ตอนที่แล้วบทที่ 71 การทดลองครั้งใหม่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 73 ยามคับขันพลันเกิดไหวพริบ

บทที่ 72 พบอาคันตุกะ


 

“ไฟอีกาทองคำระดับสี่?” เหวินเถี่ยซ่านเหรินมองเม็ดยาในมือผู้เฒ่าเหออย่างไม่เชื่อถือ “เท่าที่ข้าเห็น ภายในโอสถปราณนี้ไม่ได้มีพลังปราณมากมายกระไรนัก ไม่อาจจัดอยู่ระดับสองด้วยซ้ำ มันสามารถให้ก่อกำเนิดไฟอีกาทองคำได้จริงๆ?”

ผู้อื่นก็ล้วนแล้วแต่มีสีหน้าไม่เชื่อถือ มากน้อยแตกต่างกันไป

โอสถปราณที่อยู่เพียงระดับหนึ่งหรือระดับสอง สามารถก่อกำเนิดไฟอีกาทองคำระดับสี่ ฟังดูเพ้อฝันเกินจริงไปมาก ควรทราบว่าไฟอีกาทองคำระดับสี่เป็นเมล็ดพันธุ์ไฟที่หายากจนขึ้นชื่อ ผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนโหยหาใฝ่ฝันถึงมัน แต่นอกจากไม่กี่สำนักที่ล่วงรู้วิธีควบกลั่นและฟูมฟักเลี้ยงดู โดยทั่วไปไม่มีวิธีอื่นที่จะได้รับมาครอบครอง หากมีผู้ใดสามารถครอบครองไฟอีกาทองคำระดับสี่ด้วยการรับประทานเม็ดยาเพียงชนิดเดียวจริงๆ ต่อให้เม็ดยานี้ไม่ใช่เพียงระดับหนึ่งระดับสอง แต่เป็นโอสถปราณระดับสี่ เกรงว่ายังคงมีผู้คนนับไม่ถ้วนต้องการซื้อมันอย่างไม่ลังเล

ผู้คนที่อยู่ในที่แห่งนี้ล้วนแต่เป็นยอดคนด่านจินตัน พวกมันทราบกระจ่างว่าช่องว่างระหว่างคุณภาพระดับต่ำกับคุณภาพระดับสูง ไม่ใช่สิ่งที่สามารถถมเต็มได้ด้วยเพียงจำนวนหรือปริมาณ นี่คือเหตุผลที่ราคาระหว่างคุณภาพต่ำและคุณภาพสูง มักจะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

แต่เวลานี้กลับได้ฟังว่าโอสถปราณซึ่งมีคุณภาพไม่เกินระดับสอง อาจสามารถก่อกำเนิดไฟอีกาทองคำ นี่ไม่ต่างอันใดกับเรื่องชวนขันที่น่าหัวร่อที่สุด หากมิใช่ว่าผู้กล่าววาจาเป็นผู้เฒ่าเหอผู้มีฝีมือหลอมกลั่นเหนือล้ำกว่าผู้ใดในหมู่พวกมัน ทุกผู้คนคงคิดว่าตาเฒ่าผู้นี้เสียสติไปแล้ว

“นี่เป็นโอสถปราณระดับหนึ่ง” ผู้เฒ่าเหอไม่รีบไม่ร้อน เพียงเล่าอย่างเนิบนาบ “มันมีแก่นสารดวงอาทิตย์อยู่เล็กน้อย แก่นสารของดวงอาทิตย์สายนี้หลังจากหลอมรวมลงในเม็ดยา ทั้งอบอุ่นอ่อนโยน เชื่องเชื่อ ไม่หุนหันดุร้าย และควบคุมได้ง่าย ในทางทฤษฎีมีความเป็นไปได้ที่จะก่อกำเนิดไฟอีกาทองคำ แน่นอน นี่เฉพาะในทางทฤษฎีเท่านั้น”

พอฟังถึงคำสุดท้าย ทุกผู้คนค่อยระบายลมหายใจโล่งอก พวกมันล้วนแสดงสีหน้า ‘ก็สมควรเป็นเช่นนั้น’ อย่างพร้อมเพรียง

“แก่นสารดวงอาทิตย์ปริมาณเท่านี้นับว่าน้อยเกินไปมาก หวังก่อกำเนิดไฟอีกาทองคำ หากไม่มีเม็ดยานับหมื่นเม็ด เกรงว่าคงไม่อาจเพียงพอ แต่ต่อให้แก่นสารดวงอาทิตย์นี้ไม่สามารถให้กำเนิดไฟอีกาทองคำ ทว่ายังเป็นหยางสุดขั้ว บริสุทธิ์ถึงที่สุด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับหลอมรวมลงไปในเมล็ดพันธุ์ไฟชนิดอื่น พวกเราในที่นี้ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องใช้ แต่จะเป็นของขวัญที่ดีมากสำหรับคนรุ่นต่อไป” ผู้เฒ่าเหอสรุปอย่างยิ้มแย้ม

ทุกผู้คนพอฟังก็พยักหน้า พวกมันทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือด่านจินตัน หากเม็ดยานี้สามารถก่อกำเนิดไฟอีกาทองคำได้จริง พวกมันย่อมสนใจ แต่เมื่อเป็นเพียงแก่นสารดวงอาทิตย์ นี่ยังไม่เพียงพอให้พวกมันสนใจนัก แต่จะอย่างไรพวกมันในที่นี้ไม่มีผู้ใดเป็นเซียนสัญจร ดังนั้นล้วนแล้วแต่มีลูกศิษย์มากมาย ต่อให้พวกมันเป็นเซียนสัญจรจริงๆ ก็ยังคงมีลูกศิษย์อยู่บ้าง เม็ดยาอีกาทองคำแม้ระดับต่ำ แต่มีแก่นสารดวงอาทิตย์ซึ่งสามารถหลอมรวมเข้าไปในเมล็ดพันธุ์ไฟทุกประเภท และอาจช่วยยกระดับไฟเหล่านั้นได้ นับเป็นโอสถปราณที่มีประโยชน์ใช้สอย เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะใช้เป็นรางวัลสำหรับเหล่าศิษย์ของพวกมัน

“ตามที่ผู้เฒ่าเหอว่ามา นี่เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ ไม่ทราบเม็ดยาอีกาทองคำนี้สามารถหาซื้อได้จากที่ใด?” นางเซียนอวิ๋นเสียพอได้ยินว่ามีแก่นสารดวงอาทิตย์อยู่ในโอสถปราณ ยังอดถามไม่ได้ ผู้อื่นก็รอฟังด้วยสีหน้าคาดหวัง

“ฮาฮา เป็นสำนักเล็กๆ เรียกว่าสำนักกระบี่สุญตา” ผู้เฒ่าเหอเฉลย แล้วหันไปถามเทียนซงจื่อ “ไม่ทราบว่าสหายเต๋าคุ้นเคยกับสำนักนี้หรือไม่?”

เทียนซงจื่อแปลกใจอยู่บ้างตั้งแต่ได้ยินชื่อสำนักกระบี่สุญตา พอฟังคำถามของผู้เฒ่าเหอ ก็รีบตอบว่า “สำนักกระบี่สุญตามักเก็บเนื้อเก็บตัวเสมอมา หากมิใช่ในระหว่างนี้เกิดเรื่องราวขึ้น ข้ายังคงไม่ได้สังเกตเห็นการคงอยู่ของสำนักท้องถิ่นอันเข้มแข็งถึงเพียงนี้”

“อ้อ นี่เป็นมาอย่างไร?”เยวียนลี่ถามอย่างใคร่รู้ ในฐานะยอดฝีมือด่านจินตัน พลังบำเพ็ญเพียรของเทียนซงจื่อหาได้ด้อยกว่าพวกมันไม่ อีกทั้งเชื้อสายของมันยังสืบทอดอำนาจเหนือตงฝูมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง สำนักที่กระทั่งมันยังกล่าวขานถึงว่าเข้มแข็ง พลังอำนาจของสำนักนั้นย่อมไม่อาจดูแคลนได้

เห็นทุกผู้คนมีสีหน้าสนอกสนใจ เทียนซงจื่อลำดับความคิด แล้วเล่าอย่างแช่มช้า “กล่าวถึงสำนักกระบี่สุญตา นี่ต้องเริ่มจากนิมิตแห่งฟ้าดินครั้งหนึ่ง ในหมู่ศิษย์สำนักกระบี่สุญตารุ่นนี้ มีสุดยอดอัจฉริยะผู้หนึ่งเรียกว่าเหวยเสิ้ง คนผู้นี้ชาติกำเนิดต่ำต้อย แต่งมงายในกระบี่ เพื่อที่จะฝึกปรือกระบี่ มันยินยอมเป็นข้ารับใช้กระบี่ หลังจากร่ำเรียนฝึกปรืออย่างหนักหน่วง สุดท้ายก็มาถึงด่านจู้จี ทันทีที่มันบรรลุด่านจู้จี เจตจำนงกระบี่ของมันพุ่งทะลวงขึ้นฟ้า สะท้านสะเทือนไปทั่ว ไม่ว่าใกล้หรือไกลล้วนได้ยินชัดเจน ข้าเห็นมันด้วยสายตาของข้าเองและติดตามไปชมดูทั้งยามวิกาล แต่แล้วข้ากลับค้นพบว่าสำนักกระบี่สุญตานี้ถึงกับซ่อนเร้นมังกรเลื่องชื่อไว้ตัวหนึ่ง ไม่ทราบว่าสหายเต๋าท่านใดเคยได้ยินนามกระบี่มังกรน้ำแข็งมาบ้างหรือไม่?”

เหวินเถี่ยซ่านเหรินสะท้านขึ้นเฮือกหนึ่ง “ใช่กระบี่มังกรน้ำแข็ง ที่ปีนั้นสร้างความสะท้านสะเทือนในการล่าอสูรหรือไม่?”

ผู้อื่นล้วนมีสีหน้าตื่นตะลึง

“เป็นมันเอง” เทียนซงจื่อพยักหน้ายืนยัน “กล่าวไปก็ละอายใจนัก หากมิใช่นิมิตแห่งฟ้าดินที่เกิดขึ้นยามเหวยเสิ้งบรรลุด่านจู้จี ข้าคงยังไม่ทราบว่ามียอดฝีมือผู้หนึ่งอยู่ในตงฝูของเรา เม็ดยาอีกาทองคำที่เรากำลังกล่าวถึงหลอมกลั่นโดยสือฟ่งหรงแห่งสำนักกระบี่สุญตา พลังบำเพ็ญเพียรของนางก็อยู่ด่านจินตันเช่นกัน และเป็นผู้ที่มีฝีมือทางหลอมกลั่นมากที่สุดในสี่ยอดฝีมือด่านจินตันแห่งสำนักกระบี่สุญตา”

เมื่อเทียบกับเทียนซงจื่อ หวีป๋ายเห็นได้ชัดว่าล่วงรู้เรื่องราวทั่วไปมากกว่า มันรีบกล่าวแก้ให้ว่า “ซือฟู่อาจยังไม่ทราบ แต่เม็ดยาอีกาทองคำนี้ไม่ใช่ฝีมือของผู้อาวุโสสือ แต่เป็นศิษย์ของนาง จั่วม่อ ฟังว่ามันหลอมกลั่นสำเร็จโดยบังเอิญระหว่างที่เริ่มต้นร่ำเรียนวิชาหลอมกลั่น”

“เด็กผู้นี้พรสวรรค์ด้านหลอมกลั่นวิเศษยิ่ง” ผู้เฒ่าเหออดชมเชยไม่ได้

เทียนซงจื่อพอฟัง สีหน้าก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง โพล่งออกมาอย่างกะทันหัน “สำนักกระบี่สุญตานี้กำลังจะรุ่งโรจน์อย่างแท้จริง!”

เห็นผู้อื่นหันมามองมันเป็นตาเดียว เทียนซงจื่อต้องอธิบายว่า “พวกท่านยังไม่ทราบ จั่วม่อผู้นี้ไม่เคยเป็นที่รู้จักมาก่อน แต่มันสามารถครอบครองป้ายหยกชุนหยาตั้งแต่ยังอยู่ในด่านเลี่ยนชี่ นับเป็นพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ทีเดียว และในด่านเลี่ยนชี่มันยังบรรลุเจตจำนงกระบี่อีกด้วย พรสวรรค์นี้กล่าวได้ว่าเหลือเชื่อเพียงอย่างเดียว ข้าคาดไม่ถึงว่ามันถึงกับมีพรสวรรค์ในวิชาหลอมกลั่นโอสถเป็นพิเศษ สวรรค์ช่างเมตตาปราณีต่อสำนักกระบี่สุญตาจริงๆ !”

กล่าวถึงตอนนี้คนอื่นๆ อดแสดงสีหน้าเห็นพ้องไม่ได้ ในสามเรื่องที่เทียนซงจื่อกล่าวมา เพียงแค่เรื่องเดียวก็มากพอให้คนผู้นั้นได้รับการพิจารณาว่ามีความสามารถเด่นล้ำเหนือผู้คน แต่นี่กลับมีทั้งสามคุณสมบัติในคนเดียว ไม่เรียกว่าอัจฉริยะในรอบร้อยปีจะเรียกอะไร? สำนักกระบี่สุญตาเมื่อกอรปด้วยยอดฝีมือรุ่นก่อนที่เลื่องชื่อเช่นกระบี่มังกรน้ำแข็ง และยอดอัจฉริยะบุรุษเช่นเหวยเสิ้งกับจั่วม่อในรุ่นต่อมา ต่อแต่นี้ไป หลายร้อยปีแห่งความมั่งคั่งยั่งยืน ย่อมเป็นที่คาดหวังได้

ผู้คนที่นั่งอยู่ในที่นี้หวนนึกถึงสำนักของตนและล้วนจมอยู่ในความคิดของตัวเอง

“ในเมื่อกระบี่มังกรน้ำแข็งผู้นั้นอยู่ในตงฝู ไฉนเราไม่ฉวยโอกาสเยี่ยมคำนับ และสั่งซื้อเม็ดยาอีกาทองคำสักชุดในระหว่างที่เรายังติดภารกิจอยู่ที่นี่ ฮ่าฮ่า พวกท่านเห็นเป็นอย่างไร?” ผู้เฒ่าเหอชักชวน ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านี้ นับมันสนใจสำนักกระบี่สุญตามากที่สุด

คนอื่นๆ ล้วนเห็นพ้อง ทุกคนที่อยู่ที่นี่มีผู้ใดไม่กลอกกลิ้ง ผู้ใดไม่เต็มไปด้วยเหลี่ยมคู เมื่อสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสำนักที่กำลังจะทะยานขึ้นฟ้า ผลประโยชน์ในอนาคตไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใดมาแจกเจง

 

จั่วม่อนั่งอยู่หน้ากระถางหลอมกลั่น สองมือทาบบนแผ่นจานแปดทิศ สมาธิจิตใจจดจ่อรวมตัว ลำแสงสีทองกระจ่างสายหนึ่งส่องลงมากระทบมือของมัน แล้วสะท้อนลงไปยังกระถางหลอมกลั่น

เคล็ดอัคคีสีชาดถูกใช้ออกจนถึงขีดสุด และค่ายกลยันต์เวทไฟหลีก็ถูกควบคุมให้เล็กละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภายในกระถาง กลุ่มก้อนน้ำสกัดของตัวยาถูกห่อหุ้มไว้ในแสงสีทอง ลอยค้างอยู่กลางอากาศ หมุนกลิ้งและเดือดปุดๆ ไม่หยุดยั้ง ค่ายกลยันต์เวทไฟหลีที่ใต้กระถางปลดปล่อยความร้อนออกมาเล็กน้อย

รู้สึกถึงแก่นสารดวงอาทิตย์หลอมรวมเข้าสู่น้ำยาอย่างแช่มช้า จั่วม่อเพิ่มความตระหนักรู้ของมันอย่างฉับพลัน มันทราบว่าเวลาที่สำคัญที่สุดกำลังจะมาถึง

ตอนเริ่มต้น ความเร็วที่แก่นสารดวงอาทิตย์ผสานรวมนั้นเชื่องช้ามาก แต่เมื่อมันเข้าไปในน้ำยาแล้วความเร็วก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างฉับพลัน ขั้นตอนนี้ต้องระมัดระวังอย่างสูงในการควบคุมเคล็ดอัคคีสีชาด หากประมาทสักเล็กน้อย มันจะสูญสิ้นทุกอย่าง จั่วม่อล้มเหลวหลายครั้งที่ขั้นตอนประสานอันสำคัญยิ่งนี้

ฟุ่บ!

ควันสีเทาพลุ่งออกมาจากน้ำยาที่กำลังเดือด

จั่วม่อในใจร้องผิดท่า แต่ยังไม่ทันจะได้ตอบสนอง ลูกกลมของน้ำยาก็กลับกลายเป็นก้อนขี้เถ้าในพริบตา

“บัดซบเอ๊ย!”

จั่วม่อนั่งซึมเซา หลังจากหลอมกลั่นโอสถอย่างต่อเนื่องหักโหม พลังปราณของมันแทบจะเหือดแห้ง ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำ สีหน้าท่าทีเหนื่อยล้า ในห้องหลอมกลั่นเต็มไปด้วยเศษซากของเม็ดยาที่ล้มเหลว ส่งกลิ่นน่ารังเกียจอวลไปทั้งห้อง

จนกระทั่งถึงตอนนี้ มันยังไม่ประสบความสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่ามันจะไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ในวันนี้ ในความพยายามครั้งสุดท้ายนี้ ในที่สุดมันก็ค้นพบปัญหา

ในหมู่วัตถุดิบหลายชนิดของเม็ดยาราชันธัญพืช มีอยู่ชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถทนต่อแก่นสารดวงอาทิตย์ความเข้มข้นสูงได้ แก่นสารดวงอาทิตย์อาจดูเล็กละเอียดและโปร่งเบา แต่อันที่จริงแข็งแกร่งรุนแรงกว่าค่ายกลยันต์เวทไฟหลีมาก วัตถุดิบเจ้าปัญหาชนิดนี้เรียกว่าหญ้าพันหยก ไม่สามารถทนต่อการหลอมกลั่นด้วยไฟอันร้อนแรงได้

มันจำเป็นต้องเสาะหาหญ้าปราณชนิดใหม่ที่สามารถทนต่อแก่นสารดวงอาทิตย์ซึ่งรุนแรงกว่าเดิม ทั้งยังต้องมีสรรพคุณทางยาคล้ายคลึงกับหญ้าพันหยก จั่วม่ออดปวดเศียรเวียนเกล้าไม่ได้ นี่เป็นปัญหาที่มันกังวลและไม่ต้องการเผชิญมากที่สุด เมื่อกล่าวถึงสรรพคุณทางยาและทฤษฎีของวิชาหลอมกลั่น มันก็ไม่ต่างอันใดกับตาบอด

จั่วม่อถอนใจยาว ดูเหมือนว่าความคิดของตนได้แต่ต้องรอพิสูจน์ในอนาคตแล้ว แต่มันยังคงไม่ยินยอมพร้อมใจ ดังนั้นตกลงใจจะไปตรวจสอบม้วนหยกในห้องตำราของซือฟู่ให้ละเอียด ดูว่าสามารถหาสมุนไพรปราณที่ให้ผลคล้ายกับหญ้าพันหยกหรือไม่

เมื่อตัดสินใจได้ ก็เดินออกจากห้องหลอมกลั่น

“ศิษย์พี่!” สวี่ฉิงเห็นจั่วม่อเดินออกมา ดวงตาก็เป็นประกาย นางรีบตรงเข้าหา “เรือใหญ่ลำนั้นมาที่สำนักเรา!”

“เรือใหญ่? เรือใหญ่อันใด?” จั่วม่อกำลังใจลอย ถามออกมาตามสัญชาตญาณ

“ศิษย์พี่จำไม่ได้แล้ว? เรือใหญ่ที่บินผ่านเราไปเมื่อไม่นานมานี้อย่างไรเล่า” สวี่ฉิงสะกิดความจำ

“เรือใหญ่ที่บินผ่านเราไป!” จั่วม่อสะท้านขึ้นเฮือกหนึ่ง คนคล้ายตื่นขึ้นมาในทันใด เรือที่น่าเกรงขามอย่างยิ่งลำนั้นทิ้งความประทับใจไว้ให้แก่มันอย่างใหญ่หลวง รีบถาม “เรือใหญ่นั่นมาสำนักเราทำอะไร?”

“ข้าก็ไม่ทราบ” สวี่ฉิงส่ายหน้า “พวกมันคล้ายสนทนากับอาจารย์ลุงอย่างถูกคอยิ่ง แต่ข้าฟังมาว่าพวกมันมาที่นี่เพื่อตรวจสอบเรื่องดาวพร่างกลางทิวา”

“ดาวพร่างกลางทิวา?” จั่วม่อรู้สึกเหมือนถูกบีบคอ ทันใดนั้นมันก็นึกได้ว่านกกระเรียนกระดาษสีชมพูก็เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด มันคล้ายรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าดาวพร่างกลางทิวานี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับมัน

“ศิษย์พี่ท่านลืมอีกแล้ว? อ้อ ใช่ ข้านึกออกแล้ว วันนั้นศิษย์พี่กำลังเข้าสู่ด่านจู้จี!” น้ำเสียงนางเต็มไปด้วยความเสียใจ “น่าเสียดายที่ศิษย์พี่พลาดโอกาสเห็นมัน ดวงดาวแข่งแสงประชันสุริยา หายากมาก!”

จั่วม่อเย็นวาบตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า หากก่อนหน้านี้มันเพียงรู้สึกรางๆ ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมัน บัดนี้มันก็มั่นใจแล้วว่าดาวพร่างกลางทิวาเกี่ยวข้องกับมันอย่างแน่นอน! ในโลกจะมีเรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?

แต่เพียงแค่มันคนเดียว ย่อมไม่มีปัญญาเกี่ยวข้องกับนิมิตแห่งฟ้าดินด้วยตัวมันเองแน่

มันไม่สามารถ แต่ผูเยาสามารถ!

ขบคิดถึงตรงนี้ มันรีบตัดบทสวี่ฉิง แล่นกลับเข้าไปในห้องหลอมกลั่นอีกครา

ทันทีที่หลบเข้ามาในห้อง จั่วม่อรีบเข้าสู่ทะเลแห่งจิตสำนึกในบัดดล เห็นผูเยานั่งเอกเขนกฟังอินกุยอย่างสบายอารมณ์

“ผู ดาวพร่างกลางทิวานั่น เจ้าใช่เป็นคนทำหรือไม่?” จั่วม่อรู้สึกว่าสุ้มเสียงมันสั่นสะท้าน

“ข้า?” ผูเยากระทั่งตายังไม่กระพริบ รีบส่ายศีระษะทันควัน “ไม่ใช่ข้า!”

จั่วม่อระบายลมหายใจอย่างโล่งอกทันที ผูเยาอาจเจ้าปัญหา มีข้อเสียมากมาย แต่มันไม่เคยไม่ยอมรับเรื่องเลวร้ายที่มันกระทำ

แต่ประโยคถัดมาของผูเยา ทำให้จั่วม่อหวาดกลัวแทบกลั้นใจตาย “ไม่ใช่ข้า แต่เป็นเจ้าต่างหาก!”

“ข้าเนี่ยนะ?” จั่วม่อชี้จมูกตัวเอง ถามอย่างโง่งม

“อืม ผีตายซากบางตัวต้องการพลังจากดวงดาวและยืมร่างกายของเจ้า” ผูเยาดูยินดีต่อคราวเคราะห์ของจั่วม่อเห็นได้ชัด “ตอนนั้นข้าก็เตือนมันแล้ว ว่ามันทำเกินไป”

จั่วม่อสมองลั่นอึงอล ตะกุกตะกักอยู่ครึ่งค่อนวัน “เจ้า...เจ้าใช่หมายความว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่?”

ผูเยายังไม่ทันจะตอบ จั่วม่อพลันได้ยินเสียงคนเคาะประตู “ศิษย์พี่ ท่านเจ้าสำนักเรียกให้ท่านไปยังโถงสุญตา ฟังว่ามีอาคันตุกะต้องการพบท่าน!”

อะ...อะไรนะ?

 

กลุ่มถึงตอนที่ 124 แล้ว คลิก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด