ตอนที่ 71 ประหลาด
ภายในกระท่อมเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เสียงคำรามด้วยความโกรธและเสียงของการโจมตีด้วยหมัดเท้าดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณแต่เสียงเหล่านี้ไม่รั่วไหลออกนอกกระท่อมแม้แต่น้อย บางครั้งจะมีเสียงแห่งลมหายใจที่หนักหน่วงผสมปนเปเข้ามา หยดเลือดยังกระเด็นกระดอนไปทั่ว
มีคำกล่าวว่า สองมือมิอาจเทียบกับสี่มือ เดิมทีความแข็งแกร่งของหยางไค่แตกต่างกับคนเหล่านี้อย่างมาก และในขณะนี้ยังเป็ฯการต่อสู้ระหว่าง 1 คนต่อ 5 คน หยางไค่จะสามารถป้องกันการโจมตีจากพวกเขาด้อย่างไร ?
เมื่อเขาโจมตีใครคนใดคนหนึ่ง เขาจะต้องทนรับต่อการโจมตีจาก 4 คนที่เหลือ
ศิษย์แห่งหอวินัยศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ยังลงมืออย่างโหดเหี้ยม ทุกหมัดทุกฝ่ามือของพวกเขาโจมตีเข้าสู่ผิวหนังอย่างรุนแรง แม้ว่าพวกเขามิอาจฆ่าหยางไค่ แต่เมื่อถูกรุมโจมตีเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ตามต้องพักฟื้นรักษาตัวเป็นเลาอย่างน้อย 1-2 เดือน
“หยุด !!” เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยาม ศิษย์แห่งหอวินัยศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ในเขตแดนก่อเกิดลมปราณกล่าวตะโกนอย่างกะทันหัน เขารีบกระโดดออกจากวงล้อมแห่งการต่อสู้ : “หยุด หยุดโจมตี หากยังโจมตีต่อไปเขาต้องตายแน่ !!”
4 คนที่เหลือรีบกระโดดถอยหลังออกมาที่เดิม พวกเขาจ้องมองหยางไค่ที่ถูกโจมตีจนคลานอยู่บนพื้น ดวงตาของพวกเขาประกายด้วยความหวาดกลัวและความกังวล
“สมควร !!” หนึ่งในนั้นจับแก้มที่ถูกหยางไค่โจมตีและกล่าว : “ข้าถูกโจมตีด้วยหมัดของมัน อีกนิดฟันเขาเกือบจะหลุดออกทั้งหมด”
ศิษย์อีกคนกุมเป้าของเขาไว้ และกล่าวด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว : “ข้าเกือบต้องเสียสิ่งที่มีค่าที่สุด ถ้าหากตอนนั้นข้าไม่หลบ คนที่คลานอยู่บนพื้นจะเป็นข้า !”
แม้ว่าจะหลบช่วงเลาสำคัญจากการถูกโจมตี แต่ต้นขาของเขารู้สึกเจ็บปวดเสมืนสถูกเปลวไฟแผดเผา มันเป็นการโจมตีจากหยางไค่ที่ดิ้นรนด้วยพลังความแข็งแกร่งที่รุนแรง
ศิษย์ทั้ง 5 มองหน้ากันและกัน ทันใดนั้พวกเขาต่างรู้สึกตื่นตะลึง แม้ว่าการต่อสู้กับหยางไค่ที่มีความแตกต่างอย่งมากในเง่ของเขตแดนและความแข็งแกร่ง แม้ว่าพวกเขาจะโจมตีหยางไค่จนคลานอยู่บนพื้น แต่ร่างกายของพวกเขาทุกคนต่างมีบาดแผลจากการถูกโจมตีหลงเหลือไว้เป็นจำนวนมาก
การพบเห็นเช่นนี้ทำให้พวกเขาทั้ง 5 อึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น !! ทันใดนั้นใบหน้าของพวกเขาทั้ง 5 แปรเปลี่ยนอย่างกะทันหัน มันเป็นสิ่งที่น่าอับอายเกินไป !!
ศิษย์ฝึกหัดเพียงคนเดียวที่อยู่ในเขตลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 3 ทำไมถึงมีโจมตีอย่างรุนแรงเช่นนี้ ? ขณะที่พวกเขากำลังรุมล้อมโจมตีพวกเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เมื่อหวนคิดกลับไป มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง !
“พู่ว..................” เสียงเคลื่อนไหวดังขึ้น ศิษย์ทั้ง 5 หันมองไปที่ต้นกำเนิดของเสียง พวกเขามองเห็นหยางไค่ที่แน่นิ่งอยู่บนพื้น ค่อยๆดิ้นรนลุกขึ้นอย่างช้าๆ เขาพ่นเลือดที่กลบอยู่ในปากของเขาออกไปในทันที
ร่างกายของเขาดูมืดมัวดูเปล่งประกายโดยมีการเปลี่ยนไปมาอย่างไม่สิ้นสุด ผิวหนังของเขาประกายแพรวพราวด้วยสีแดงเพลิง ความรู้สึกที่ร้อนระอุถูกปลดปล่อยออกมาอย่างกะทันหัน เสมือนภูเขาไฟที่หลับใหลมากกว่าพันปี กำลังปะทุและระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
“พลังลมปราณที่กำลังเคลื่อนไหว.................” ใบหน้าของศิษย์ที่อยู่ในเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณแสดงออกอย่างหวาดกลัว : “มันมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ !!”
พลังลมปราณที่กำลังปลดปล่อยออกมามิใชพลังลมปราณของศิษย์ที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 3 เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันคือพลังลมปราณของเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นสูงสุด เหลือเพียง 1 ก้าว เขาจะก้าวข้ามไปยังเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณ
“เขายังสามารถลุกขึ้นยืน ?” ศิษย์ที่อยู่รอบบริเวณตะลึงจนตาเบิกกว้าง พวกเขาตื่นตะลึงจนเกือบจะกัดลิ้นของตนเอง ถ้าหากเป็นพวกเขา ถ้าหากถูกโจมตีทำร้ายถึงขั้นนี้ พวกเขาคงเจ็บปวดทรมาณไม่สามารถแม้แต่จะกระดิกนิ้ว แต่ทำไมเขาถึงลุกยืนได้ ?
“มันกำลังเข้ามา !” ศิษย์อีกคนตะโกนร้องด้วยความตกใจ ยังมิทันที่จะกล่าวจบ หยางไค่ที่แน่นิ่งในตอนนั้นนำพามาซึ่งลมพายุที่บ้าคลั่งและวิ่งพุ่งเข้าไปหาพวกเขาทันที
เมื่อถึงครึ่งทาง หมัดของหยางไค่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง เสมือนเหล็กกล้าที่เพิ่งถูกนำออกมาจากเตาถ่านที่ร้อนระอุ
ศิษย์ที่กล่าวตะโกนได้เปิดใช้พลังลมปราณที่ท้วมท้นของเขา เขาจึงพุ่งหมัดออกไปปะทะกับหมัดของหยางไค่อย่างรุนแรง
“ปัง !!!” ศิษย์คนนั้นลอยกระเด็นออกไป กระแทกไปที่กำแพงและร่วงหล่นไปที่พื้น ลำคอของเขารู้สึกวูบวาบอย่างกะทันและเขาได้กระอัดเลือดสีแดงออกมาในทันที ขณะที่ร่างกายของหยางไค่สั่นไหวเพียงเล็กน้อย เขากำลังหาเป้าหมายที่ 2 ต่อไป
“บังอาจ !!” ศิษย์ผู้นำที่อยู่เขตแดนก่อกำเนิดลมปราณตะโกนด้วยความเกรี้ยวโกรธ พวกเขาทั้ง 5 โจมตีศิษย์น้องเพียงคนเดียว ไม่เพียงไม่สามารถล้มเขาได แต่กลับถูกเขาโจมตีกลับ ถ้าเรื่องนี้แพร่กระจายออกไปพวกเขาจะเอาใบหน้าชื่อเสียงของพวกเขาไปซุกไว้ที่ไหน ?
ภายใต้ความเกรี้ยวโกรธ : “ศิษย์ที่อยู่ในเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณพุ่งฝ่ามือออกไป พลังลมปราณไหลเวียนจากจุดตันเถียน จากนั้นเขาจึงกล่าวตะโกน :”วงล้อมวายุ”
ภายในกระท่อมมีเสียงลมพายุกระโชกที่รุนแรง ศิษย์ผู้นี้ได้ปลดปล่อยวายุหมุนออกมาจากฝ่ามือและพุ่งโจมตีออกไปปะทะกับหมัดที่แดงกำของหยางไค่
คาก..ฉ่า...ฉ่า.....เสียงปะทะดังขึ้น แขนเสื้อของหยางไค่เสมือนว่าถูกใบมีดจำนวนมากมากเฉือนตัดซ้ำไปซ้ำมา เพียงพริบตาแขนเสื้อของเขาถูกตัดจนฉีกขาดโดยไมเหลือเค้าเดิม และแขนของเขายังเต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกเฉือน
นัตย์ตาสีแดงก่ำของหยางไค่ประกายด้วยความน่าสยดสยองเขาเคลื่อนไหวพลังลมปาณ หยางซึ่งมันถูกปลดปล่อยจากแขนที่เต็มไปด้วยบาดแผลของเขา เพื่อป้องกันกระบวนท่าจากการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม
“ฮู่ !!” ทันใดนั้นแสงแห่งเปลวเพลิงที่ร้อนแรงได้ระเบิดขึ้น
พลังลมปราณหยางของหยางไค่และวงล้อมวายุของศิษย์ที่อยู่ในเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณ กำลังปะทะกันไปมาอย่างดุเดือด
ภายใต้แสงแห่งเปลวเพลิง หยางไค่พุ่งหมัดออกไปที่ฝ่ามือของศิษย์ที่อยู่ในเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณ ทำให้ทั้งสองต้องก้าวถอยออกไปคนล่ะ 2 ก้าว
“ยืนอึ้งทำไม !! โจมตี !!” ฝ่ามือของศิษย์ที่อยู่ในเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาไม่เคยคิดว่าพลังลมปราณของฝ่ายตรงข้ามจะมีลักษณะที่แปลกประหลาดเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่มันได้สร้างความสูญเสียให้แก่เขา ทำให้เขาเกรี้ยวโกรธ และตะโกนคำรามออกไป
ศิษย์แห่งหอวินัยศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออีก 3 คนจึงตื่นจากความตื่นตะลึงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาพุ่งเข้าไปล้อมหยางไค่ พวกเขากำลังแสดงสิ่งที่พวกเขาได้ร่ำเรียนมา โดยที่หยางเป็นตัวทดสอบที่ดีเยี่ยมสำหรับพวกเขา
คนที่ถูกหยางไค่โจมตีจนลอยกระเด็นกระแทกกำแพงกำลังเดินเข้าไปด้วยความโกรธและความอับอาย
หลังจากผ่านไปได้สักพัก พวกเขาทั้ง 4 จึงหยุดโจมตี พวกเขาหอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าแสดงออกอย่างสะใจและค่อยๆถอยออกมา โดยระยะห่างที่พวกเขาถอยห่างห่างกันเกือบ 1 ความยาวของห้อง พวกเขาค่อยสังเกตปฏิกิริยาของหยางไค่อย่างเงียบๆ
พวกเขาถูกศิษย์น้องคนนนี้กระตุ้นความโหดเหี้ยมและบ้าคลั่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึก
การรุมโจมตีครั้งที่ 2 ผลลัพธ์กำลังจะปรากฏ !!
ความเจ็บปวดที่หยางไค่ต้องแบกรักหนักหนาสาหัสกว่าครั้งที่แล้วถึงเหล่าเท่า แต่ว่า......ทั้ง 4 คนต่างต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกเขากระทำโดยไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย
“มันคงไม่ลุกขึ้นมาอีก ?” 1 ในนั้นเอามือปิดปากในขณะที่ไอและกล่าวถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา แต่หลังจากที่เสร็จสิ้นการไอ ฝ่ามือของเขามีเลือดสีแดงติดออกมา
“เป็นไปไม่ได้ ถูกโจมตีทำร้ายจนถึงขั้นนี้” ศิษย์อีกคนนวดเบ้าตาของตนเองเบาๆ เพราะดวงตาอขงเขาบวดบวม บวดช้ำจากกาถูกโจมตีเสมือนว่าถูกราดด้วยน้ำร้อนที่ร้อนระอุ
จิตใจของพวกเขาทั้ง 5 รู้สึกขมขื่นยิ่งนัก พวกเขาคิดว่าการที่พวกเขาต้องเป็นเช่นนี้เพราะความแข็งแกร่งที่แปลกประหลาดของหยางไค่
ภายในกระท่อมลับที่ปิดผนึกอย่างมิดชิด ศิษย์ 5 คนโจมตีศิษย์เพียง 1 ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสามารถโจมตีและเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย แต่ความเป็นจริงมันเป็นการโจมตีที่ค่อนข้างยาก ฝ่ายตรงข้ามมิได้ต่อต้านการกระทำของพวกเขา ทั่วทุกบริเวณของเขาเต็มไปด้วยศัตรูที่รายรอบ ทำให้เขาสามาถเปิดใช้ความแข็งแกร่งอย่างเต็มที่ในการต่อสู้ ถ้าหากเป็นการต่อสู้ในสภาพแวดล้อมแบบเปิดต่อหน้าสาธาณชน พวกเขาทั้ง 5 จะสามารถแสดงความแข็งแกร่งของพวกเขาอย่างเต็มที่มากกว่านี้ และพวกเขาคงไม่มีทางที่จะตกอยู่ในสภาวะที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้
แต่ว่า...............ศิษย์น้องที่ชื่อว่าหยางไค่ มีความแข็งแกร่งที่น่าตื่นตะลึง คนอื่นๆที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขึ้นที่ 3 ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอย่างแน่นอน จึงไม่น่าแปลกใจที่เหว่ยจวางจะพ่ายแพ้ต่อเขา
เมื่อศิษย์ทั้ง 5 คิดว่าพวกเขาโจมตีจนหยางไค่แน่นิ่งอยู่บนพื้น แต่เขากลับเคลื่อนไหวอีกครั้ง เขาอ่อนแอเกินกว่าจะเปรียบเทียบ เหนื่อล้าจะมิอาจกล่าวพรรณนา แต่เขากลับสามารถเคลื่อนไหวร่างกายจนลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง พลังลมปราณที่แผ่กระจายออกมาไร้ซึ่งกลิ่นอายแห่งความอ่อนแอ แต่กลับกันมันเต็มไปด้วยความความเดือดพล่านและความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่
“เกิดบ้าอะไรขึ้น !!” ศิษย์ที่อยู่ในเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณสบทด่า ศิษย์น้องคนนี้เป็นตัวอะไรกันแน่ !? ไม่ว่าจะโจมตีทำร้ายอย่างไรเขาก็ไม่มีทางที่จะหมดสติไป
“เจ้าอย่าเข้ามา หากเจ้าเข้ามาอีกครั้ง เจ้าจะถูกฆ่าอย่งแน่นอน !!” ศิษย์ที่ดวงตาบวมช้ำกล่าวตะโกนอย่างเสียงดัง
เป็นเหตุการณ์ที่น่าตลกอย่างยิ่ง คนที่โจมตีกับเกาะกลุ่มเอาไว้ และกล่าวตะโกนไม่ให้ผู้ที่ถูกโจมตีเข้ามา คนที่ถูกโจมตี เสมือนว่าสติของเขากำลังพร่ามัว ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือดสีแดง เขาค่อยๆก้าวเดินไปหากลุ่มคนทั้ง 5 ทีละก้าวทีละก้าวอย่างเชื่องข้า
ทุกการก้าวเดินของเขาหนักหนักหน่วงขึ้นทุกครั้ง ทุกก้าวของเขาสั่นไหวไปมา เสมือนว่าจะทรุดล้มในทันที แต่เขาก็ยังสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่ทรุดล้ม
ถ้าหากด้านหลังของพวกเขาไม่ใช่กำแพง พวกเขาทั้ง 5 คงจะถอยออกไปเรื่อยๆ