ตอนที่ 43 – ความลับของประมุข
ภายในป่าสนวายุทะมึน ศิษย์สาวกว่า 10 คนแห่งหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยวกำลังเดินเข้าไปภายในอย่างร่าเริง
หยางไค่ไม่คิดเลยว่าสถานที่เยี่ยมยอดที่ซู่มู่กล่าวไว้จะเป็นป่าสนวายุทะมึน ขณะที่เดินอยู่ในป่า หยางไค่มองเห็นเส้นทางสัญจรที่เชื่อมต่อกันอย่างชัดเจน สถานที่ลึกลับในป่าเช่นนี้ ถ้าหากไม่ใช่ผู้ที่คุ้นเคยกับเส้นทางหรือสถานที่แห่งนี้ พวกเขาไม่มีทางเดินทางเข้ามาอย่างแน่นอน
ป่าสนวายุทะมึนมีผู้คนจำนวนมากแวะเวียนเข้ามา ? หยางไค่มองไปทั่วบริเวณ และพบว่ามันเป็นอย่างที่เขากล่าวถาม ด้านหน้าที่ไม่ไกลมากมีเงาของผู้คนจำนวนมากจริงๆ และมันยังเป็นทิศทางที่พวกเขากำลังจะมุ่งหน้าเข้าไป
“ศิษย์พี่ท่านรู้หรือไม่ว่าทำไมวันนั้นพวกเราจึงพบเจอกับเฉิงเซาเฟิงและกลุ่มคนของเขาที่นี้ ?” ซู่มู่เดินเคียงข้างหยางไค่ และกล่าวถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ใบหน้าของหยางไค่มีการเปลี่ยนแปลง เขาคาดเดาอยู่ในใจก่อนจะกล่าวตอบ : “หรือว่าเฉินเซาเฟิงและพวกพ้องต้องการเข้าไปในป่าสนวายุทะมึน ?”
“สถานที่แห่งนี้มีสิ่งใดที่ดึงดูดผู้คนจำนวนมากมาย ? ถ้าหากไม่มีสิ่งของที่สำคัญแล้วทำไมพวกเจ้าถึงมายังสถานที่แห่งนี้ ?”
“ฮ่าฮ่า” ซู่มู่หัวเราะอย่างภาคภูมิใจ : “ศิษย์พี่ ท่านอาจจะยังไม่ทราบว่าป่าสนวายุทะมึนแห่งนี้มีสมาคมการค้าใต้ดินตั้งอยู่ มันเป็นที่สถานที่รวบรวมการค้า การแลกเปลี่ยนของผู้ฝึกยุทธุ์จากเมืองวู่เหมยซึ่งก่อตั้งโดยตระกูลรุ่นที่ 3 ของพวกเรา ศิษย์สาวกทั้งหลายสามารถใช้สิ่งต่างๆ ที่ใช้ในการฝึกยุทธุ์แลกเปลี่ยนกับสิ่งของบางอย่างที่ต้องการ และยังสามารถนำสิ่งของเหล่าไปขายเป็นเงินตราหรือทองคำ สมาคมการค้าใต้ดินวายุทะมึนแห่งนี้จึงคักคักยิ่งนัก ศิษย์พี่ต้องมาเห็นด้วยตาของตนเอง !!”
หลี่หยุนเทียนได้กล่าวต่อ : “ใช่ ใช่ ศิษย์พี่ ในสถานที่แห่งนี้พวกเรามักได้รับของดีและของมีค่า ก่อนหน้านั้นนายน้อยซู่ใช้เงินตรา 10 เหรียญซื้อผลไม้เทียนหยวน 1 ลูก”
“ผลไม้เทียนหยวน ?” การแสดงออกของหยางไค่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
“อื่ม ผลไม้จิตวิญญาณขั้นปฐพีระดับต่ำ คนขายไม่รู้ว่ามันคืออะไร จึงถูกข้าเอาเปรียบ” ซู่มู่กล่าวเรื่องที่น่าอับอายเช่นนี้อย่างภาคภูมิใจ
ผลไม้จิตวิญญาณขั้นปฐพีระดับต่ำ ถ้าหากแลกเปลี่ยนเป็นเงินตรา อย่างน้อยที่สุดต้องใช้เงินตราถึง 2000 เหรียญ แต่มันถูกหยางไค่ครอบครองโดยใช้เงินตราเพียง 10 เหรียญ มันเป็นการเอาเปรียบที่มากมายมหาศาล
สมาคมใต้ดินวายุทะมึน หยางไค่ไม่เคยได้ยินชื่อของสถานที่แห่งนี้มาก่อน ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในสำนักเป็นเวลากว่า 3 ปี เขาไม่เคยคบค้ากับใครแม้แต่คนเดียว จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนอื่นๆจะไม่บอกกล่าวกับเขาเกี่ยวกับสมาคมใต้วายุทะมึนแห่งนี้
ดูเหมือนว่ากลุ่มคนของซู่มู่จะมายังสถานที่แห่งนี้ประจำ พวกเขาทุกคนต่างคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ จากการสนทนาของพวกเขาหยางไค่ได้ยินเรื่องที่น่าตื่นเต้นเป็นจำนวนมาก เขาจึงค่อนข้างที่จะคาดหวังเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้
ตัวเขาเองได้ฝึกฝนทักษะการต่อสู้แห่งกลยุทธุ์หยาง เขาต้องการหาโอสพทีมีคุณสมบัติพิเศษเพื่อช่วยในการฝึกยุทธุ์ของเขา แต่เขาไม่ได้มีเงินตราที่มากพอจะซื้อมันกลับมาได้ เมื่อหวนคิดถึงโอสพฟื้นคืนพลังปราณที่ซู่มู่มอบให้แก่เขา คงต้องใช้เงินตราจำนวนมากในการซื้อมัน
สมาคมใต้ดินวายุทะมึนมีหนทางที่ค่อนข้างไกล พวกเขาทั้งหมดจึงเดินไปและกล่าวสนทนาไปด้วย
ทันใดนั้นหยางไค่ได้กล่าวถามอย่างกะทันหัน : “ศิษย์น้องซู่ หอประลองยุทธ์ของพวกเรามีผู้อาวุโสสิบเอ็ดคนหนึ่งใช่ไหม ?”
เขาหวนคิดถึงชายชราที่เขาพบเจอในคุกคุมขังมังกร ชายชรามีลักษณะภายนอกที่ลึกลับและสง่างาม มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะให้หยางไค่ลืมภาพของชายชราผู้นั้นไปได้
“ผู้อาวุโสสิบเอ็ด ?” ซูมู่ตื่นตะลึง อึ้งไปชั่วขณะ : “หอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวจะมีผู้อาวุโสสิบเอ็ดได้อย่างไร ?”
“อ้อ ข้าถามเรื่อยเปื่อย ไม่ต้องใส่ใจ”หยางไค่เริ่มเข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น ในตอนนั้นขณะที่ชายชรากล่าวว่าตัวเขาเองเป็นผู้อาวุโสสิบเอ็ด เขาเองเริ่มสงสัยกับสิ่งที่ชายชรากล่าว ในตอนนี้ดูเหมือนว่าฐานะของเขาคงจะเป็นเรื่องโกหก แต่ชายชราผู้นั้นค่อนข้างที่จะเป็นมิตร เขาไม่คิดร้ายต่อตนเองแม้แต่น้อย หยางไค่จึงไม่ต้องการที่จะกล่าวถามไปมากกว่านี้ เพราะมันอาจจะสร้างความบาดหมางให้แก่เขาและชายชราผู้นั้น
หลี่หยุนเทียนกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ : “ศิษย์พี่หยางฝึกยุทธุ์ทุกๆวัน คงไม่เข้าใจสถานการณ์ของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวของเรามีผู้อาวุโสเพียง 5 ท่านเท่านั้น ไม่ได้มีผู้อาวุโสสิบเอ็ดอย่างที่ศิษย์พี่หยางกล่าวเลย”
คนกลุ่มนี้ต่างทราบดีว่าที่ผ่านมาหยางไค่ถูกศิษย์สาวกของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวรังแกเสมอมา เขาต้องใช้ชีวิตอย่างทุกข์ทรมาณ พวกเขาจึงกล่าวบอกเรื่องราวต่างๆของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวให้แก่หยางไค่ เพื่อไม่ให้หยางไค่ทำเรื่องที่น่าอึดอัดใจหรือเรื่องที่น่าอับอายต่อตัวเขาเอง
ซูมู่มีผู้อาวุโสคนหนึ่งคอยช่วยเหลือสนับสนุนอยุ่เบื้องหลัง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจสถานการณ์ภายในของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวมากกว่าคนอื่นๆ พวกเขากล่าวสนทนาไปมา จนในที่สุดพวกเขาก็ได้กล่าวถึงประมุขแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว
ซู่มู่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ต่ำทุ้ม : “ข้าได้ยินเล่ากุ้ยกล่าวว่า ประมุขของพวกเราอยู่ในจุดสูงสุดของเขตแดนแเทพสวรรค์ เหลือเพียง 1 ก้าว เขาก็จะสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดสูงสุดของเขตแดนนี้ เขาเป็นยอดฝีมืออันดึบหนึ่ง ในดินแดนรัศมีที่กว่าหลายพันลี้”
จุดสูงสุดของเขตแดนเทพสวรรค์ !! หัวใจของหยางไค่สั่นระรัวด้วยความตื่นตะลึง
เขตแดนของผู้ฝึกยุทธุ์ เริ่มต้นจากเขตแดนกายาเริงอารมณ์ ก้าวต่อไปคือเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณ เขตแดนลมปราณหมุนเวียน เขตแดนผสานลมปราณ เขตแดนลมปราณแท้จริง และเขตแดนเทพสวรรค์ ทุกเขตแดนจะมีทั้งหมด 9 ขั้น ความแข็งแกร่งที่สูงขึ้นการก้าวข้ามเขตแดนจะยากมากขึ้น เขตแดนเทพสวรรค์ พบเห็นได้ไม่มาก เขาไม่คิดว่าประมุขของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวจะอยู่ในเขตแดนเทพสวรรค์ซึ่งเป็นเขตแดนที่สูงสุด ถ้าหากเขาเขาสามารถก้าวข้าม 1 ก้าวที่เหลือ เขาจะเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในจุดสูงสุดอย่างแท้จริง
“ประมุขของนิกายโลหิตหู่หมั่น ประมุขของหอวายุพิรุณเซี่ยวยู่วหานพวกเขาอยู่ในเขตแดนเทพสวรรค์ขั้นที่ 6 ขั้นที่ 7 ไม่สามารถเทียบได้กับประมุขของพวกเรา” ซู่มู่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ เมื่อประมุขแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวของพวกเขามีความแข็งแกร่งที่สุด ทำให้ศิษย์เช่นพวกเขาต่างรู้สึกเคารพและภาคภูมิใจถึงที่สุด
“ประมุขจะใช้เวลาในการฝึกยุทธุ์อีกนานแค่ไหนจึงจะสามารถก้าวข้ามเขตแดนนั้นไปได้ ?” หลี่หยุนเทียนกล่าวถามอย่างกระตือรือร้น ถ้าหากว่าประมุขของพวกเขาสามารถก้าวข้ามเขตแดนนั้นไปได้ ภายในดินแดนรัศมีกว่าพันลี้ หอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวจะกล่าวเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เมื่อออกจากสำนักจะไม่ใครกล้าสร้างความวุ่นวายให้แก่พวกเขาอย่างแน่นอน !!
ใบหน้าของซู่มู่หม่นหมองก่อนจะส่ายหัวและถอนหายใจอย่างช้าๆ
“เกิดอะไรขึ้น ?” เมื่อหลี่หยุนเทียนมองเห็นการแสดงออกของซู่มู่ เขาจึงกล่าวถามอย่างรวดเร็ว
“เหล่ากุ้ยกล่าวว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้วประมุขของพวกเราก็อยู่ในแขตแดนเทพสวรรค์แล้ว”
“แล้วทำไมเขาถึงยังไม่สามารถก้าวข้ามเขตแดนนั้นไปได้ ?”พวกเขาต่างไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เวลา 10 ปี แม้ว่าเขตแดนนั้นจะมีความยากลำบากในการฝึกฝนแค่ไหน มันก็ควรที่จะก้าวข้ามผ่านไป
ซูมู่ยังคงสั่นศีรษะของเขาไปมา : “ข้าไม่กล้าที่จะกล่าวออกไป !!”
“นายน้อยซู่ ท่านจะทำเช่นนี้ไม่ได้ ท่านสร้างความสงสัยให้แก่พวกเราท่านจะละทิ้งโดยไม่สนใจพวกเราไม่ได้ มันเปรียบเสมือนการเปลืองเสื้อผ้าอาภรณ์ของสตรีโดยไม่กระทำต่อไป มันทรมาณหัวใจของพวกเรา” จ้าวหู่กล่าวตะโกนโดยไม่สนใจ คนอื่นๆต่างกล่าวตะโกนขอร้องต่อซู่มู่
“ก็ได้ แต่พวกเจ้าต้องจำเอาไว้ เรื่องนี้ห้ามหลุดรั่วออกไป มิฉะนั้นมันจะกลายเป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัส” ซู่มู่มองไปทั่วบริเวณ ก่อนจะลดเสียงให้เบาลง : “หลายสิบปีที่ผ่านมา หอประลองยุทธุ์ของพวกเราเกิดเรื่องใหญ่มหันต์ เป็นเพราะเหตุนี้ เขตแดนของประมุขจึงย้ำอยู่ที่เดิมโดยไม่สามารถก้าวข้ามเขตแดนสุดท้ายได้
“เรื่องอะไร ?” ทุกคนต่างกลืนน้ำลายอย่างหวาดกลัว
“ประมุขของพวกเราอยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ซึ่งภริยาและบุตร เขารับศิษย์ไว้เพียง 2 คน เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะศิษย์ทั้ง 2 พวกเขาทั้ง 2 ศิษย์พี่เป็นคนขยันหมั่นเพียร ศิษย์น้องเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม พวกเขาทั้ง 2 มีความสามารถที่น่าตื่นตะลึงและยังมีรูปลักษณ์ที่สง่างาม ประมุขอบรมสั่งสอนพวกเขาอย่างเอาใจใส่ ไม่ให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย ทั้ง 2 เฝ้าศึกษาเฝ้าฝึกฝนอย่างจริงจัง จากความแข็งแกร่งของพวกเขา ไม่มีใครด้อยไปกว่าใคร แต่เป็นเพราะทั้งสองมีความคิดและจิตใจที่แตกต่างกัน ประมุขจึงมีการอบรมสั่งสอนที่แตกต่างกัน ประมุขจะกล่าวชมต่อศิษย์พี่ แต่กลับอบรมสั่งสอนศิษย์น้องอย่างเข้มงวดและรุนแรง การกระทำเช่นนี้ทำให้ศิษย์น้องเข้าใจผิดต่อความตั้งใจของประมุข เขาคิดว่าประมุขลำเอียงและรักศิษย์พี่ใหญ่มากกว่า เพราะความอิจฉาและเกลียดชัง ทำให้ความสัมพันธุ์ของพวกเขาห่างเหินกันอย่างมาก จิตใจเริ่มมีปมขัดแย้งที่มากขึ้น สุดท้ายไม่มีใครล่วงรู้ว่าเขาไปค้นพบคัมภร์ฝึกฝนวิชายุทธุ์แหงปีศาจจากสถานที่ใด ?”
“อ่า……….” ทุกคนต่างร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
ซูมู่กล่าวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกคนจับจ้องความสนใจไปที่เขาอีกครั้ง
ดูเหมือนว่า ซู่มู่ยังมีทักษะพิเศษในการเล่าเรื่อง เล่านิทานที่ยอดเยี่ยม เขามีสำนวนในการเล่าที่ไพเราะ ก่อนที่จะกล่าวถึงความแค้นระหว่างศิษย์ทั้ง 2 นี้ให้ทุกคนได้ฟังต่อไป
หยางไค่ตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ โดยไม่กล่าวแทรก เขารู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความจริง เพียงแต่ซู่มู่ได้เพิ่มความตื่นเต้นและความเข้มข้นของเรื่องนี้ให้มากกว่าเดิมเท่านั้น