ตอนที่ 68 ยัดเหยียดความผิด
สิ้นเสียงคำสั่งนี้ มีเงาของบุคคลคนหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้าของหยางไค่ เขาพุ่งฝ่ามือโจมตีหยางไค่โดยไม่รีรอ พละกำลังจำนวนมากมายมหาศาลพุ่งเข้ามา ทำให้หยางไค่ส่งเสียงพึมพำ และลอยกระเด็นออกไป
“ศิษย์พี่หยาง!!” หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขารีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้น
หยางไค่พยายามที่จะลุกขึ้น และไอกระแอ่มเพื่อส่งสัญญานให้คนที่กำลังจะเข้ามา เขามองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างเหว่ยจวาง เขาจ้องเขม่งมาที่เขาอย่างดุดัน มือข้างหนึ่งพยุงดูแลเหว่ยจวาง ในที่สุดเขาจึงกล่าวพูดออกมา : “นายน้อย ไม่เป็นไรใช่ไหม ?”
เหว่ยจวางจ้องมองหยางไค่ด้วยใบหน้าที่โกรธแค้น ร่างกายของเขาซวนเซไปมา เขาส่ายหัวไปมาและกล่าว : “ไม่เป็นไร”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ข้ามาช้าไป” ชายหนุ่มคนหนึ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะสูงกว่าเหว่ยจวาง แต่เขาน่าจะเป็นคนของผู้อาวุโสที่หนึ่ง ดังนั้นตำแหน่งฐานะของเขาจึงเทียบไมได้กับเหว่ยจวาง
“ไม่ถือว่าช้าไป !!” เหว่ยจวางหัวเราะอย่างเยือกเย็ฯ เขากล่าวถามด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาด : “ศิษย์พี่เฉา ท่านเป็นศิษย์แห่งหอวินัยศักดิสิทธิ์ เจ้าคงเข้าใจกฎในสำนักของเรามากกว่าใครๆ ข้ามีเรื่องอยากจะกล่าวถาม ถ้าหากว่ามีคนที่จะฆ่าศิษย์ในสำนักด้วยกันเองอย่างโหดเหี้ยม เขาจะได้รับบทลงโทษอย่างไร ?”
ใบหน้าของเฉาเจิ้งเหวินแสดงออกอย่างเย็นชา ก่อนที่เขาจะกล่าวด้วยเสียงที่ดังสนั่น
: “ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความผิดว่ารุนแรงหรือไม่ ถ้าหากความผิดนั้นไม่รุนแรงจะถูกหักเขาหักแขนและถูกขับไล่ออกจากสำนักหลิงเซี่ยว ถ้าหากว่าความผิดนั้นรุนแรง จะถูกฆ่าตายในทันที เพื่อเป็นคำกล่าวเตือนให้แก่คนอื่นๆ !!”
เหว่ยจวางหัวเราะและชี้นิวไปยังที่หยางไค่และกล่าว : “เมื่อสักครู่ศิษย์คนนี้ขู่ว่าจะฆ่าข้า !! ศิษย์พี่เฉาให้บทลงโทษแก่เขาตามสมควรด้วย !!”
เมื่อมีคนคอยสนับสนุน เหว่ยจวางจะยังคงทำตัวขี้ขลาดเหมือเมื่อสักครู๋ได้อย่างไร ?
เฉาเจิงเหวินกล่าวถามอย่างโหดเหี้ยม : “คำกล่าวนี้คือความจริง ?”
เหว่ยจวาวหัวเราะอย่างเยือกเย็นและกล่าวอย่างไม่หยุด : “ก่อนที่ศิษย์พี่เฉาจะมาถึง ศิษย์พี่ก็มองเห็นทุกอย่างด้วยตาของท่านไม่ใช่หรือไง ?”
เฉาเจิงเหวินพยักหน้าและกล่าว : “ถูกต้อง เมื่อสักครู่ศิษย์คนนี้ถืออาวุธที่รุนแรงและแทงไปเข้าที่หน้าอกของนายน้อย ถ้าหากไม่เป็นเพราะการหยุดยั้งจากข้าในตอนนั้น นายน้อยคงจะถูกโจมตีด้วยน้ำมือของศิษย์คนนี้ เจ้าคนนี้ช่างเหิมเกริมยิ่งนัก ในชวงเวลากลางวันยังกล้าทีจะฆ่าคนยังกล้าที่จะทำลายกฎของสำนัก !!”
ทั้งสองคนร้องรำทำเพลิงเข้ากันอย่างดีเยี่ยม เพียงเสี้ยววินาทีพวกเขาทั้งสองได้ผลักไสความผิดในข้อหาการพยายามฆ่าให้แก่หยางไค่
“โกหก !!” หลี่หยุนเทียนกล่าวตะโกนด้วยความโกรธ : “เมื่อสักครู่เหว่ยจวางและศิษย์พี่หยางกำลังแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์ มันไม่ได้มีความผิดร้ายแรงอย่างที่พวกเจ้ากล่าวออกมา พวกเจ้าทั้งสองเห็นผิดเป็นถูก เห็นดำเป็นขาว มันหมายความว่าอย่างไร ?”
เฉาเจิงเหวินกล่าวตะโกนด้วยสุ้มเสียงที่เย็นชา : “เป็นเรื่องจริงสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์ ?”
จ้าวหู่กล่าวตอบ : “ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อ เจ้าสามารถไถ่ถามศิษย์สาวกคนอื่นๆที่มุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเราทั้งหมดสามารถเป็นพยานได้ นอกจากนั้น เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากเหว่ยจวาง เขาเป็นคนก่อเรื่องนี้ขึ้นตั้งแต่แรก ศิษย์พี่หยางถูกลากเข้าไปแค่นั้น !!”
“มีคนเป็นพยาน ใครจะเป็นพยาน ?” เหว่ยเจียงเอียศีรษะเบาๆ เขาหัวเราะและมองไปรอบๆ บริเวณ
ทันใดนั้นศิษย์สาวกแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวที่อยู่นั้นเหตุการณ์ได้เดินออกไปกระจัดกระจายไปที่อื่นๆเสมือนนกที่บินหนีไปในทันที พวกเขาเคยได้ยินเรื่องราวกับแย่งชิงอำนาจระหว่างผู้อาวุโสในสำนัก ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขาไม่กล้าที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวข้อง ไม่ว่าทำให้ฝ่ายใดโกรธเคือง หลังจากนี้พวกเขาจะไม่มีชีวิตที่สงบสุขในหอประลองยุทธุ์ต่อไป
เมื่อหลี่หยุนเทียนมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขากัดฟันจะแทบจะร้องไห้ออกมา แต่เขาทำได้เพียงกลืนมันลงคอและกล่าว : “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพวกเราทั้งหมดอยู่ในเหตุการณ์ พวกเราทุกคนต่างรับรู้รายละเอียดที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน พวกเราก็คือพยาน !!”
เฉาเจิงเหวนิส่ายหัวไปมาและกล่าว : “พวกเจ้ามาชุมนุมทะเลาะวิวาทด้วยกัน พวกเจ้ามีความผิดติดตัว พวกเจ้าจะเป็นพยานได้อย่างไร ?”
“ทะเลาะวิวาท ?” จ้าวหู่กระโดดขึ้นมาและกล่าวด้วยความโกรธ : “มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเหว่ยจวางให้คนของเขาท้าประลองยุทธุ์กับพวกเรา พวกเราไม่ได้ทะเลาะวิวาท ?เฉาเจิงเหวิน ไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นศิษย์แห่งหอวินัยศักดิ์สิทธิ์แล้วทุกอย่างจะเป็นอย่างที่เจ้าพูดเป็นอย่างที่เจ้าต้องการ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวคงไม่ต้องให้เจ้าตัดสิน !”
“บังอาจ !!” เฉาเจิงเหวนกล่าวตะโกน : “หอวินัยศักดิ์สิทธิ์หมายถึงกฏระเบียบของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ทุกอย่างเป็นกลางและเป็นธรรม เจ้ากล้าสงสันต่อการกระทำของหอวินัยศักดิ์สิทธิ์ โทษของเจ้าเพิ่มขึ้นอีก 1 ขั้น !!”
“ต้องการกล่าวโทษ ทำไมต้องหาเหตุผลอื่นเป็นข้ออ้างด้วย ?!!” หยางไค่โบกมือให้หลี่หยุนเทียนเงียบโดยไม่ต้องกล่าวอธิบาย เขามองไปที่เฉาเจิงเหวินและกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ : “เป็นกลางและเป็นธรรม ? ในที่สุดวันนี้ข้าก็ได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าเป็นกลางและเป็นธรรมา”
“ฮึ่ม !!” เฉาเจิงเหวินหัวเราะอย่างเย็นชาเขาเดินไปข้างหน้าและกล่าว : “จับกุมพวกเขาทั้งหมด หลังจากที่ผู้อาวุโสหารือจนเสร็จ ค่อยให้บทลงโทษแก่พวกเขา !!”
“ชู่วชู่ว !!” เสียงของการเคลื่อนไหวดังแว่วออกมาจากทั่วทุกสารทิศ ทุกทิศทางต่างมีศิษย์แห่งหอวินัยศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวออกมา รวมทั้งหมดมีศิษย์แห่งหอวินัยศักดิ์สิทธิ์จำนวน 10 คน คนเหล่านี้ความแข็งแกร่งระดับที่ต่ำที่สุดคือเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 5 แล้วหลี่หยุนเทียนจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาไดอย่างไร? ดังนั้นพวกเขาจึงถูกจับกุมตัวทั้งหมด หยางไค่ไม่มีการต่อต้าน เพราะเข้ารู้แม้ว่าเขาจะต่อต้านก็ไร้ซึ่งประโยชน์
“แล้วเราจะได้เห็นดีกัน !!” เหว่ยจวางเต็มไปด้วยความทะเยอะทะยาย เขาเดินไปที่ด้านหน้าของหยางไค่และหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา
“พาพวกเขาออกไป !!” เฉาเจิงเหวินกล่าวออกคำสั่ง ศิษย์แห่งหอวินัยศักดิ์สิทธิ์จึงนำตัวพวกเขาออกไป
เมื่อมองเห็นซู่มู่ที่นอนไม่ได้สติ เฉาเจิงเหวินขมวดคิ้วและถอนหายใจ เขาจับหลี่หยุนเทียนและหยางไค่และคนอื่นได้โดยไม่มีปัญหา แต่ว่าซู่มู่มีฐานะที่ไม่ธรรมดา เขาไม่มีความกล้าที่จะกระทำซู่มู่ เขาครุ่นคิดสักครู่และกล่าวออกคำสั่ง : “พาศิษย์น้องซู่ไปส่งที่จวนของผู้อาวุโสที่สอง !”
“ขอรับ !!” มีคนกล่าวตอบ เขาอุ้มซู่มู่ขึ้นจากพื้น ก่อนที่จะพาเขาออกไป
“นายน้อยซู่ คงพบเจอกับความลำบากมาไม่น้อย !!” เฉาเจิงเหวินกล่าวเบาๆ
เหว่ยจวางหรี่ตาลงและขบฟันกล่าว : “คนที่ชื่อหยางไค่ อย่าปล่อยเขาไปเด็ดขาด !! วันนี้เขาสร้างความอัปยศให้แก่ข้า ถ้าหากไม่ได้ชำระแค้นไม่มีทางที่ข้าจะอยู่อย่างสงบ !! เจ้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไร !!”
เฉาเจิงเหวินกล่าวด้วยความลังเล : “นายน้อย เหตุการณ์ในวันนี้ค่อนข้างใหญ่ สิ่งที่เกิดขึ้นต้องสร้างความตกใจให้แก่ผู้อาวุโสทั้งหลาย ถ้าหากพวกเราลงมือในตอนนี้ คงไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม รอให้เหล่าผู้อาวุโสตัดสินโทษแล้วค่อยลงมือก็ไม่สาย”
“แต่ข้าไม่อาจกล้ำกลืนความโกรธแค้นในครั้งนี้ !!” เหว่ยจวางแสดงออกด้วยใบหน้าที่โหดร้าย
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยให้นายน้อยได้ระบายความโกรธแค้นต่อพวกมัน สั่งสอนให้บทเรียนแก่พวกมันว่าการสร้างความเคืองโกรธให้แก่นายน้อยจะได้รับผลอย่างไร ?”
“อย่าฆ่ามันให้ตาย ข้าจะจัดการกับมันด้วยมือของข้าเอง !!”
“มันจเป็นอย่างที่นายน้อยต้องการ !!”
คุกคุมขังในป่าลึกแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว หยางไค่และคนอื่นๆถูกคุมขังอยู่ที่นี้ภคุกคุมขังในป่าลึกทั้งมืดชื้น อากาศหนาวจัด และยังเต็มไปด้วยหนู ยุง และแมลงอื่นๆจำนวนมากมาย ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าๆ ทำให้คนที่ได้กลิ่นแทบจะอ้วกออกมา สภาพแวดล้อมของมันน่าสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุด
คุกในป่าลึก เป็นสถานที่กักขังศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวที่ทำผิดกฎ หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆไม่คิดว่าพวกเขาจะได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้ จิตใจของพวกเขาต่างขมขื่นและหวาดกลัวอย่างมาก
“ศิษย์พี่หยาง ครั้งนี้ท่านถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องอีกแล้ว” หลี่หยุนเทียนนั่งข้างๆหยางไค่และกล่าวขอโทษเบาๆ
”
หยางไค่หัวเราะเบาๆ : “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า เป็นข้าเองที่ทนไม่ได้ ข้ากระโดดเข้าไปเอง ข้าไม่สามารถทนเห็นคนของตนเองกัดกันกันเองเหมือนสุนัข”
“กัดกันเองเหมือนสุนัข ...... หลี่หยุนเทียนสำลักขึ้นมา คำด่านี้คงไม่รวมถึงเขาและคนอื่นๆ ?
หยางไค่หัวเราะเบาๆ “กล่าวอย่างน่าฟังคือการทะเลาะกันเองในครอบครัวเดียวกัน ถ้าไม่น่าฟังก็คือกัดกันเองเหมือนสุนัข !!”
“ก็จริง แต่ศิษย์พี่หยางโปรดวางใจ นายน้อยซู่ไม่มีทางที่จะทิ้งพวกเรา พวกเรารออยู่ที่นี้อีกไม่กี่ชั่วยาม นายน้อยซู่ก็จะสามารถช่วยพวกเราออกจากที่นี้” หลี่หยุนเทียนกล่าวอย่างง่ายดาย
หยางไค่หันร่างกายและเปลี่ยนตำแหน่งตัวเองเพื่อให้ตนเองอยู่ในตำแหน่งที่สบายมากขึ้น : “ทำไมผู้อาวุโสที่หนึ่งและผู้อาวุโสที่สองทำไมถึงมีช่องว่างระหว่างกัน ข้าอยากรู้ ?”
เมื่อได้ยินดังนี้หลี่หยุนเทียนถอนหายใจและกล่าว : “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประมุขแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว !!”
“อืม ? ข้าอยากฟังรายละเอียด”
หลี่หยุนเทียนกล่าว : “ครั้งที่แล้วนายน้อยซู่บอกเรื่องราวเกี่ยวกับศิษย์ทั้งสองของประมุข หลังจากที่ประมุขจับศิษย์คนที่ 2 และนำไปขังในคุกคุมขังมังกรด้วยมือของเขาเอง ประมุขแทบจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนและคนอื่นๆ เขาไม่สนใจแม้แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว หลายปีที่ผ่านมาเป็นผู้อาวุโสที่หนึ่งที่คอยสะสางภารกิจและเรื่องราวต่างๆทั้งหมดของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว แต่เพราะเวลาที่ผ่านไปทำให้เขาเกิดความทะเยอะทะยาน ตอนนี้ผู้อาวุโสที่หนึ่งคิดว่าตนเองเป็นประมุขแห่งสำนัก ผู้อาวุโสที่สองไม่พอใจกับการกระทำของผู้อาวุโสที่หนึ่ง เขาคิดว่าผู้อาวุโสที่หนึ่งกำลังจะชิงตำแหน่งประมุขแห่งสำนักไปเป็นของตนเอง เมื่อเวลาผ่านไป จึงก่อให้เกิดความบาดหมางและข้อพิพาทระกว่างพวกเขาทั้งสอง !!”