ตอนที่แล้วตอนที่ 65 เหว่ยจวาง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 67 เจ้าเทียบกับเขาไม่ได้

ตอนที่ 66 โปรดชี้แนะ


เมื่อเห็นหลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆคุกเข่าลงที่พื้น เหว่ยจวางยิ่งแสดงออกอย่างหึมเหิมและหยิ่งยะโส ก่อนที่เขาจะกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ : “เพียงแค่การคุกเข่ายังไม่สามารถแสดงความจริงใจของพวกเจ้า !!”

ใบหน้าของหลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆ เขียวคล้ำ พวกเขากัดฟันแน่น ก่อนที่จะค่อยๆลดศีรษะกระทบกับพื้นดิน และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า : “ศิษย์พี่เหว่ยจวาง ได้โปรดเมตตา !!”

 

เหว่ยจวางหรี่ตาลงรอยยิ้มของเขาค่อยๆหายไปเพราะความกล้าหากญของหลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆ

 

“เหว่ยจวาง !!” ซู่มู่กลืนเลือดที่อยู่ในปากเข้าไปในท้องและกล่าวด้วยความเกลียดชัง : “ข้าและเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ !!”

 

“เด็ดขาดจริงๆ” เหว่ยจวางกุมมือทั้งสองขึ้น และกระแทกลงไปที่หน้าอกของซู่มู่

 

ป๊าป !! เสียงกระแทกดังขึ้น ซู่มู่กระอักเลือดออกมา ก่อนที่จะหมดสติไปอย่างช้าๆ

 

“นายน้อยซู่ !!” หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆตะโกนด้วยควาโกรธ เขาไม่คิดว่าเหว่ยจวางจะผิดสัญญากับคำพูดของตนเองต่อหน้าฝูงชนที่มากมายเช่นนี้

 

“อย่าปล่อยออกไปแม้แต่คนเดียว !!” เหว่ยจวางออกคำสั่งอย่างโหดเหี้ยม จากนั้นเขาได้ลุกขึ้นยืนข้างๆซู่มู่ ก่อนจะเตะซูมู่เสมือนสุนัขที่ตายไปแล้วอย่างน่าเวทนา

 

ศิษย์สาวกแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยที่เผชิญหน้าหับหลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆเมื่อสักครู่ต่างหัวเราะด้วยความเยือกเย้น พวกเขารีบวิ่งออกไปข้างหน้า เพื่อแสดงเจตนาในการต่อสู้ !!

 

หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆกำลังโกรธเคือง พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะระบายความโกรธ เมื่อพวกเขาเสนอตัวเขามา มีหรือมี่พวกเขาจะไม่ตอบตกลงกับการท้าทายต่อสู้ในครั้งนี้ ?

 

นี้เป็นการต่อสู้แบบกลุ่ม แต่ว่าแต่ละฝ่ายต่างมีคู่ต่อสู้ที่เล็งเป้าหมายไว้ตั้งแต่แรก

 

เหว่ยจวางยิ้มอย่างเยือกเย็น ก่อนจะมองที่หลี่หยุนเทียนและคนอื่นๆ และกล่าวด้วยความเยาะเย้ย : “ใครไม่พอใจ ใครไม่เชื่อฟัง ฆ่าให้หมด ถ้าหากว่าตายจะถือเป็นการกระทำของเขา !!”

เขาต้องการสั่งสอนบทเรียนที่มีค่าให้แก่พวกเขา ให้พวกเขารู้ว่าการติดตามผู้นำที่ผิดจะได้รับผลอย่างไร

 

เนื่องจากหยางไค่ยืนใกล้กับหลี่หยุนเทียน เขาจึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่คนของเหว่ยจวางเล็งเอาวไว้ คนคนนี้พุ่งเข้าไปข้างหน้า เขาตะโกนชื่อของเขาเพียงอย่างเดียวและไม่รอให้หยางไค่ตอบสนอง เขารีบพุ่งโจมตีไปที่หยางไค่ทันที

 

หยางไค่เตะออกไปที่ท้องของคนคนนั้น จากแรงเตะที่หนักหน่วงรุนแรง ทำให้เขาล้มลงไปที่พื้นทันที

 

มันสมควรกับความโชคร้ายในครั้งนี้ ความแข็งแกร่ของเขาน่าจะอยู่ในเขตแดนกายาเริงอารมณ์ ถ้าหากเป็นไปตามกฏเขาไม่สามารถที่จะท้าประลองต่อหยางไค่ แต่ว่าเขาเป็นคนที่พุ่งเข้ามาโจมตีหยางไค่ก่อน จึงไม่สามารถตำหนิเขาได้

 

หยางไค่ค่อยๆ หลบหลีกจากความวุ่นวายในสนามแห่งการต่อสู้ ค่อยๆเดินเข้าไปหาซู่มู่อย่างช้าๆ

 

“อืม ?” เหว่ยจวางจ้องมองหยางไค่ ดวงตาของประกายด้วยความสงสัย

 

คนของซู่มู่มีกี่คน ชื่อะไร เขารับรู้มันอย่างชัดเจนกว่าใคร แต่ว่าเขาไม่เคยเห็นหยางไค่ ทำให้เขาไม่สามารถระบุฐานะและตัวตนของหยางไค่

 

หยางไค่เดินเข้ามาหาซู่มู่อย่างเงียบๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใด ก่อนที่เขาจะขยับมือไปที่จมูกของซู่มู่เพื่อทดสอบลมหายใจของเขา และพบกว่าซู่มู่เพีงหมดสติไป ทำให้คลายความไม่สบายได้อย่างมาก

 

“เจ้าเป็นใคร ?” เหว่ยจวางรู้สึกไม่พอใจอย่างกะทันหัน เขาและซู่่มู่มีช่องว่างระหว่างกันเพียงเล็กน้อย แต่คนคนนี้กลับกล้าที่จะตรวจสอบอาการบาดเจ็บของหยางไค่ มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตัวเขาเองไม่อยู่สายตาของเขาแม้แต่น้อย

 

หยางไค่ลุกขึ้นและจ้องมองเหว่ยจวางอย่างเงียบๆ

 

“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร” เหว่ยจวางยกคางขึ้น ก่อนจะตวาดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน

 

“ศิษย์ฝึกหัดหยางไค่ ได้โปรดชี้แนะ !!” หยางไค่ยกมือคำนับเหว่ยจวาง มันเป็นมารยาทในการท้าประลองยุทธุ์ของศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์นั่นเอง

 

“หยางไค่ ?” เหว่ยจวางตื่นตะลึง ก่อนที่รีบดึงสติของตนเองกลับคืนมา : “เจ้าก็คือหยางไค่ ศิษย์ที่บ้าคลั่งและชนะการประลองยุทธุ์ในทุกครั้ง ?”

 

“มิกล้า ! แต่ถ้าหากว่าสำนักของเราไม่มีศิษย์คนอื่นๆที่ชื่อหยางไค่ คนที่เจ้ากล่าวก็คือข้า”

 

“ตลกสิ้นดี !! เป็นเพียงศิษย์ฝึกหัดคนหนึ่ง แต่กล้าที่จะท้าประลองกับข้า !! เจ้ามีสิทธิ์และคุณสมบัติข้อไหน ?” เหว่ยจวางหัวเราะเยาะอย่างไม่หยุด

 

“กฏของสำนัก ตราบใดที่ศิษย์สาวกมีเขตแดนที่ห่างกันไม่เกิน 3 ขึ้น พวกเขาทั้งหมดสามารถที่จะท้าประลองยุทธุ์ต่อกันได้ !!”

 

“ข้าอยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 3 แล้วเจ้าล่ะคือเศษสวะอะไร ?” เหว่ยจวางมองหยางไค่ด้วยสายตาที่ชิงชัง ศิษย์ฝึกหัด เป็นเพียงศิษย์ที่ไม่สามารถก้าวเข้าสู่เขตแดนลมปราณแรกเริ่ม ถ้าหากยังไม่ได้อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่ม นั่นแสดงว่าเขาต้องมีเขตแดนที่ห่างกว่าเขามากกว่า 3 ขั้น

 

“ข้าก็อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 3” หยางไค่กล่าวตอบอย่างเฉยชา

 

ทันใดนั้นเสียงแห่งการนินทาการกล่าวออกความคิดเห็นได้ดังขึ้นอย่างกะทันหัน

 

“เป็นไปไม่ได้ ที่หยางไค่จะอยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 3”

 

“มีคำรำลือมาว่าเขาใช้เวลาสามปีในการฝึกยุทธุ์ก็อยู่ในเขตแดนกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 3 เท่านั้น ? หรือว่าคำร่าลือนั้นจะผิดไป ? หรือคำพูดของตัวเองจะผิดไป ? หรือว่าความจำของเขาจะคลาดเคลื่อน”

 

“เป็นเรื่องแปลกยิ่งนัก ก่อนหน้าหน้าที่หยางไค่ท้าประลองยุทธุ์กับเขา เขาอยู่ในเขตแดนกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 8 เท่านั้น ยังผ่านไปไม่ถึงเดือน ทำไมเขตแดนของเขาจึงอยู่ในขั้นนี้ ?”

 

คำถามทุกประเภท ถูกกล่าวถามขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

 

เหว่ยจวางยังสังเกตุหยางไค่ด้วยความสงสัย เขากำลังครุ่นคิดว่าหยางไค่โกหกหรือไม่ ในเมื่อเขาอยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่ม แล้วทำไมจึงเป็นเพียงศิษย์ฝึกหัด ?

 

สิ่งที่เขาไม่รู้คือ หยางไค่เพิ่งก้าวข้ามเขตแดนเมื่อวานนี้ และยังก้าวข้ามเขตแดนจากกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 9 ไปยังลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 3 ในครั้งเดียว

 

“ตอนนี้ฉันมีสิทธิ์และคุณสมบัติที่จะท้าประลองแล้วใช่ไหม ?” หยางไค่หรี่ตากล่าวถาม ดวงตาของเขายังประกายด้วยความโหดเหี้ยม

 

“ถ้าหากเจ้ามีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนี้ เจ้าก็มีสิทธิ์และคุณสมบัติที่เพียงพอ” เหว่ยจวางพยักหน้า หัวเราะด้วยความประสงค์ร้าย : “ถ้าหากเจ้าไม่กลัวตาย !!”

 

หยางไค่หัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวตอบ : “ข้าก็หวังว่าเจ้าจะไม่กลัวตายเช่นเดียวกัน !!”

 

“พูดจาอวดใหญ่ !!” เหว่ยจางเกรี้ยวโกรธ ในใจเขาคิดว่าเขาสวมใส่สมบัติแห่งการป้องกน แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนที่สูงุสดของเขตแดนลมปราณก็มิอาจที่จะทำลายการป้องกันจากสมบัติแห่งการป้องกัน นั่นหมายความว่าเขาจะไม่มีวันพ่ายแพ้ ส่วนหยางไค่คนนี้อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มขั้นที่ 3 จะสามารถเอาชนะเขาได้อย่างไร ?

 

“มา ข้าจะให้เจ้าโจมตีมา 1 ครั้งเพื่อทดสอบ !!” เหว่ยขางกล่าวด้วยความเย่อหยิ่งและโบกมือเรียกหยางไค่ให้โจมตีเข้ามา

 

มีหรือที่หยางไค่จะเกรงใจ ? เขาพุ่งไปข้างหน้าและพุ่งหมัดไปที่หน้าอกของเหว่ยจวางทันที

พลังงานหยางร้อนระอุที่ถูกปลดปล่อยออกมา ไม่เพียงไม่สามารถทำอันตรายให้แก่เหว่ยจวาง แต่มันกับสะท้อนกลับไปที่หยางไค่ ทำให้เขาต้องถอยหลังไปหลายก้าว เขาก้มหน้ามองออกไป หมัดของเขาแดงก่ำ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าถูกพลังงานหยางของตนเองทำร้าย

 

“ฮ่าฮ่า !! ไม่เจียมตัว !!” เหว่ยจวางแสดงออกอย่างภาคภูมิใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังมิทันที่คำพูดจะกล่าวออกไปทั้งหมด ใบหน้าของเขาก็แสดงออกอย่างตกตะลึง เพราะเขามองเห็นดวงตาของหยางไค่แดงก่ำเสมือนสายเลือดขึ้นมาอย่างกะทันหัน พลังลมปราณที่รุนแรงกำลังแผ่รัศมีออกมาจากร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่องและมันยังเต็มไปด้วยความร้อนระอุที่เสมือนเปลวเพลิงที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างโหดเหี้ยม

 

สายตาของเขาไม่มีเจตนาแห่งการหลบหนีและหวาดกลัวแม้แต่น้อย มันมีแต่ความตื่นเต้นเกินกว่าที่จะเปรียบเทีย ดวงตาคู่นี้ เสมือนดวงตาของสัตว์ป่าที่ดุร้ายกำลังจ้องมองเหยื่อของมันด้วยความหิวกระหาย มันเต็มไปด้วยเจตนาที่ต้องการกลืนกินเหยื่อของมัน

 

ทันใดนั้นจิตใจของเหว่ยจวางรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างกะทันหันโดยไม่มีสัญญานแจ้งล่วงหน้า หยางไค่กำลังกระโจนเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มที่น่าหวาดกลัว หยดน้ำพลังลมปราณหยางปรากอยู่ที่นิ้วมือของเขา จากการสั่งการด้วยจิตวิญญาน มันได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นใบมีดสีเลือดืั้เสมือนปีกนก

 

เมื่อแสงสีเลือดได้ประกายผ่านไปตามมาด้วยเสียงกรีดตัดเบาๆ ร่างกายของหยางไค่และเหว่ยจวางได้ก้าวผ่านซึ่งกันและกัน

?

ทันใดนั้นเหว่ยจวางรู้สึกว่าท้องของเขาเย็นลงอย่างกะทันหัน เขาก้มศีรษะลงมอง หัวใจของเขาเสมือนตกลงไปที่ตาตุ่ม เขากรีดร้องด้วยความตื่นตะลึง : “เกราะป้องกันเมฆาของข้า !!”

 

เสื้อแห่งเกราะป้องกันเมฆ่าเป็นสมบัติขั้นสามัญระดับกลาง แม้ว่าจะเป็นอยู่ในขั้นที่ไม่สูงมาก แต่มันเหมาะสำหรับผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนนี้ เขาไม่รู้ว่าผู้อาวุโสที่หนึ่งได้รับมันจากที่ไหน แต่ผู้อาวุโสที่หนึ่งได้มอบให้แก่เขา ตอนนั้นผู้อาวุโสที่หนึ่งเคยกล่าวว่า ผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่ม โดยทั่วไปพวกเขาจะไม่สามารถทำลายสมบัติแห่งการป้องกันชิ้นนี้ นอกเสียจากว่าพวกเขาจะใช้อาวุธแห่งการฆ่าที่มีพลังมหึมา

แต่ว่าตอนนี้ สมบัติที่เขาได้รับมา กลับถูกศิษย์ฝึกหัดที่อยู่ในเขตแดนลมปราณแรกเริ่มผ่าทำลายในระยะการต่อสู้ที่กำลังเริ่มขึ้นเท่านั้น

 

เมื่อสักครู่เขาใช้อาวุธอะไร !! หรือว่าใบมีดสีแดงเลือดจะเป็นอาวุธลัของเขา ? และมันยังมีระดับขึ้นที่สูงกว่าเกราะป้องกันเมฆ่า ? ถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้ ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ที่น่าตื่นตะลึงนี้ขึ้น ?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด