี่คลายด้วยวิธีนี้ แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถควบคุมได้
เริ่มมีการจลาจลในหลายทวีปมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ รัฐบาลเกือบจะล่ม
และนั่นคือสาเหตุที่มีการควบคุมปืน การควบคุมปืนอย่างเข้มงวดในศตวรรษที่ผ่านมา แต่ก็เป็นไม่ได้เลยที่ประชาชนจะพกปืนได้
แต่ก็ยังมีผู้คนไม่มากนักในถนนสีดำที่มีปืนอย่างถูกกฎหมาย นั่นรวมถึง ยูชิง เจ้าของร้านขายของชำด้วย
และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงไม่มีใครไปมีเรื่องกับร้านขายของพวกนี้
---------
เมื่อฝางเจียวเข้าไปในร้านของ ยูชิง ซึ่งยูชิงกำลังหาวอยู่แต่ก็รีบหันไปต้อนรับทันที เขาจำได้ว่าเมื่อวานฝางเจียวอยู่กับไอเด็กนั่นที่จะฆ่าตัวตายอย่างเดียวโดยไม่สนใจถึงสิ่งที่ตามมาสักอย่าง
ฝางเจียวบอก “การฆ่าตัวในที่ถนนดำก็ไม่ได้มีแค่คนเดียวหนิ”
หลังจากนั้นยูชิงก็หันไปมองที่สุนัขของฝางเจียว
ใช่แล้วนี่มันเด็กที่เจอเมื่อวานจริงๆ
ฉันเห็นเธอพาสุนัขจรจัดกลับบ้าน
ในขณะนั้นก็มีคนอื่นมาพนันกับฝางเจียวว่าจะทำยังไงกับสุนัข ถ้าหากสุนัขตาย เขาจะกินมันหรือจะฝังมัน
แต่เหมือนว่าเขาจะผิดทั้งหมด
ยูชิงขยิบตาส่งซิกให้ฝางเจียว เขาแค่อยากจะแนะนำความรู้และไม่ได้มีเจตนาร้ายใดๆทั้งนั้น
แต่ฝางเจียวก็ไม่ได้ตอบใดๆ
ภาพจากความทรงจำก็ผุดขึ้นมาว่า เขากำลังซื้อของที่ถูกที่สุดคือ มีลักษนะเป็นกล่องแท่งความยาวประมาน 3นิ้วหัวแม่มือ เป็นพลาสติก นำไปเวฟได้
ยูชิงหยุดและมองไปที่ของที่ฝางเจียวถืออยู่ และเขาก็พูดว่า “นั่นราคา 9เหรียญ ต้องการทานเลยมั้ยครับ?”
ฝางเจียว “ครับ แล้วก็ขอชาสักถ้วย”
ยูชิง “ถ้าให้เราเวฟให้จะคิดราคาเพิ่มอีก 50เซนต์ และชาอีก 50เซนต์ รวมเป็น 10ดอลลาร์นะ”
ยูชิงก็เปิดถุงและนำไปไว้ในไมโครเวฟ10วินาทีต่อมา เขาก็นำเอาอาหารออกมาและแกะออกนั่นคือติ่มซำนั่นเองซึ่งมีขนาด กว้างประมาน 20เซนติเมตร สูงประมาน8เซนติเมตร นึ่งร้อนมาอย่างน่ากินน
ยูชิง “ต้องการเอากลับไปทานบ้านมั้ย”
ฝางเจียว “ไม่หล่ะ จะทานที่นี่” และเขาก็ยกถาดอาหารไป และถามยูชิงว่า “เอาเก้าอี้ออกไปนั่งข้างนอกได้มั้ย?”
ยูชิง “ได้ แต่อย่าไกลมากหละ” ยูชิงตอบไปด้วยความไม่ลังเล เนื่องจากไม่ค่อยมีใครกล้าที่จะมีเรื่องกับร้านขายของมากนักหรอกในถนนดำนี้
ฝางเจียวได้ไปนั่งแถวหน้าร้าน อยู่ข้างๆสุนัขของเขา
ฝางเจียวได้แบ่งติ่มซำให้สุนัข 1ชิ้นและเก็บไว้ทานเอง 2ชิ้น และเขาก็นั่งคิดว่า ถ้านี่อยู่ในช่วงวันแห่งความหายนะ เขาจะไม่กินอาหารกับสุนัขที่พึ่งจะเจอกันหรอก แต่ตอนนี้ฝางเจียวอารมณ์ดี ที่ได้เกิดมาในโลกใหม่ เขายินดีที่จะแบ่งปัน ตั้งแต่ที่เจ้าของร่างคนเก่ารับเลี้ยงมันมา และมันยังไม่ตาย เขาก็พร้อมที่จะเลี้ยงมันต่อ
รสชาติของติ่มซำไม่อร่อยมากนัก แป้งก็เป็นแป้งกระจอกๆ แต่ช่างเถอะ ไม่อย่างงั้นเขาคงไม่ขายเราถูกขนาดนี้
แต่สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ในวันแห่งความหายนะ พวกเขาคิดว่านี่แหละเป็นอาหารอันโอชะ พวกเขาไม่เรื่องมากเกี่ยวกับการกิน ไม่จุกจิกจู้จี้
ในตอนนี้ถ้ามีเปรียบเทียบอาหารที่กินง่ายและกินยาก ก็ต้องติ่มซำนี่แหละถึงแม้จะมีวิธีทำที่สารพัดก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้เขาสามารถนั่งทานอาหารได้อย่างสงบสุข
นั่นแหละคือโลกของฝางเจียว