ตอนที่ 74 แก้ไขกฏแห่งสำนัก
เสมืนอว่าพวกเขาได้วางแผนล่วงหน้าเสมือนว่าพวกเขามีจิตใจที่เชื่อมต่อกัน หยางไค่และซู่เหยียนตะโกนออกมาพร้อมกันและยังเป็นคำเดียวกัน แม้แต่สุ้มเสียงและการแสดงออกยังเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
เจี่ยหงเฉินตะลึงกับเสียงตะโกนของพวกเขาทั้งสอง !! เขามองไปที่ซูเหยียนด้วยความเจ็บปวดและกล่าวอย่างน่าสังเวช : “ทำไมเขาถึงจะไม่ใช่เศษสวะ ?จากฐานะของเขา เขาเป็นเพียงศิษย์ฝึกหัด การบ่มเพาะพลังอยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 3 คนประเภทนี้คือเศษสวะ ศิษย์น้องเห็นข้อดีอะไรในตัวของเขาบ้าง ?”
“เรื่องของเราทั้งสอง ไม่จำเป็นที่เจ้าต้องมากังวล !!” ซูเหยียนเล่นละครตบตาไปเรื่อยๆ เพื่อใช้โอกาสนี้กำจัดเจี่ยหงเฉินที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเธอมานาน แม้แต่คำว่า เราทั้งสองที่สนิทสนมเธอยังใช้มันออกไป
“ศิษย์พี่ท่านเข้าใจความหมายของกล่าวที่ว่า รักแรกพบหรือไม่ ?” หยางไค่ยังคงเล่นละครตบตาต่อไปและยังจ้องมองเจี่ยหงเฉินด้วยสายตาที่เยาะเย้น
“หุบปาก !!” เจี่ยหงเฉินตะโกนด้วยความโกรธที่รุนแรง : “ข้าคุยกับศิษย์น้อง ไม่ช่องว่างให้เศษสวะอย่างเจ้าเข้ามาแทรกแซง !!”
หยางไค่หรี่ตาลง และหัวเราะอย่างเฉยชา
“สวะคือสวะวันยังค่ำ !!” ความสงบเสงี่ยมในช่วงแรกของเจี่ยหงเฉินถูกทอดทิ้งไป ความหึงหวงกลายเป็นความเกลียดชัง รูปหน้าที่หล่อเหล่าแสดงออกอย่างน่าสะอิดสะเอียน เรื่องราวมันซับซ้อนแค่ไหนหน้าตาเขาก็น่าเกลียดเช่นนั้น : “ตอนที่ข้าอายุประมาณเจ้า ข้าอยู่ในเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณ เจ้าเป็นสวะที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 3 ตอนนี้ข้าอยู่ในเขตแดนผสานลมปราณขั้นสูงสุด ข้าและเจ้ามีช่องว่างระหว่างลมปราณที่ห่างกันถึง 2 เขตแดน 6 ขั้น เจ้าจะเทียบกับข้าได้อย่างไร ?”
“ศิษย์พี่อย่าเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานในการเปรียบเทียบกับผู้อื่น!!” หยางไค่ไม่กล่าวอะไรออกไปอีก คำบางคำไม่จำเป็นต้องอธิบาย มีเพียงการปฏิบัติจนสำเร็จถึงจะเกิดผลลัพทธุ์ที่ชัดเจน
“เจี่ยหงเฉิน ข้าไม่อยากวุ่นวายกับเจ้าอีก ถอยออกไป ภายใต้การดูแลของหอวินัยศักดิ์สิทธิ์ เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ข้าต้องพาเขากลับไปเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ !!” ซู่เหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
“วันนี้ไม่ว่าใครก็อย่าคิดจะออกไปจากที่นี้ !!” เจี่ยหงเฉินตะโกนด้วยความโกรธ เขามองซูเหยียนด้วยสายตาที่เจ็บปวด เขากล่าวออกคำสั่งด้วยร่างกายของเขาสั่นสะท้าน: “ศิษย์สาวกแห่งหอวินัยศักดิ์สิทธิ์รับคำสั่ง หากว่าใครกล้าที่จะออกไปจากที่นี้ ฆ่าให้หมด !! แม้ว่าจะเป็นศิษย์พี่ซูของพวกเจ้าก็ไม่เว้น และห้ามผ่อนปรนให้แก่นางด้วย !!”
รักมาก แค้นมาก ในตอนนี้เจี่ยหงเฉินได้แสดงความหมายของคำนี้ออกมาอย่างชัดเจน
ฮวา ฮวา ฮวา.....ศิษย์สาวกกว่าร้อยคนค่อยเคลื่อนตัวไปข้างหน้า และล้อมซู่เหยียนและคนอื่นๆ เอาไว้เหมือนเดิม
“เจ้ายืนหยัดที่จะทำเช่นนี้?” ดวงตากลมโตที่ใสสะอาดของซูเหยียนประกายด้วยความโกรธ
เจี่ยหงเฉินฝืนยิ้มอย่างขมขื่น : “ศิษย์น้อง ข้ารู้ว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะออกไปจากที่นี้ เจ้าต้องข้ามศพข้าไปก่อน !!”
เมื่อเขาถูกผลักดันให้มาถึงจุดนี้ เขาจึงพยายามใช้ความกล้าหาญและความสิ้นหวังกระตุ้นซู่เหยียนอีกครั้ง
ซูเหยียนเกรี้ยโกรธจนทรวงอกสั่นไหวขึ้นลงอย่างไม่หยุด
นางไม่กลัวหอวินัยศักดิ์สิทธิ์ ความแข็งแกร่งของเธออยู่ในเขตแดนลมปราณแท้จริงขั้นที่ 3 เขตแดนของเธอเหนือกว่าเจี่ยหงเฉินถึง 3 ขั้น ทันทีที่เธอเปิดใช้ดวงใจน้ำแข็ง ไม่มีใครที่จะสามรถปิดกั้นเส้นทางของเธอได้
แต่ว่า......หยางไค่ หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆ คงได้รับความเดือดร้อนไม่น้อย
เพราะมีนางเพียงคนเดียว นางไม่สามารถปกป้องทุกคนให้รอดปลอดภัยจากหอวินัยศักดิสิทธิ์ได้
เมื่อเส้นทางด้านหน้าถูกปิดกั้น ซูเหยียนไม่กล้านำพาพวกเขาออกไป คนของหอวินัยศักดิ์ก็ไม่กล้าลงมือโจมตี พวกเขาเพียงแค่หยุดซูเหยียนและคนอื่นๆไว้ตรงนี้
ศิษย์รุ่นใหม่กำลังวุ่นวายอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ผู้อาวุโสแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวกำลังโต้เถียงในสถานที่อื่นอย่างรุนแรง
ภายในห้องโถงของผู้อาวุโส ผู้อาวุโสที่หนึ่งแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวเหว่ยซิตง ผู้อาวุโสที่สองซู่ซวนวู ผู้อาวุโสที่สามเหอเป่ยซุย ผู้อาวุโสที่สี่โจวเฟย ผู้อาวุโสที่ห้าหล่งจือไจ้ พวกเขาทั้ง 5 ต่างรวมตัวพร้อมเพรียงกันที่นี้
ผู้อาวุโสทั้ง 5 แบ่งที่นั่งออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งแรกมีผู้อาวุโสที่หนึ่งเว่ยซิตง ผู้อาวุโสที่สี่โจวเฟย ผู้อาวุโสที่ 5 หล่งจือไจ้
อีกฝั่งมีผู้อาวุโสที่สองซู่ซวนวู ผู้อาวุโสที่สามเหอเป่ยซุย
นี้คือการแบ่งพรรคเป็นฝ่ายของผู้อาวุโสในหอประลองยุท์หลิงเซี่ยว
ตอนนี้ซู่มู๋และเหว่ยจวางที่ปะทะกันกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นของทั้งสองฝ่าย เพื่ออธิบายเล่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้
ซูมู่เป็นคนแรกที่กล่าวอธิบาย เขาพูดความจริงทุกอย่างว่าเขาดถูกเหว่ยจวางปิดกั้นอย่งไรอย่างไร มีการแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์อย่างไร และถูกเหว่ยจวางสร้างความอับอายอย่างไร แม้ว่าเขาจะรู้สึกอับอายแต่เขาพูดความจริงถูกทุกอย่างโดยไม่มีการเติมแต่งแม้แต่นิดเดียว
เมื่อผู้อาวุโสทั้ง 5 ได้ฟัง พวกเขาไม่กล่าวอะไรออกไป และรอให้เหว่ายจวางเล่าเรื่องนี้อีกครั้ง
แต่เรื่องราวที่ออกมาจากปากของเหว่ยจวางมีบางส่วนที่แตกต่าง แม้ว่าจุดเริ่มต้นจะเป็นเรื่องราวที่ไม่ต่างจากซู่มู่ แต่เมื่อมาถึงฉากเหตุการณ์ของหยางไค่ เหว่ยจวางพลิกเปลียนเรื่อราวที่เกิดขึ้น เขากล่าวว่าหยางไค่ทำเกินไปโดยที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเขาใช้อาวุธที่ร้ายกาจโจมตี ทำลายเสื้อเกราะเมฆ่าของเขา และพยายามที่จะฆ่าเขาได้วย
น้ำเสียงน่าสังเวชใจ ทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกเจ็บปวดใจ ซึ่งผสานรวมเป็นหนึ่งกับการกระทำของร่างกายที่แสดงออกอย่างสมจริง ทำให้เรื่องราวที่เขากล่าวออกมาเกิดกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถึงสิบเท่า ร้อยเท่า
“เจ้าโกหก !!” เมื่อซู่มู่ได้ยินเขาโกรธเคือง และกล่าวด่าด้วยความไม่พอใจ
“ความจริงเป็นเช่นนี้” เหว่ยจวางสบโอกาสกล่าวว่าซู่มู่ถูกทุบตีจนสลบไป และไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เจ้าแต่งเรื่องขึ้น !!” เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น เจ้ามันขยะที่น่ารังเกียจ !! โกหกโดยไม่คิด”
“เงียบให้หมด” ผู้อาวุโสที่หน่งทุบเก้าอี้ ซู่มู่สาปช่างหลายชายของเขาต่อหน้าเขา มีหรือที่ผู้อาวุโสที่หนึ่งเช่นเขาจะสามารถทนได้ ?แต่เมื่อเขาเคืองโกรธเขาก็ปล่อยให้มันผ่านไป เพราะมันข้อพิพาทของคนรุ่นใหม่ เขาไม่สามารถที่จะลงมือสั่งสอนพวกเขาได้
“ฮึ!” ผู้อาวุโสที่สองกล่าวสบทดอย่างเยือกเย็น
ผู้อาวุโสที่หนึ่ง : “เรื่องราวทั้งหมดได้จบลงไปแล้ว พวกท่านคิดว่าอย่างไร?”
แม้ว่าจะถามเช่นนี้ แต่สายตาของเขาจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสที่สองซู่ซวนวู่ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องการทราบความเห็นของเขา
ซู่ซวนวู่กล่าว : “อะไรตัดสินใจอย่างไร ?เรื่องนี้มันก็ชัดเจนอยู่แล้ว มันเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนวิชายทุธุ์ของศิษย์รุ่นเยาว์ ให้พวกเขาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวของพวกเขาเอง ทำไมต้องให้ผู้อาวุโสอย่างพวกเราเข้าร่วมการตัดสินด้วย ?”
ผู้อาวุโสที่หนึ่งหัวเราะเบาๆ ทันใดนั้นผู้อาวุโสที่หนึ่งได้หันไปกล่าวกับผู้อาวุโสที่สี่ : “คำกล่าวของผู้อาวุโสที่สองไม่ถูกต้อง สถานการณ์ที่เกิดเป็นเพราะการแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์ แต่หลังจากคนที่ชื่อหยางไค่เข้ามา เขาก็ได้สร้างความวุ่นวายและทำให้เรื่องนี้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นความซับซ้อนในทันที”
“เปลี่ยนแปลงอย่างไร ?ภายใต้สายตาของทุกคน เขาท้าประลองยุทธุ์ต่อเหว่ยจวางอย่างเปิดเผย เขาไม่ได้ทำผิดกฏของสำนัก เป็นเพราะเหว่ยจวางไม่มีความแข็งแกร่งที่เพียงพอ จึงพ่ายแพ้ให้แก่เขา แล้วจะโทษใครได้?” ซูซวนวู่โกรธทีหลายชายของตัวเองถูกรังแกทำให้อับอาย ดังนั้นสุ้มเสียงและคำพูดในการกล่าวจึงไม่เกรงใจและไม่สุภาพ
ผู้อาวุโสที่สี่กล่าวขึ้น : “ถ้าหากมันเป็นการท้าปรลองยุทธุ์ หลังจากที่เอาชนะเหว่ยจวาง ทุกอย่างก็จะจบลง !! แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น แต่ในระหว่างการต่อสู้เขากลับใช้อาวุธที่ร้ายกายทำลายเสื้อเกราะเมฆาของเว่ยจวาง กฏของสำนักกล่าวไว้ การแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์ระหว่างศิษย์ ห้ามใช้อาวุธในการต่อสู้ !! มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหยางไค่ทำลายกฏในข้อนี้ ดังนั้นเขาต้องได้รับการลงโทษ !!”
ซูซวนวูหัวเราะอย่างเย็นชา : “ผู้อาวุโสที่สี่ กฏของสำนักไม่ได้เป็นเช่นนั้น ประมุขอยู่ในความสัมโดษไม่ปรากฏตัวหลายปี มีใครบางคนที่กล้าหาญ กล้าที่จะเปลี่ยนกฏของสำนัก?”
คำกล่าวนี้เจาะจงชี้ตัวอย่างชัดเจน แต่ผู้อาวุโสที่หนึ่งยังคงแสดงออกอย่างสงบนิ่ง เหว่ยซิตงจึงกล่าวตอบ : “โอ้ว ? งั้นผู้อาวุโสทีสองช่วยบอกเราได้ไหมว่ากฏของสำนักกล่าวว่าอย่างไร ?”
ซู่ซวนวู่หัวเราะอย่างเยือกเย็น : “กฏของสำนักกล่าวไว้ว่า การแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์ของเหล่าศิษย์สาวก ห้ามใช้อาวุธ ห้ามใช้โอสพวิเศษ สมบัติวิศษ สำหรับการต่อสู้ของทั้งสอง สามารถใช้ทักษะการต่อสู้ กระบวนท่า หมัด เท้า เท่านั้น !! ผู้อาวุโสที่หนึ่ง ข้อนี้ ข้ามไ่้ดกล่าวผิดไปใช่ไหม ?”