Chapter 69 - ซูเอ๋อร์มันจะใหญ่ไปแล้ว
Chapter 69 - ซูเอ๋อร์มันจะใหญ่ไปแล้ว
เวลากลางคืน ที่สนามฝึกซ้อมของตระกูลลั่วสว่างขึ้น.
ลั่วเทียนกำลังยืนอยู่บนสนามฝึก เขามองไปยังสาวกทั้ง10ที่ได้รับการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน สายที่ที่เบิกกว้างของสาวกที่จ้องกลับมาที่เขา ลั่วเทียนกระแอ่มคอก่อนจะพูด: “่ก่อนอื่นต้องขอบคุณพวกเจ้าที่มาที่นี่ อย่างที่สอง ข้าจะให้โอกาสครั้งสุดท้ายเพื่อให้เจ้าคิดให้รอบคอบถึงสิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่ เราจะเข้าไปยังส่วนลึกของเทือกเขาวิญญาณซึ่งเป็นอันตรายกว่ารอบนอกมากขึ้น พวกเจ้าสามารถออกไปได้ในตอนนี้และข้าจะไม่หยุดพวกเจ้า.”
ในรอบนอกสัตว์ปีศาจมักจะมีระดับไม่แข็งแกร่งกว่า 3 ระดับ 4 ก็มีน้อยมากไม่ต้องพูดถึงระดับ 5.
นี่เป็นสิื่งที่ทำให้ลั่วเทียนทุกข์ใจ.
ประสบการณ์จากสัตว์ปีศาจที่อยู่ในระดับต่ำไม่ทำให้เขาพอใจอีกต่อไป.
ในปัจจุบันเขาต้องใช้ค่าประสบการณ์กว่าแสนเพื่อเพื่มเลเวล การที่ได้ไม่กี่ร้อยแต้มมันไม่ทันเวลาให้เขาเลเวลอัพ เพราะงั้นเขาจะต้องหาสถานที่ฟาร์มเลเวลใหม่.
ยิ่งกว่านั้น...
ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากหุ่นเหล็กทั้งสามอยู่ที่ร้อยละหกสิบในตอนนี้ เขาจะไม่สามารถใช้ได้นานก่อนที่มันจะกลายเป็นเศษเหล็ก หุ่นเหล่านี้เป็นเครื่องมือการฟาร์มเวลของเขา ดังนั้นมันไม่อาจพังได้ในตอนนี้.
นอกจากนี้ยังมีปัญหาของฟางเล่ย.
เจ้าอ้วนที่เพิ่มการบ่มเพาะด้วยการดูดแก่นเลือดจากสัตว์ที่ตายแล้ว และภาพสัตว์ร้ายบนหัวของเขาราวกับว่ามันหกหายไปจากความหิวโซ.
และศักยภาพของฟางเล่ยก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้
จุดที่สำคัญคือฟางเล่ยคล้ายกับเขามันเป็นเส้นทางการบ่มเพาะที่นอกรีต.
เขาอาจจะทำให้ลั่วเทียนได้รับชัยชนะจากการแข่งขันระหว่างตระกูลนี้.
ศักยภาพของฟางเล่ยถูกกักขังอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นลั่วเทียนจึงมองไปข้างหน้าถึงวันที่มันระเบิดขึ้นมา มันคงจะเหมือนกับอามาเกด้อนเมื่อมันปะทุขึ้น!
นี่ยังเป็นข้อกังขา!
“นายท่าน เราจะไม่เลิก.”
“ถูกต้อง! ทั้งสองตระกูลโจวและซูได้ผ่านพ้นไปแล้ว! แน่นอนว่าข้าจะทำให้การพัฒนาครั้งนี้และจากนั้นข้าจะนำเจ้าไปยังจุดที่ไม่รู้ว่าจะหาทางชนะอย่างเหนือชั้นได้อย่างไร ลองดู ว่าทั้งสองตระกูลจะมีหน้าเหลือเท่าไร!
“นายท่าน เราไม่กลัวความตาย แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นในเทือกเขาวิญญาณ?”
การแสดงออกของพวกเขาทั้งสิบคนเหมือนกับเหล็กกล้า ดวงตาของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่ของพวกเขา.
สิ่งเหล่านี้ควรค่าแก่การกล่าวขาน...
จากทั้งสิบคนมีหกคนจากสาวกชั้นนอก อีกสี่คนเป็นสาวกหลัก ระดับการบ่มเพาะที่สูงที่สุดอยู่ที่ ปราณพื้นฐาน ขั้น 5-6 เท่านั้น.
การบ่มเพาะของพวกเขาต่ำมาก.
มันจะเป็นความตายอย่างแน่นอนหากว่าเขาเจอกับปราณเชี่ยวชาญ.
ลั่วเทียนไม่สนใจเรื่องนี้สิ่งที่เขาต้องการคือกำลังใจ แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นถ้าพวกเขาไม่คิดว่า “อย่างไรก็ไม่ต่างจากความตาย” ซึ่งสามารถต่อสู้กับระดับที่เหนือกว่าได้ พวกเขาก็จะไร้ประโยชน์เมื่ออยู่บนเวที.
ในการต่อสู้ข้างถนนที่โลกมักจะมีความกล่าวว่า: “คนปกติกลัวความโง่ และความโง่ก็กลัวความบ้า และความบ้าก็ไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย”
ชีวิตของคนเราเมื่อเทียบกับชีวิตของคนที่อยู่บนเวที แม้ว่าการบ่มเพาะไม่ดีเท่าคู่ต่อสู้ก็ตาม แต่แนวโน้มของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก!
หากไม่มีใครพยายามต่อสู้ในระหว่างความเป็นตาย การเติบโตของพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับฝากชีวิตไว้บนเส้นด้าย?
นี่คือเหตุผลและเป้าหมายของลั่วเทียนเพื่อนำพวกเขาไปยังเทือกเขาวิญญาณ!
ลั่วเทียนหัวเราะน้อยๆก่อนจะพูดเสียงดัง: “ดี! ไม้ว่าพวกเจ้าจะรอดชีวิตหรือไม่ การกระทำของพวกเจ้าจะถูกเขียนไว้บนประวัติศาสตร์ตระกูลลั่ว!”
สิบคนที่เข้าสู่เทือกเขาวิญญาณในการฝึกฝนระหว่างความเป็นตาย...ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในหนึ่งเดือน?
ลั่วเทียนกำลังมองไปข้างหน้า.
ลั่วเทียนหันกลับไปยังลั่วคุนซานก่อนจะพูด: “ลุงคุนซาน ข้าจะทิ้งเรื่องของตระกูลลั่วไว้ให้ท่าน เนื่องจากข้าไม่อยู่ที่นี่ ท่านจะต้องเจอปัญหาต่างๆและทำให้มันดีที่สุด หากตระกูลลั่วอยู่ในสภาวะวิกฤติท่านสามารถขอความช่วยเหลือจากตระกูลซ่งได้เนื่องจากเขาอยู่ข้างเรา.”
ลั่วเทียนกังวลอย่างมาก.
เขากังวลว่าช่วงที่เขาไม่อยู่ตระกูลซูและโจวอาจจะลอบโจมตีหรือแม้กระทั่งหาข้ออ้างเปิดศึกกับพวกเขาอย่างเปิดเผย.
ลั่วคุนซานตอบอย่างหนักแน่น “ไม่ต้องห่วงผู้นำ แม้ว่าข้าจะเป็นคนชรา ข้าก็จะปกป้องตระกูลลั่วได้อย่างแน่นอน.”
ลั่วคุนซานตื่นเต้นอย่างมาก.
ไม่มีใครมองและพึ่งพาเขามาก่อน เขาสาบานกับตัวเองว่าเขาจะต้องปกป้องตระกูลลั่วแม้ว่าเขาจะต้องตาย!
ลั่วเทียนพยักหน้า, “อย่างนั้นข้าขอพึ่งพาลุงคุนซานแล้ว.”
หลังจากนั้น...
ลั่วเทียนหันมาโบกมือและตะโกน: “เคลื่อนที่ได้!”
ฟางเล่ยยิ้มอย่างโง่ๆและเคลื่อนไหวร่างกายที่หนักกว่า 160 จินและตระโกนว่า: “พี่น้องข้า เดินได้!”
“ย่าห์!”
ทั้งสิบกู่ร้องและตอบรับก่อนที่จะมายืนเบื้องหน้าทางเข้าหลักของตระกูลลั่ว.
ลั่วเทียนมองไปที่ด้านหลักของพวกเขาและจากนั้นก็กำหมัดแน่นอย่างลับๆ. “ตระกูลลั่ว ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า!”
สายตาของเขาขึงขังขณะที่รีบเดินตามพวกเขาไป.
ทางเข้าหลักตระกูลลั่ว.
มีเงาหนึ่งกำลังเดินมาเบื้องหน้า แสงที่สาดส่องเผยให้เห็นผิวที่เรียบเนียบราวกับหยกของเธอและมีเส้นผมสองเส้นที่ตกลงมาบนใบหน้า ดวงตาที่ผุดผ่องที่แสดงให้เห็นความกังวลเล็กๆ สองมือน้อยๆที่กำลังจับอยู่ที่เสื้อผ้าของเธอ เธอมองมาด้วยความกังวลและบางครั้งเธอจะยืนบนปลายเท้าเพื่อดูเข้าไปในตระกูล หลายครั้งที่เธออยากจะก้าวเข้าไป แต่แล้วเธอก็หยุดด้วยความลังเลด้วยตัวเธอเอง.
อารมณ์และความไม่แน่นอนของเธอก็เหมือนกับหญิงสาวตัวน้อยๆ.
ทันใดนั้น...
เสียงก้าวเท้าที่ใกล้เข้ามา หลี่ซูเอ๋อร์สงบอารมณ์และยิ้มออกมาพร้อมกับลักยิ้มทั้งสองข้างของเธอ หลายคนที่ออกมาจากที่ตั้งตระกูลต่างก็มึนเมาไปกับรอยยิ้มของเธอ.
เสื้อผ้าสีขาวที่ทำให้เธอราวกับเป็นนางฟ้า.
นางฟ้าที่ราวกับว่ามาจากโลกอื่น!
เธองดงามจนยากแม้แต่จะหายใจ.
“พวกเจ้ากำลังมองอะไรอยู่? ทักทายน้องสะใภ้ไวๆ.”ฟางเล่ยตะโกนก้องก่อนที่จะมีอารมณ์โกรธวาบเข้ามา. “ทักทายน้องสะใภ้.”
“น้องสะใภ้!”
สิบคนตะโกนก้อง
แก้มของหลี่ซูเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นสีแดงขณะที่เธอจ้องไปที่ฟางเล่ย ก่อนที่จะแกล้งทำเป็นโกรธ: “เจ้าอ้วนสารเลว คอยดูสิว่าข้าจะให้พี่ใหญ่ลั่วดูแลเจ้าอย่างดี.”
แต่ในหัวใจของเธอเต็มไปด้วยความหอมหวาน
ฟางเล่ยเกาหัวของเขา ก่อนที่จะมองไปยังสาวกที่เป็นหัวหน้า จากนั้นเขาก็ตีเข้าไปที่เขาก่อนจะตะโกนใส่: “รีบๆไปได้แล้ว!”
หลี่ซูเอ๋อร์งดงดงามมากเมื่อเธอยิ้ม.
เหล่าสาวกเหล่านี้ต้องการจะมองในเวลานาน แต่ก็ต้องรีบวิ่งเมื่อเห็นฟางเล่ยโกรธ พวกเขาเคยประสบกับความรุนแรงของพี่อ้วนคนนี้.
ลั่วเทียนยกยิ้มอย่างเหนื่อหน่าย “ไงสาวน้อย เธอมาทำอะไร?”
หลี่ซูเอ๋อร์เข้าไปคว้าแขนของลั่วเทียนและค่อยๆแกว่ง เธอเบ้ปากขึ้นเล็กน้อยและกล่าวด้วยเสียงที่นุ่มนวล: “พี่ใหญ่ ให้ข้าไปด้วย ข้าสัญญาว่าจะไม่เกิดปัญหาใดๆกับท่าน.”
เธอเหมือนลูกแมวตัวน้อยๆ
นี่เป็นการโจมตีที่ร้ายแรงอย่างมากกับลั่วเทียน.
หัวใจของลั่วเทียนราวกับโดนข่วนโดยแมวน้อยตัวนี้
เขาอยากจะคว้าหลี่ซูเอ๋อร์เข้ามาในอ้อมกอดและจูบอย่างดูดดื่ม แต่สุดท้ายเขาก็ต้านทานแรงกระตุ้นได้.
เขากลัวว่าผู้เชี่ยวชาญลึกลับจะมาปรากฎตัวเงียบๆอีกครั้ง.
ความกระวนกระวายสะท้อนภาพในคืนนั้นออกมาในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะผู้เชี่ยวชาญคนนั้น ร่างกายที่ผุดผ่องนี้จะต้องเสร็จลั่วเทียนไปแล้ว
ความไม่พอใจ มันน่าแค้นใจยิ่งนัก!
เมื่อบิดาคนนี้แข็งแกร่งขึ้น ข้าจะสอนบทเรียนเจ้านั่น!
ถ้ามันกลับไปยังช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ ด้านหน้าเขาที่มีโลลิน้อยซูเอ๋อร์ ที่น่ารักและหอมหวานคนนี้ เขาจะพาเธอไปทุกๆที่ ที่เธอต้องการ.
เขาไม่สามารถต้านทานกับความเอาแต่ใจของหลี่ซูเอ๋อร์ได้.
แต่ตอนนี้มันแตกต่าง.
เขาวางแผนที่จะเข้าไปลึกในเทือกเขาวิญญาณและจะเกิดอะไรขึ้นหากว่าเธอเกิดอุบัติเหตุ?
แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญลึกลับคอยช่วยเหลือเธอ แต่สัตว์ปีศาจที่อยู่ในเทือกเขาวิญญาณนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน? จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าเวลานั้นเขาไม่อาจช่วยเหลือได้? ลั่วเทียนอาจจะต้องตำหนิตัวเองไปตลอดชีวิต.
ลั่วเทียนดีดจมูกน้อยๆของเธอเบาๆและยิ้ม, “เด็กโง่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้าทั้งนั้น เพียงแค่รออยู่ที่นี่ในเมืองภูเขาหยกและรอการกลับมาของข้า.”
หลี่ซูเอ๋อร์ต้องการอธิบายเพิ่ม แต่ก็เงียบเอาไว้ ด้วยท่าทางที่เสียใจเล็กน้อยของหญิงสาวและพูดว่า: “งั้นก็ดี พี่ใหญ่ ท่านต้องดูแลตัวเองด้วยและซูเอ๋อร์จะรอท่านกลับมาอยู่ที่นี่.”
หลังจากที่เธอพูด...
หลี่ซูเอ๋อร์เอาของออกจากแหวนมิติและพูดด้วยเสียงหัวเราะคิดคัก: “พี่ใหญ่ นี่เป็นของขวัญสำหรับท่าน.”
“ของขวัญ? ของขวัญอะไร?”
ลั่วเทียนรับของมันและก็กลายเป็นโง่งม!