ตอนที่ 67 เจ้าเทียบกับเขาไม่ได้
ช่วงเวลาในขณะนั้น เหว่ยจวางทั้งรู้สึกเจ็บปวดใจและรู้สึกตื่นตะลึง
เขารู้สึกตื่นตะลึงเพราะเสื้อเกราะเมฆาของเขาไม่สามารถป้องกันการโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม เขารู้สึกเจ็บปวดใจเพราะเสื้อเกราะเมฆาถูกตัดจนฉีกขาด ทำให้เขาสูญเสียคุณสมบัติในการป้องกันทั้งหมดจากเสื้อเกราะเมฆา
ภายใต้ความโกรธที่มากมายมหาศาล เหว่ยจวางหันหลังกลับกระโจนพุ่งตัวไปที่หยางไค่และกล่าวตะโกน : “เจ้าทำลายสมบัติของข้า !! เจ้าต้องตาย !!”
เหว่ยจวางอยู่ในเขตแดนการยาเริ่งอารมณ์ขั้นที่ 3 เขาปลดปล่อยพลังความแข็งแกร่งออกมาทั้งหมด จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่พลังความแข็งแกร่งของเขาค่อนข้างที่จะรุนแรง แต่น่าเสียดายเพราะในขณะที่หยางไค่อยู่ในเขตแดนกายาเริงอารมณ์เขาเคยฆ่าคนที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 5 แต่เขาอยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 3 เท่านั้นเขาจะสามารถเอาชนะหยางไค่ได้อย่างไร
เมื่อเหว่ยจวางพุ่งไปถึงด้านหน้าของหยางไค่ ใบมืดสีแดงเลือดที่อยู่ตรงนิ้วมือได้ปะทะกันอย่างกะทันหัน มันได้พุ่งตัดไปยังเหว่ยจวางอย่างรวดเร็ว
ร่างกายของเหว่ยจวางแข็งทื่อ หมัดของเขาอยู่ห่างจากใบหน้าของหยางไค่เพียง 3 ชุ่น แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไรก็มิอาจที่จะขยับเขยื้อน เพราะเขารู้สึกว่าหน้าอกของเขาแสบร้อนเสมือนถูกเปลวเพลิงที่รุนแรงแผดเผา
เหว่ยจวางค่อยๆโน้มศีรษะลงมอง เขามองเห็นใบมีดสีเลือดที่อยู่ในมือของหยางไค่ ซึ่งมีรูปร่างคล้ายงูแห่งจิตวิญญาณที่กำลังพุ่งเข้าออกอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งมันได้พุ่งโจมตีไปที่ช่องท้องของเขา
“สมบัติแห่งการป้องกัน ก็ไม่เท่าไหร่ !!!!” หยางไค่หัวเราะเยาะอย่างเย็นชา เขากวาดสายตามองไปทั่วบริเวณ ซึ่งมองเห็นเสื้อเกราะป้องกันเมฆาที่เหว่ยจวางสวมใส่เต็มไปด้วยรอยฉีกขาดขนาดใหญ่
หยางไค่เองก็ตกใจไม่น้อย เพราะมันเกิดความคาดหมายของเขา เขาไม่คิดว่าหยดน้ำพลังหลมปราณยางจะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นใบมีดสีเลือดที่มีความรุนแรงและความแหลมคมถึงเพียงนี้
ถ้าหากหยางไค่เข้าร่วมการต่อสู้กับเหว่ยจวางอย่างจริงจัง แม้ว่าหยางไค่จะสามารถเอาชนะเหว่ยจวาง มันไม่มีทางที่จะง่ายดายเช่นนี้ เพราะตัวเขาเองเพิ่งใช้หยดน้ำพลังลมปราณหยางเพียง 1 หยดเท่านั้น
แต่ว่าฝ่ายตรงข้ามนั้นยังสวมใส่เสื้อเกราะแห่งการป้องกันซึ่งเป็นสมบัติแห่งการป้องกัน แล้วทำไมเขาจะไม่สามารถใช้หยดน้ำพลังลมปราณหยางล่ะ ?
“เจ้ากล้าทำร้ายข้า !!” ใบหน้าของเหว่ยจวางสั่นสะท้าน เขาจ้องมองหยางไค่ด้วยความไม่พอใจ แม้ว่าชีวิตของเขาจะอยู่ในมือของหยางไค่ เขาก็มิได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เขาเป็นหลายชายของผู้อาวุโสที่หนึ่ง !! มีฐานะที่สูงส่ง !! ในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยไม่มีใครกล้าที่จะทำร้ายเขาแม้แต่คนเดียว !
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าคงไม่รู้ ว่าปู่ของเขาเป็นผู้อาวุโสที่หนึ่ง เจ้ากล้าทำร้ายข้าเจ้าต้อ้งตายอย่างแน่นอน !!” เหว่ยจวางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขมขู่
หยางไค่ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง ใบมีดสีเลือดที่อยู่บนนิ้วมือเริ่มพุ่งเข้าออกอย่างรุนแรง ดวงตาของหยางไค่เริ่มแสดงออกอย่างโหดเหี้ยมและแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่รู้ว่าใครเจ้าจะตายก่อน หรือว่าข้าจะตายก่อน ?” หยางไค่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่าตื่นตืน มุมปากของเขายังแสะยิ้มด้วยรอยยิ้มที่แปลกๆ ก่อนจะตวัดนิ้วเพื่อปลดปล่อยพลังอย่างช้าๆ
เลือดสีแดงเข้มไหลรวยรินออกมาจากหน้าของเหว่ยจวาง ทันใดนั้นใบหน้าของเหว่ยจวางแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด เขาทนความเจ็บปวดไม่ไหวจึงตะโกนคำราม ในช่วงเวลาที่ร่างกายของเขาถูกโจมตี เขาสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุแห่งพลังลมปราณหยางพุ่งผ่านเข้าไปในร่างกายของเขา มันได้แผดเผาเนื้อหนังของเขาอย่างเจ็บปวด
“กล้าไม่กล้วข้าก็ลงมือไปแล้ว เจ้าว่าข้ากล้าหรือเปล่าล่ะ ?” หยางไค่ออกแรงอีกครั้ง ใบมีดค่อยๆดันเข้าไปกว่า 1 ชุ่น เลือดสีแดงสดไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเหว่ยจวางสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขากล่าวด้วยความขี้ขลาด : “เจ้าไม่กลัวว่าปู่ของข้าจะฆ่าเจ้า !!”
“การแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์ภายในของศิษย์ในสำนัก ต่างคนต่างรับผิดชอบความเป็นความตายของตนเอง !!” หยางไค่สบทด้วยเสียงที่เยือกเย็น : “ความแข็งแกร่งของเข้าเทียบกับผู้อื่นไม่ได้ เจ้าถูกฆ่าก็มิอาจตำหนิหรือโทษใครได้ ผู้อาวุโสที่หนึ่งแล้วจะอย่างไร ? หอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวไม่ได้เป็นของเขา !!”
เหว่ยจวางอึ้งและตกอยู่ในความหวาดกลัว เขามองไปยังศิษย์ในสำนักเดียวกันที่อยู่ตรงหน้าซึ่งเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ความรู้สึกเยือกเย็นได้แทรกแทรงเข้ามาในจิตใจ ร่างกายของเขายังเต็มไปเหงื่อเย็นที่ไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ขณะที่เขากำลังจะกล่าวพูด หยางไค่ได้แทรกขึ้นมาอย่างกะทันหัน : “เมื่อไหร่ที่เจ้ากล่าวคำว่ายอมแพ้ ข้าจะฆ่าเจ้าทันที ดังนั้นอย่าแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนี้ !!”
ใบหน้าของเหว่ยจวางซีดขาวอย่างมาก เมื่อสักครู่เป็นความจริงที่เขาต้องการจะขอยอมแพ้ การประลองยุทธุ์ของศิษย์ในสำนัก ถ้าหากรู้สึกว่าไม่สามารถต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามได้อีกต่อไปสามารถที่ขอยอมแพ้ แล้วฝ่ายตรงข้ามก็จะไม่สามารถโจมตีพวกเขาได้อีกต่อไป
แตว่าตอนนี้ เขาไม่กล้าที่จะพูดคำว่ายอมแพ้ เขามองไม่เห็นความหยอกล้อในสายตาของฝ่ายตรงข้ามแม้แต่น้อย แต่ว่าสายตาของเขาเป็นสายตาที่จริงจังและดุดันอย่างถึงที่สุด
“เจ้าต้องการจะทำอะไร ?” เหว่ยจวางกัดฟันกล่าวถาม
“ข้าไม่ต้องการทำอะไร ข้าแค่รู้สึกว่า เจ้าเทียบกับซู่มู่ไม่ได้ เจ้าสามารถเอาชนะเขา เพราะอำนาจแห่งสมบัติวิเศษ !!” หยางไค่ส่ายหัวไปมาในขณะที่เขากำลังกล่าว
“ข้าไม่สามารถเทียบกับเขา ?”เสมือนว่ากำลังเหยียบหางของเหว่ยจาง เขาตะโกนด้วยเสียงต่ำ : “ข้าเทียบกับเขาไม่ได้ตรงไหน ?ความแข็งแกร่งของข้าสูงกว่าเขา มีชาติกำเนิดที่สูงกว่าเขา ตรงไหนที่ข้าเทียบกับเขาไม่ได้ !! ?”
หยางไค่เอียงหัวและกล่าว : “เจ้าไม่เชื่อ ? ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็น !!”
หลังจากที่กล่าวจบ เขาออกแรงไปที่นิ้วอีกครั้ง ทันใดนั้นเหว่ยจวางตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอย่างกะทันหันและร่างกายของเขายังซวนเซไปมา
หยางไค่หัวหลังกลับไปอย่างช้าๆ เขาสังเกตคนของเหว่ยจวาง เมื่อสักครู่พวกเขายังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับหลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆ แต่เมื่อเหว่ยจวางถูกโจมตีเช่นนี้ พวกเขาไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวอีก ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงยืนนิ่งและจ้องมองอยางโง่เขลา
“อยากช่วยนายน้อยเหว่ยของพวกเจ้า?” หยางไค่กล่าวถาม
ไม่มีใครกล้ากล่าวตอบ พวกเขาต่างหวาดกลัวต่อความบ้าคลั่งของหยางไค่ คนที่อยู่ในสนามแห่งการต่อสู้เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่มีอายุ 18 ปี พวกเขาไม่เคยเหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน !
“ต้องการช่วยเขา ค่อยๆคุกเข่าและสำนึกผิด !! ถ้าหากข้ารู้สึกพึงพอใจ เข้าจะไว้ชีวิตเขา !! !” หยางไค่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
ใบหน้าของพวกเขาซีดขาวในทันที คำกล่าวนี้..........เป็นคำกล่าวที่เหว่ยจวางกล่าวกับคนของซู่มู๋ ?
หลังจากที่คนของซู่มู่ได้ยินคำกล่าวนี้ พวกเขาคุกเข่าลงโดยไม่ลังเล และคำนับให้แก่เหว่ยจางในทันที นั่นหมายความว่าเขาก็ต้องทำเช่นนี้เหมือนกัน ?
แต่ตอนนี้มีฝูงชนจำนวนมากมายกำลังจ้องมอง ถ้าหากว่าคุกเข่าลง พวกเขาจะต้องพบเจอกับความอับอายและความอัปยศ หลังจากนี้พวกเขาจะมีหน้าอยู่ในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวได้อย่างไร ? แต่ถ้าหากว่าพวกเขาไม่คุกเข่า แล้วเหว่ยจวางตำหนิโทษพวกเขาล่ะ พวกเขาจะทำอย่างไร ?
ใบหน้าของแต่ละคนแสดงออกอย่างแตกต่างกัน พวกเขาต่างครุ่นคิดอย่างต่อเนื่อง และไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าอยากให้เขาตาย” หยางไค่ถอนหายใจเบาๆ ใบมีดที่อยู่บนนิ้วมือดันเข้าไปในร่างกายของเหว่ยจวางอีกครั้ง
เหว่ยจวางตกใจจนสติแตกกระเจิง เขารู้สึกอย่างชัดเจน ถ้าหากว่าใบมีดสีเลือดที่อยู่บนนิ้วมือของเขาแทงลึกเข้ามาอีกเพียงนิดเดียว มันจะแทงทะลุหัวใจของเขาอย่างแน่นอน
นั่นคือการโจมตีแห่งความตาย !!
เหว่ยจวาวไม่อยากตาย ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น เขากล่าวตะโกนด้วยเสียงที่แหบแห้งอย่างสิ้นหวัง : “ยืนอึ้งเพื่ออะไร ? รีบคุกเข่าลง !! ถ้าหากข้าตาย พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตต่อไป !!”
เมื่อถึงตอนนี้คนของเหว่ยจวางจึงค่อยๆคุกเข่าลง
หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆเมื่อมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้พวกเขาต่างดีใจด้วยความท่วมท้น ความแค้นแห่งความไม่ยุติธรรมเมื่อสักครู๋ได้ถูกชำระล้างจนหมดสิ้น
หยางไค่หันหน้ากลับไปหาเหว่ยจวาง และกล่าวอย่างอย่างเฉยชา : “ตอนนี้เจ้ารู้ถึงความความแตกต่างระหว่างเจ้าและซู่มู่หรือยัง ?”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ เหว่ยจวางอึ้งในทันที ดวงตาของเขาเปลี่ยนแปลงอย่ากะทันหัน เขามองไปที่คนของเขาด้วยสายตาที่โกรธแค้น
เพื่อช่วยชีวิตซู่มู่ หลี่หยนุเทียนและคนอื่นๆยอมละทิ้งต่อศักดิ์ศรีและยอมรับความอัปยศจากเจ้า แล้วคนของเจ้าล่ะ ? ต้องให้เขากล่าวตะโกน ข่มขู่ด้วยชีวิต จึงจะยอมคุกเข่าตามคำสั่งของหยางไค่โดยไม่เต็มใจ
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างความแตกต่าง ระหว่างเหว่ยจวางและซู่มู่มีความแตกต่างที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ในเรื่องของนิสัยใจคอและความจริงจัง เหว่ยจวางไม่สามารถเทียบกับซู่มู๋ได้
“ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วใช่ไหม ?” เหว่ยจวางกล่าวถามและจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่เยือกเย็น
หยางไค่หรี่ตาลง ใบหน้าของเขาแสดงออกอย่างโหดเหี้ยม
เหว่ยจวางตื่นตกใจจนหน้าซีดขาว ก่อนจะกล่าวตะโกนด้วยเสียงแหลม : “เจ้าคงไม่..........”
ยังมิทันที่หยางไค่จะกล่าวตอบ เสียงตะโกนด้วยความโกรธดังแว่วมาจากที่ไกล : “หยุดเดี่ยวนี้ !!”