ตอนที่ 29 รอยยิ้มชั่วร้าย
“หมาป่าพวกนั้นยังอยู่อีกรึ!? พวกมัน….. พวกมันตามเรามา?” เขาตกตะลึงอย่างมาก พวกเขาเดินมาเป็นระยะทางพอสมควรแล้ว ทว่าเขากลับไม่รู้เลยว่ามีฝูงหมาป่ากว่าสิบตัวเดินตามหลังมาด้วย
เขาไม่กล้าจินตนาการว่าหากพวกเขาถูกหมาป่าพวกนี้พุ่งเข้าใส่ขณะที่ไม่ทันรู้ตัวผลลัพธ์จะเป็นเยี่ยงไร…….
“ไม่ต้องกังวล พวกมันไม่กล้ากระโจนใส่พวกเรา มันแค่รอฉวยโอกาส” เฟิ่งจิ่วกวาดตาไปมองพวกหมาป่าแว่บหนึ่งแล้วหันหลังกลับไปเดินทางต่อ
นางรู้ว่าการที่ฆ่าพวกมันบางส่วนไปอย่างโหดเหี้ยมและเลือดเย็น เป็นเครื่องเตือนใจให้พวกที่เหลือในฝูงไม่กล้าซี้ซั้วพุ่งเข้ามาหาพวกเขาอีก ฝูงหมาป่าทราบดีว่าหากพวกมันทำพลาดไปแม้แต่นิดสิ่งที่รออยู่มีเพียงความตาย!
ทว่าฝูงหมาป่าก็ไม่ยินยอมที่จะตัดใจจากไป พวกมันจึงตามพวกเขามาอย่างห่างๆเพื่อรอคอยโอกาส
“นี่จะปล่อยให้พวกมันตามเราไปแบบนี้รึ?” ชายหนุ่มถามอย่างตกใจ รู้สึกว่าแปลกประหลาดยิ่งที่ดูเหมือนว่าขอทานน้อยไม่ใส่กังวลกับพวกมันแม้แต่น้อย
[แน่นอนว่าขอทานน้อยอ่อนเยาว์กว่าเขามาก แล้วเหตุใดเขาจึงได้มีทั้งความกล้าหาญและทักษะที่น่าตื่นตะลึงถึงเพียงนี้?]
เฟิ่งจิ่วหยุดเดินและหันมามองตรงไปที่ชายหนุ่ม “หรือเจ้าอยากจะไปไล่พวกมัน?”
“หา!? …… ข้าคิดว่านั่นคงไม่จำเป็น ปล่อยให้พวกมันตามเรามาก็ได้” เขายิ้มเจื่อนๆและเกาหัวอย่างจนปัญญา
หากมีใครซักคนเดินผ่านมา พวกเขาคงได้เห็นภาพเหตุการณ์อันแปลกประหลาด
ชายสองคนกำลังเดินลอยชายอยู่ในป่าลึก และที่ตามหลังพวกเขาห่างไปราวห้าวาคือฝูงหมาป่ากว่าสิบตัวที่หิวโหยจนน้ำลายไหลยืด
“เจ้าหนู เจ้าว่าอักษรที่อยู่บนจี้หยกนี่จะใช่ชื่อของข้าหรือไม่?” เขายื่นหยกให้เฟิ่งจิ่วขณะที่กล่าว “มันห้อยอยู่ที่คอข้ามาตั้งแต่ต้น”
เฟิ่งจิ่วรับหยกมาพิจารณา บนนั้นมีอักษรสามตัวสลักไว้อยู่ “กวนซีหลิน?”
นางไม่ได้พูดอะไรต่อทว่ามองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้าก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าชื่อว่ากวนซีหลิน?”
“ข้าคิดว่าอาจจะใช่”
นางคืนจี้หยกให้ชายหนุ่มและหัวเราะพร้อมกล่าวว่า “ข้านึกว่าเจ้าจะถูกเรียกว่าเจ้ายักษ์ทึ่มเสียอีก!”
“.....”
กวนซีหลินมองไปที่ขอทานน้อยอย่างพูดไม่ออก แต่เขายังฉลาดพอที่จะไม่ต่อปากต่อคำเพิ่มอีก
ทั้งสองเดินเคียงกันไปโดยที่มีฝูงหมาป่าคอยตามหลังอย่างไม่มีวี่แววว่าจะเลิกรา
จนกระทั่งกวนซีหลินสูดจมูกดมฟุดฟิดแล้วหันมายิ้มยิงฟันให้เฟิ่งจิ่วและพูดว่า “เจ้าหนู ข้างหน้ามีคนกลุ่มหนึ่ง รีบตามพวกเขาให้ทันกันเถอะ หากคนพวกนั้นยอมให้พวกเราตามไปด้วย พวกหมาป่าคงไม่กล้าจู่โจมเข้ามาอีก”
“กลุ่มคน? เจ้ารู้ได้ยังไง?” นางเพ่งมองข้างหน้าซึ่งก็พบเพียงต้นไม้และพงหญ้า นางไม่เห็นสัญญาณใดๆที่จะบ่งบอกว่ามีคนอยู่แถวนี้เลยซักนิด
ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างยืนกราน “มีแน่นอน! ข้าได้กลิ่นหอมของเนื้อย่าง”
“กลิ่นเนื้อย่าง? ทำไมข้าถึงไม่ได้กลิ่น?” นางพึมพัมขณะที่เดินลึกเข้าไปต่อ หลังเดินไปได้ซักระยะนางก็ได้กลิ่นเนื้อย่างขึ้นมาจริงๆและยังได้ยินเสียงพูดคุยแว่วมาเบาๆ นางหันขวับไปมองกวนซีหลินอย่างสงสัย
[เจ้าหมอนี่จมูกดียังกับหมาล่าเนื้อเลยรึ?]
“ฮี่ ฮี่ เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่ามีคนอยู่ข้างหน้า!” เขากล่าวพลางหัวเราะ “ไปกันเถอะ เมื่อเราไปถึงนั่นและพวกเขายอมให้เราตามไปด้วย พวกเราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเจออันตรายจากพวกสัตว์ป่าอีก”
“เจ้าคิดว่าคนอื่นจะยอมให้เราเข้าร่วมกลุ่มได้ง่ายดายปานนั้น?” นางเหลือบไปที่เขาแล้วกล่าวว่า “มีแต่ข้าเท่านั้นแหละที่ว่างพอจะให้เจ้าตามมาด้วย”
เมื่อเห็นกวนซีหลินยืนมึนทำอะไรต่อไม่ถูก เฟิ่งจิ่วก็จ้องไปที่เขาและกล่าวต่อ “ที่นี่ถูกเรียกว่าป่าเก้าวงกต ซึ่งมันเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย ในที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายมากมายแบบนี้เจ้าคิดว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรเมื่อเห็นคนแปลกหน้าสองคนอยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นและเข้ามาหากลุ่มของพวกเขา”
“เอ่อ….. พวกเขาจะคิดว่ายังไง?” กวนซีหลินคิดตามไม่ทันและถามอย่างใคร่รู้
“เจ้าโง่! พวกเขาจะคิดว่าเราพยายามเข้าใกล้โดยมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงไงเล่า!”
“งั้นพวกเราจะทำยังไงกันดี?”
สายตาของเฟิ่งจิ่วพลันเปลี่ยนไป และริมฝีปากของนางก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย “ไม่ต้องเป็นห่วงข้ามีแผน ทำตามข้าก็พอ”