ตอนที่ 75-76 การมาถึงของเหรัญญิกเม้ง
ผู้อาวุโสที่หนึ่งกล่าวตอบด้วยใบหน้าเคร่งขรึม : “ใช่ !! ถูกต้อง !!”
“สิ่งที่ข้ากล่าวออกไปมันถูกต้องแล้ว !!” ซู่ซวนวู่หัวเราะอย่างเยือกเย็น : “การแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์ของเหว่ยจวางและซู่มู่ ทำไมเหว่ยจวางถึงต้องสวมสมบัติแห่งการป้องกัน? สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายกฎแห่งสำนักหรือไง ? เราควรจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร?”
เขาไม่ได้กล่าวว่าควรจัดการกับหยางไค่อย่างไร เขาพันธนาการเหว่ยจวางด้วยความผิดนี้ ทำให้ผู้อาวุโสแสดงออกด้วยใบหน้าที่นิ่งเงียบโดยไม่รู้วาจะตอบคำถามนี้ได้อย่างไร?
“หากเหว่ยจวางใช้ความสามารถของตัวเองเอาชนะซู่มู่ ต้องโทษซู่มู่ที่โง่เขลาเสียเอง แต่เหว่ยจวางใช้อำนาจการป้องกันจากสมบัติวิเศษในการทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของหลานชายข้า ผู้อาวุโสที่หนึ่งเจ้าคิดว่าข้าเป็นก้อนดินที่สามารถบีบขย้ำให้เละเทะจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมหรือไง?” ซู่ซวนวู่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวโกรธ เขาทุบลงไปที่พนักพิงเก้าจนมันแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
เหว่ยซิตงต้องลดท่าทีที่แข็งแกร่งกระด้างของตนเองอย่างช่วยไม่ได้ : “ผู้อาวุโสที่สองอย่างโกรธเคืองไปเลย สมบัติแห่งการป้องกันของเหว่ยจวาง เป็นสิ่งที่ข้ามอบให้แก่เขาเอง แต่ข้าเพียงต้องการให้เขาปลอดภัยโดยมีการคุ้มครองจากสมบัติแห่งการป้องกัน แต่ข้าไม่คิดว่าเหว่ยจวางจะใช้สมบัติในทางที่ผิด เขากลับใช้สมบัติแห่งการป้องกันในการแลกเปลี่ยนวิชยุทธ์กันศิษย์คนอื่นๆ เรื่องนี้เป็นความผิดของเหว่ยจวาง”
ทันทีที่กล่าวจบ เขาตะโกนด้วยเสียงที่เกรี้ยวโกรธ : “เหว่ยจวาง ทำไมยังไม่ขอโทษและยอมรับความผิดต่อหน้าศิษย์น้องซู่ล่ะ ?”
เหว่ยจวางเป็นคนที่ชาญฉลาดเขารีบยกมือกล่าวขอโทษซู่มู่ : “ศิษย์น้อ้งซู่ ครั้งนี้มันเป็นความผิดของศิษย์พี่ ศิษย์จะชดใช้ให้เจ้าเอง ศิษย์น้องเป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวาง ขอให้ศิษย์น้องอย่าสนใจต่อความผิดพลาดของศิษย์พี่เลย !!”
“ฮึ่ม !!” ซู่มู๋หันหน้ากล่าวโดยไม่สนใจ
แต่เมื่อกล่าวออกมาถึงขึ้นนี้ ซู่ซวนวู่จะสามารถจะสามารถทำอย่างไรได้อีก ?
ผู้อาวุโสที่หนึ่งกล่าวต่อ : “เหว่ยจวางมีความผิด แต่หยางไค่ละเมิดกฎที่ผิดยิ่งกว่า ในมือของเขามีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ พยายามฆ่าเหว่ยจวาง ถ้าหากไม่มีการช่วยเหลือจากศิษย์แห่งหอวินัยศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้เหว่ยจวางคงไม่มีชีวิตรอดกลับมา เรื่องนี้เป็นการกระทำที่ชั่วร้ายอย่างมาก หยางไค่ต้องได้รับการลงโทษ เพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่ผุ้อื่น !!”
ผู้อาวุโสที่สี่และผู้อาวุโสที่ห้าต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวของผู้อาวุโสที่หนึ่ง
ผู้อาวุโสที่สองหัวเราะอย่างเย็นชา : “ทำไมเหว่ยจวางละเมิดกฎแต่ขอให้เขาขอโทษทุกอย่างก็จบ แต่หยางไค่กลับถูกลงโทษ ? อาจเป็นเพราะเหว่ยจวางเป็นหลายของผู้อาวุโสที่หนึ่ง จึงมีสิทธิ์ที่กระทำเช่นนี้ได้? ถ้าหากเป็นเช่นนี้ การหารือในสมาคมผู้อาวุโสแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวคงไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ และไร้ซึ่งชือเสียงเกี่ยรติยศต่อศิษย์ทุกๆคน”
เหว่ยซิตงกล่าวอย่างเคร่งขรึม : “สิ่งที่ผู้อาวุโสที่สองกล่าวมันไม่ถูกต้อง ความผิดที่หยางไค่กระทำ กับความผิดของเหว่ยจวาง ไม่สามารถเปรียบเทียบในระดับกันเดียว เหว่ยจวางนั้นสวมใส่สมบัติแห่งการป้องกัน เพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น เขาไม่ต้องการทำร้ายผู้อื่น แต่หยางไค่ใช้สมบัติลึกลึบในการพยายามฆ่าเหว่ยจวาง ความผิดที่หนักเบา ผู้อาวุโสที่สองโปรดแยกแยะให้ชัดเจน !!”
ซูซวนวู่กล่าตอบ : “กล่าวถามผู้อาวุโสที่หนึ่ง ใครมองเห็นสมบัติลึกลับในการฆ่าของหยางไค่ ?ถ้าหากเขามีอาวุธที่ชั่วร้ายนั้นจริงๆ ทำไมศิษย์แห่งหอวินัยศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ค้นออกมาจากร่างกายของเขา?ผู้อาวุโสที่สี่ หอวินัยศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายใต้อำนาจของเจ้ามีการรายงานเกี่ยวกับการค้นพบอาวุธที่ชั่วร้ายหรือไม่ ?”
หอวินัยศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายใต้การดูแลของผู้อาวุโสที่สี่โจวเฟย เมื่อได้ยินดังนี้เขาจึงส่ายหัวและกล่าวตอบ : “แม้ว่าจะไม่พบ แต่ภายใต้สายตาของศิษย์จำนวนมากมาย พวกเขาต่างมองเห็นใบมีดสีแดงเลือด เรื่องนี้เป็นความจริงที่มิอาจปฏิเสธ หากไม่เป็นเพราะอาวุธนั้นมีอานุภาคที่รุนแรง เสือเกราะเมฆาของเหว่ยจวางจะถูกทำลายได้อย่างไร ?”
ซูซวนวู่หัวเราะอย่างเย็นชา เขาเคลื่อนไหวพลังลมปราณที่อยู่ภายใน ทันใดนั้นนิ้วมือที่เรียวยาของเขามีกระบี่ที่เรียวเล็กปรากฏออกมา กระบี่เล่มนี้ก่อกำเนิดมากจากลมปราณ กระบี่เล่มนี้ประกายไปมาอย่างรวดเร็ว และยังแผ่รักศมีพลังทิ่ยิ่งใหญ่ของมันออกมาอีกด้วย
“ถ้าหากกล่าวเช่นนี้ ในมือของข้าก็ถืออาวุธชนิดหนึ่ง ?” ซู่ซวนวู่กล่าวเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสที่สามอย่างเย็นชา
“มันเป็นความวิเศษและการใช้ประโยชน์จากพลังลมปราณ จะถือว่าเป็นอาวุธได้อย่างไร?” ผู้อาวุโสที่ห้าพยักหน้าอย่างช้าๆ
“สิ่งที่ผู้อาวุโสที่สองกล่าวหมายถึง หยางไค่ที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขึ้นที่ 3 แต่สามารถใช้พลังลมปราณถึงขั้นนี้ ?” ผู้อาวุโสที่สี่กล่าวด้วยใบหน้าเยาะเย้นต่อซู่ซวนวู่
คำพูดเหล่านี้ช่างเป็นเรื่องที่น่าขำยิ่งนัก ผู้ฝึกยุทธุ์คนหนึ่ง ต้องอยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริง เมื่อมีลมปราณแท้จริงไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายของผู้ฝึกยุทธุ์ พวกเขาจึงจะสามารถใช้พลังลมปราณในการก่อกำเนิดเป็นอาวุธในการต่อสู้ แต่ว่าหยางไค่ อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มชั้นที่ 3 เท่านั้น เขตแดนของเขาห่างจากเขตแดนลมปราณแท้จริงถึงหลายหมื่นหลายพันลี้ เขาจะมีความสามารถเช่นนีได้อย่างไร ?
“ข้าไม่ได้กล่าวว่าเขาสามารถใช้พลังลมปราณในการก่อกำเนิดควบคุมสิ่งต่างๆ ถึงขั้นนี้ แต่ว่าผู้อาวุโสทั้งหลายอย่าลืมว่ายังมีเคล็ดวิชา ทักษะการต่อสู้ อื่นๆอีกมากมาย ?” ซู่ซวนวู่กล่าวสบท
“ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าเขาจะใช้ทักษะการต่อสู้ที่วิเศษ แปลกประหลาดหรือลึกลับแค่ไหน เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 3 ก็มิอาจทำลายเสื้อเกราะเมฆ่า” เหว่ยซิตงสายหัวไปมาอย่างต่อเนื่อง
“ในใต้หล้าที่กว้างไกล ไม่มีเรื่องใดที่เป็นไปไม่ได้ อาจเป็นผู้อาวุโสทั้งหลายแย่งชิงอำนาจทางการปกครองจนจิตใจยุ่งเหยิงและอยู่ในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน แต่พวกเจ้าอย่าได้หลงลืมไป ในใต้หล้าของพวกเรามีการเปลี่ยนแปลงทุกวันคืน พวกเจ้าคงไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเวลาที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา !!”
คำกล่าวนี้ค่อนข้างน่าเกลียด ทำให้เหว่ยซิตงแสดงออกด้วยความเยือกเย็นในทันที : “ผู้อาวุโสที่สอง เจ้าต้องการที่จะปกป้องหยางไค่นั่นใช่ไหม ?”
“ใช่แล้วจะทำไม” ซู่ซวนวู่ลุกยืนขึ้น : “เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์ของศิษย์รุ่นเยาว์ ทำไมพวกเจ้าต้องนำมาเป็นประเด็นก่อให้เกิดความวุ่นวาย ข้าจะทำให้ความต้องการของพวกเจ้าประสบความสำเร็จ ต้องลงโทษหยางไค่และเหว่ยจวางพร้อมกัน พวกเขาทั้งสองต่างทำผิดกฎของสำนัก ห้ามปล่อยไปแม้แต่คนเดียว หรือไม่ ก็ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป ไม่ต้องติดตามเรื่องนี้อีกต่อไป !!”
“ไม่ได้ !!” เหว่ยซิตงกล่าวโต้แย้ง : “แม้ว่าจะเป็นอย่างที่เจ้ากล่าวมา หยางไค่ใช้ทักษะในการต่อสู้จนสามารถทำลายเสื้อเกราะเมฆา แต่พวกเขายังอายุน้อย ทำไมต้องลงมือย่างเหี้ยมโหดและไร้ความปราณีเช่นนี้ ในอนาคตหากเขายังฝึกฝนวิชายุทธุ์ต่อไป ธาตุไฟต้องเข้าแทรกและเขาจะกลายเป็นมารที่ชั่วร้าย หอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวไม่สามารถให้คนเช่นนี้ดำรงอยู่ต่อไปได้ !!”
“แต่เขาอยู่ในเขตแดนลมปรารแรกเริ่มเท่านั้น เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะกลายเป็นมาร ? หรือว่าผู้อาวุโสที่หนึ่งมีความสามารถในการคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตที่จะเกิดขึ้น ?”
“ผู้อาวุสี่สอง...........” ขณะที่ผู้อาวุโสที่สี่กำลังจะกล่าว เขาถูกเสียงไอของซู่ซวนวู่ขัดไว้ก่อน ก่อนจะชี้ไปที่จมูกของเขาและสบทด่า : “ผู้อาวุโสที่สี่ ก่อนประมุขจะเก็บตัวเข้าสู่ความสันโดษ เขากำหนดให้เจ้าดูแลหอวินัยศักดิสิทธิ์ หลายปีที่ผ่านมา เจ้าดูซิว่าหอวินัยศักดิ์สิทธิ์ทำเรื่องอะไรลงไป ?ความเป็นกลางและความยุตธรรม อยู่ที่ใด? หากว่าหอวินัยศักดิ์สิทธิ์ทำได้เพียงปราบปรามเหล่าศิษย์สาวกและต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ หอวินัยศักดิ์สิทธิ์จะมีไว้เพื่อสิ่งใด ? พรุ่งนี้ข้าจะไปพบประมุขเพื่อให้เขาทำลายหอวินัยศักดิ์สิทธิ์ !!คอยดูซิ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น !!”
ผู้อาวุโสที่สี่ถูกสบทด่าจนดวงตากรอกไปมา เขาเริ่มหงุดหงิดแต่ก็มิอาจกล่าวโต้แย้งออกไป ภายในจิตใจของเขาไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย
“ผู้อาวุโสที่สอง หากข้ายืนกรานที่จะขับไล่หยางไค่ออกจากหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวล่ะ ?” เหว่ยจวางกล่าวด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น
“เจ้ากล้า !!” ซูซวนวู่ไม่ยอมถอยแม้แต่น้อย
“ได !! ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะตัดสินตามกฎของสำนัก พวกเราตัดสินด้วยการยกมือ เมื่อการหารือของสมาคมผู้อาวุโสผ่านการตัดสิน ข้าคิดว่าผู้อาวุโสที่สองคงไม่คัดค้านอีกต่อไป ?”
“ฮ่าฮ่า ยกมือตัดสิน ?”ซู่ซวนวู่หัวเราะเสียงดัง : “ผู้อาวุโสที่หนึ่งเจ้าคิดว่าซู่ซวนวู๋คนนี้เป็นคนโง่หรือไง ? ยกมือตัดสิน จะตัดสินไปทำไม ?”
“สิ่งนี้ไม่ได้ สิ่งนั้นก็มิได้ เจ้าต้องการอะไรกันแน่ ? หรือว่าเจ้าไม่เคารพกฏที่ท่านประมุขกำหนดไว้” เหว่ยซิตงโต้เถียงกับซู่ซวนวู่จนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
หอสมาคมผู้อาวุโสเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความโกรธเคือง เสมือนว่ากำลังจะก่อการต่อสู้ขึ้น
“ระงับความโกรธ สงบสติอารมณ์ มาดื่มน้ำชากันก่อน ดื่มน้ำชาก่อน ทุกๆ โปรดอยู่ในความสงบ” ผู้อาวุโสที่สามที่ยังไม่ได้กล่าวพูดได้กล่าวแทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ผู้อาวุโสที่สามาเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนและสงบ แม้ว่าเขาจะยืนอยู่ในฝั่งของผู้อาวุโสที่สอง แต่เขาไม่มีทางที่จะเข้าร่วมการแย่งชิง การโต้เถียง และชื่อของเขายังเหมือนกับบุคลิกภาของเขา เห่อเป่ยซุย ดื่มน้ำสักถ้วย !!
ทันทีมีเหล่าผู้อาวุโสมีการกระทบกระทั่งกัน เขาจะเป็นสื่อกลางในการเกลี่ยกล่อม แต่ก็ได้รับผลลัพทธุ์ที่ไม่ดีเท่าที่ควร
“ไม่ดื่ม” ผู้อาวุโสที่หนึ่งและผู้อาวุโสที่สองต่างตะโกนด้วยความเกี้ยวโกรธออกมาพร้อมกัน พวกเขาต่างมองหน้าซึ่งกันและกันด้วยความโกรธ พวกเขาทั้งสองต่างไม่พึงพอใจซึ่งกันและกัน
เมื่อผู้อาวุโสที่สามเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ เขาก็ทำได้เพียงยอมรับกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ขณะที่เหล่าผู้อาวุสโสกำลังโต้เถียงจนก่อให้เกิดความวุ่นวาย ทันใดนั้นเสียงของบุคคลหนึ่งดังมาจากด้านนอกประตู : “ศิษย์มีเรื่องจะรายงานให้แก่ผู้อาวุโสทั้งหลาย !!”
ผู้อาวุโสทั้งสี่ต่างขมวดคิ้วและกล่าอย่างรวดเร็ว : “เข้ามา !!”
ในขณะที่ผู้อาวุโสทำกาประชุมหารือ ศิษย์สาวกมิกล้าที่จะรบกวน แต่ตอนนี้กลับมีศิษย์เข้ามาขัดขวางการประชุมของพวกเขา หอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ !
ผู้อาวุโสทุกคนต่างรับรู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงหยุดทะเลาะอย่างกะทันหัน
ขณะที่ศิษย์กำลังเดินเข้ามา ผู้อาวุโสทั้งสี่ได้กล่าวถามพร้อมกัน : “เกิดอะไรขึ้น ?”
“รายงานต่อผู้อาวุโสทุกท่าน มีคนบุกเข้าไปในคุกคุมขังช่วยเหลือหยางไค่ หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆที่ก่อเรื่องขึ้น ตอนนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศิษย์พี่เจี่ยหงเฉินตรงทางเข้าคุกคุมขังในป่าลึก !!”
“ว่าไงน่ะ?”ผู้อาวุโสทั้งสี่ลุกยืนขึ้นในทันที ผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างแสดงสีหน้าตกในที่ไม่ต่างกัน
“มันเป็นใครช่างบังอาจกล้าหาญบุกเข้าไปในคุกคุมขังในป่าลึกเพื่อช่วยพวกเขา ?”
ศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวคนนี้ไม่กล้าตอบ เขายกศีรษะเงยหน้าจ้องมองไปที่ซู่ซวนวู่
หัวใจของซู่ซวนวู่กระตุกอย่างกะทันหัน ความรู้สึกที่ไม่ดีได้ก่อเกิดขึ้นในหัวใจ
ผู้อาวุโสที่หนึ่งมองเห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน เขาเริ่มคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะกล่าวออกคำสั่ง : “พูดมา !!”
“คือ..........คือซูเหยียน ศิษยพี่ซู่เหยียน !!”
เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกมา ใบหน้าของผู้อาวุโสที่หนึ่งเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ลึกซึ้ง แม้แต่ผู้อาวุโสที่สี่และผู้อาวุโสที่ห้าต่างมองไปที่ซู่ซวนวู่ด้วยสายตาที่แปลกประหลาด ขณะที่ผ้าอาวุโสที่สามอย่างดื่มน้ำชาอย่างต่อเนื่อง
การแสดงออกของซู่ซวนวู่มีท่าทีที่เปลี่ยนไป เขากัดฟันแน่นและกล่าว : “เจ้ามองเห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นนาง ? คนที่บุกเข้าไปในคุกคุมขังคือซู่เหยียน?”
ศิษย์คนนั้นรู้สึกกลัวจนตัวสั่นก่อนที่เขาจะรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว : “ศิษย์มองเห็นอย่างชัดเจน ชื่อของศิษย์พี่ซูเหยียนนั้นข้ารู้จักอย่างดี หากว่าผู้อาวุโสที่สองไม่เชื่อ ท่านผู้อาวุโสสามารถเดินทางไปดูด้วยตัวเอง !!”
“ไม่ต้อง” ซู่ซวนวู่โบกมือ เขาหลับตาและเดินทางด้วยจิตวิญญาณ หลังจากนั้น เขารับรู้ความรู้สึกที่เยือกเย็นที่บริสุทธุ์จากคุกคุมขังในป่าลึก ความรู้สึกที่เยือกเย็นเช่นนี้ในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวนอกจากซูเหยียน ไม่มีใครที่จะสามารถครอบครองมันได้อีก
หลานสาวคนนี้ไม่ทราบถึงความหนักเบาของบทลงโทษ ช่างมีความกล้าที่เหิมเกริมยิ่งนัก !!
“ผู้อาวุโสที่สอง เรื่องนี้เจ้าว่าอย่างไร ?” ผู้อาวุโสที่หนึ่งเผยรอยยิ้มที่มีความสุขก่อนจะถือถ้วยชาของตนเองไว้ในมือ หลังจากรอจนจิตวิญญาณของซู่ซวนวู่กลับมาถึงที่ เขาจึงกล่าวถามในทันที
ในตอนนี้ ผู้อาวุโสเป็นฝ่ายที่อยู่เหนือกว่า
หากเมื่อสักครู่ทั้งสองต่างไม่ยอมถอยให้แก่กัน ณ ตอนนี้กลับมีช่องโหว่สำคัญที่จะให้อีกฝ่ายสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้
คุกคุมขังในป่าลึกคือสถานที่ใด !! นั้นคือสถานที่กักขังศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยที่ทำผิดกฎอย่างร้ายแรง !! ไม่ว่าหยางไค่จะไม่มีความผิด แต่เมื่อถูกขังอยู่ในนั้น ก่อนที่เรื่องราวจะมีการหารือตัดสินจนเสร็จสิ้น พวกเขาต้องอยู่ที่นั้นห้ามออกมาแม้แต่ก้าวเดียว
ตอนนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี ซู่เหยียนบุกเข้าไปที่นั่นและช่วยพวกเขาออกมา จากความกล้าหาญและเด็ดขาดของเธอ กลับฝ่าฝืนกฎของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว !
ถ้าหากไม่มีการเจรจาที่ดี แม้แต่ซูเหยียนก็ต้องถูกลงโทษ !
เหว่ยซิตงทราบดีว่าซู่ซวนวู่ไม่มีทางให้ซูเหยียนถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น พวกเขาทั้งสองจึงต้องถอยคนละก้าว นั่นหมายความว่าเขาจะสามารถจัดการกับศิษย์ที่ชื่อว่าหยางไค่ !
ตั้งแต่หารือกันมา ผู้อาวุโสทั้งห้าไม่มีใครที่รู้จักหยางไค่แม้แต่คนเดียง แต่เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้เกิดขึ้นจากตัวเขา พวกเขาต่างถถเถียงเรื่องราวต่างๆจากคัวเขา เพือผลประโยชน์ส่วนตนของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลาย และยังเป็นการต่อสู้แย่งชิงการเป็นผู้นำของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว
และในตอนนี้ ผู้อาวุโสที่หนึ่งรู้สึกว่าเขาจะเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้
หลังจากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ศิษย์สาวกที่อยู่เบื้องล่งจะยอมรับการตัดสินใจของกลุ่มผู้อาวุโสที่หนึ่ง ดังนั้น เป้าหมายที่พวกเขาวางไว้ก็จะสำเร็จอย่างสมบูรณ์
ใบหน้าของซู่ซวนวู่เขียวคล้ำ เขาแสดงออกอย่างต่อต้านสักครู่ ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างช้าๆ : “ผู้อาวุโสที่หนึ่งเห็นควรว่าอย่างไร ข้าก็ว่าตามนั้น !!”
ซูเหยียนกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีของพวกเขา ซู่ซวนวู่จะมิจิตใจโต้เถียงกับพวกเขาได้อย่างไร ? เพื่อปกป้องซูเหยียนจากการถูกลงโทษ เขาต้องเสียสละหยางไค่
เมื่อสามารถปกป้องเทือกเขาที่เขียวขจี อย่าหวาดกลัวที่จะมีการเผาไหม้เกิดขึ้น หลังจากนี้ต้องหาโอกาสแก้แค้นให้ได้ !!
“ผีผู้เฒ่า !!” เมื่อซู่มู่ได้ยินคำกล่าวนี้ เขาเบิกตากว้างและมองไปที่ซู่ซวนวู่ด้วยสายตาที่ไม่เชื่อ
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไร ?” ซู่ซวนวู่โกรธจนแทบเป็นบ้ากับสองพี่น้องคู่นี้
“ท่านปู่ !! ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้” ซู่มู่รีบแก้ไขคำพูดของตัวเอง
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ !!” ซู่ซวนวู่จ้องมองซู่มู่ด้วยสายตาที่ดุดัน
“ศิษย์พี่หยางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ท่านทิ้งเขาโดยไม่สนใจเขาไม่ได้ หากว่าท่านไม่สนใจเขา ถือว่าเป็นการเนรคุณเขา !!”
“เจ้าหุบปาก !!” ซู่ซวนวู่ถูกซูมู่กล่าวว่าจนใบหน้าแดงก่ำ แม้ว่าภายในจิตใจของเขาจะไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้เขาอยู่ภายใต้การกดดันที่มากมาย เขาจะสามารถทำอะไรด้บ้าง ?
เมื่อซู่มู่ยังเข้ามาวุ่นวาย ทำให้ซูซวนวู่ต้องลงมืออย่างเด็ดขาด เขาชี้นิ้วพุ่งขึ้นไปในกลางอากาศ ทันใดนั้นซู่มู่แข็งตัวเป็นรูปปั้นอยู่ตรงที่เดิม เขาไม่สามารถกล่าว ไม่สามารถขยับ ทำได้เพียงมองและฟังเท่านั้น
“กลับไปข้าจะจัดการกับเจ้าแน่ !!” ซู่ซวนวู่กล่าวด้วยความโกรธและความเดือดาล
“ฮ่าฮ่า !!” ผู้อาวุโสที่หนึ่งหัวเราะด้วยความพึงพอใจ : “เมื่อผู้อาวุโสที่สองไม่มีคำคัดค้าน เรื่องนี้จะตัดสินเช่นนี้”
เมื่อกล่าวจบ เขาจ้องมองไปที่ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างและกล่าวออกคำสั่ง : “ออกคำสั่งออกไป ศิษย์ฝึกหัดหยางไค่ละเมิดกฎที่ร้ายแรงของสำนักและยังมีการลงมือที่โหดเหี้ยมและชั่วร้าย ให้จับตัวเขาเข้าไปในคุกคุมขังในป่าลึกอีกครั้ง รอจนกระทั่งผู้อาวุโสหารือตัดสินเกี่ยวกับโทษของเขาจึงจัดการต่อไป ส่วนซู่เหยียน.........เพราะความอายุน้อยและความไม่รู้ของนาง และยังเป็นการทำผิดครั้งแรกของนาง จะไม่ถือโทษต่อนาง ผู้อาวุโสท่านอื่นคิดคำตัดสินนี้เป็นอย่างไร ?”
ผู้อาวุโสคนอื่นๆจะมีข้อคัดค้านได้อย่างไร ?
“ไปได้ !!” ผู้อาวุโสที่หนึ่งโบกมือ ทันใดนั้นป้ายคำสั่งลอยลงไป และตกอยู่ในมือของศิษย์ผู้นั่นทันที
ป้ายคำสั่งของผู้อาวุโส เห็นป้ายเสมือนเห็นผู้อาวุโส !! เมื่อมีป้ายคำสั่ง ซู่เหยียนจะไม่กล้าทำอะไรอีกต่อไป
“ขอรับ !!” เมื่อศิษย์แห่งหอวินัยศักดิ์สิทธิ์ได้รับป้ายคำสั่ง เขาจึงเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น ได้มีเสียงกรีดร้องดังแว่วมาจากทิศทางหน้าประตูทางเข้า ทันใดนั้นมีเสียงของมนุษย์ที่ลอยกระแทกลงมาพื้นดิน ใบหน้าของผู้อาวุโสเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ขณะที่พวกเขากำลังจะลุกยืนเพื่อไปตรวจสอบเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่กลับมีเสียงของบุคคลคนหนั่งดังแว่วเข้ามา
“ผู้อาวุโสทั้งหลายที่สง่างาม” เมื่อเสียงนั้นดังจึ้น ชายชราร่างผอบางที่มีผมและเคราสีขาวเดินเข้ามา ในมือของเขาลากร่างที่หมดสติของศิษย์แห่งหอวินัยศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งเดินออกไป แม้แต่ป้ายคำสั่งของผู้อาวุโสยังอยู่ในมือของเขา
ชายชราคนนี้เดินไปยังด้านหน้าที่เหว่ยจวางและซู่มู่คุกเข่า ก่อนจะยกขาเตะออกไป ซึ่งทำให้เหว่ยจวางกระเด็นไปข้างๆ : “ไปไปไป อย่าขวางทางข้า !!”
เมื่อเหว่ยจวางลอยกระเด็นออกไป เขาได้กรีดร้องด้วยเสียงที่น่าเวทนา
ใบหน้าของผู้อาวุโสทั้งห้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เหว่ยซิตงหรี่ตามองคนที่มาเยือนและกล่าว : “เหรัญญิกเม้ง ?”
คนที่เพิ่งมาถึงคือเม้งวู่หยาแห่งหอแลกเปลี่ยนวิเศษ !!
เมื่อกล่าวถึงคนคนนี้ ผู้อาวุโสทั้งห้าต่างสับสนกับชาติกำเนิดที่แท้จริงของเขา
เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา เขามาถึงหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวอย่างกะทันหัน พวกเขาต่างไม่รู้ว่าเขามีความสัมพันธุ์อย่างไรต่อประมุข แต่เขาก็เข้ามาในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวดูไม่มีใครคาดคั้น เขาดำรงตำแหน่งเหรัญญิกเม้งผู้ดูแลหอวิเศษในการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่างๆจากแต้มแห่งชัยชนะ ผู้อาวุโสหลายท่านเคยส่งคนไปสืบเรื่องราวของจากประมุข แต่ประมุขกลับปฏิเสธและไม่กล่าวต่อพวกเขาทุกครั้งไป แต่กลับให้พวกเขากระทำว่าไม่รู้ไม่เห็นในการดำรงอยู่ของเขา
แต่ ผู้อาวุโสทั้ง 5 ต่างรู้ดีว่าเขาเป็นยอดฝีมือแข็งแกร่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจ !! และยังเป็นยอดฝีมือที่เหนือกว่าพวกเขา
โชคดีที่เขาไม่มีเป้าหมายอื่นๆ เขาใช้ชีวิตอยู่ในหอแลกเปลี่ยนวิเศษไปวันๆ โดยสงบเสงี่ยม ผู้อาวุโสทั้งหลายจึงไม่ได้ให้ความสำคัญต่อเขาอีกต่อไป
แต่ไม่คาดคิดว่าวันนี้เขามาหอเกียรติยศแห่งผู้อาวุโสสมาคมผู้อาวุโสโดยไม่ได้รับการรับเชิญ
เหว่ยจวางรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ คือการเผชิญหน้ากับเหรัญญิกเม้งคนนี้กดดันยิ่งกว่าการเผชิญหน้ากับประมุขแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว !! เพราะเหตุนี้เหว่ยซิตงจึงไม่กล้าที่จะละเลยเหรัญญิกเม้ง
เหว่ยซิตงกล่าวพูดท่ามกลางรอยยิ้ม : “ไม่ทราบว่าเหรัญญิกเม้งมาถึงที่นี้ มีเรื่องอะไรหรือไม่ ?”
เม้งวูหยาไม่ได้กล่าวตอบ เขายิ้มอย่างเยือกเย็นและมองไปที่ซู่ซวนวู่ คนที่ถูกจ้องมองมีความรู้สึกแปลกๆ เขาคิดในใจว่าใบหน้าของเขาไม่ได้มีบุพผาที่งดงามงอกอยู่บนใบหน้า เหรัญญิกเม้งจะจ้องมองเขาทำไม ?
“เจ้าคิดว่าการตัดสินใของเจ้าถูกต้องใช่ไหม ?” เม้งวูหยากล่าวถามอย่างกะทันหัน
“อะไร ?” ซู่ซวนซู่ตื่นตกใจ