ตอนที่ 42 วันนั้น……….ศิษย์พี่……….จับใช่ไหม ?
ใบหน้าของซู่มู่แดงก่ำ เขาจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่ดุดัน เขาก้าวเดินไปยังด้านหน้าของหยางไค่อย่างแน่วแน่ เขามองหยางไค่ด้วยสายตาที่เย็นชา แต่ทว่าสายตาของเขายังเต็มไปด้วยความซับซ้อน ความไม่เต็มใจ ความวิตกกังวลและความโล่งใจ
“เอาของมาให้ข้า” ทันใดนั้น ซู่มู่ยืนมือออก หลี่หยุนเทียนรีบยื่นไหเหล้าจำนวน 2 ไหให้แก่ซู่มู่ทันที
ซู่มู่รับมันมา ตัวเองถือไว้ 1 ไหส่วนอีก 1 ไหเขายื่นให้แก่หยางไค่ โดยไม่กล่าวอะไร เขาเปิดไหเหล้าและดื่มมันในทันที
ศิษย์สาวกแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวที่เดินผ่านมาต่างจ้องมองซู่มู่ด้วยสายตาที่งุนงง พวกเขาไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับซู่มู่ ในเวลารุ่งเช้าเขากลับดื่มเหล้าอยู่ที่นี้
หยางไค่ยิ้มจางๆ เขายื่นมือเปิดไหเหล้าและดื่มมันเข้าไป
“ดี !!” หลี่หยุนเทียนที่อยู่ด้านหลังซู่มู่กล่าวตะโกนเสียงดัง
“ดี !!” คนอื่นๆต่างเริ่มตะโกนเช่นเดียวกัน
“ต๊อก ต๊อก” เสียงแตกกระจายของไหเหล้าดังขึ้น หยางไค่และซู่มู่โยนกระแทกไหเหล้าลงไปที่พื้นจนแตกกระจาย
“การดื่มเหล้าในช่วงเวลาเช้า เป็นการทำลายหลักการของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ถือเป็นการทำผิดกฏที่บัญญัติไว้ พวกเจ้าจะถูกตัดแต้มแห่งชัยชนะจำนวน 5 แต้ม ถ้าหากมีครั้งต่อไป ต้องมีการลงโทษ !!” ศิษย์แห่งหอจันทรามืดมิดปรากฏตัวออกมา ก่อนจะกล่าวต่อซู่มู่และหยางไค่ด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นอย่างไม่ผ่อนปรน
“ตัดสิตัดไปเลย !!” ใบหน้าของหยางไค่แสดงออกอย่างไม่แยแส ถ้าหากเป็นเวลาช่วงก่อนเขาคงจะเจ็บปวดใจจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่ตอนนี้เขากลับไม่สนใจมันแม้แต่น้อย
ในเมื่อหยางไค่ยังไม่สนใจ ซู่มู่ที่เป็นเยาวชนรุ่นที่ 2 จะสนใจมันอีกทำไม ? เขาเป็นคนที่มีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แต้มแห่งชัยชนะไม่มีความสำคัญและไม่มีค่าต่อเขาเลย
“จ้าวหู่ เจ้าช่วยศิษย์พี่หยางกวาดทำความสะอาด” ซู่มู่โบกมือเรียกจ้าวหู่และกล่าวออกคำสั่ง
“ได้” จ้าวหู่ที่ถูกหยางไค่ทุบตีด้วย 3 กระบวนท่าจนหมดสติรีบก้าวเดินไปข้างหน้า รับไม้กวาดจากหยางไค่ทันที
“มันไม่เหมาะสม”หยางไค่มองไปยังศิษย์แห่งหอจันทรามืดมิดแต่ฝ่ายตรงข้ามกลับสบทอย่างเย็นชาและเดินหันหลังกลับไป
“ไป ไปกระท่อมไม้เล็กๆของเจ้า ข้ามีเรื่องจะกล่าวกับเจ้า” ซู่มู่เริ่มกล่าวสนทนากับหยางไค่
ถัดจากกระท่อมไม้ ซู่มู่และหยางไค่นั่งอยู่หน้าบ่อน้ำเล็กๆ ด้านหลังมีคนกลุ่มเล็กๆ กำลังซ่อมกระท่อมไม้ที่ทรุดโทรมให้แก่หยางไค่อย่างคึกคัก
ดูเหมือนว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์ในวันนั้น ซู่มู่ได้ปลดปล่อยความแค้นต่อหยางไค่ทั้งหมด ไม่เพียงปลดปล่อยความแค้น เขายังต้องการที่จะสานสัมพันธุ์ต่อหยางไค่
“ทำไมเจ้าต้องมาช่วยพวกเรา ?” ครุ่นคิดอยู่สักพัก ในที่สุดซู่มู่ก็ได้เปิดปากกล่าวถาม
“ทำไม………” หยางไค่ขมวดคิ้วไปมา “พวกเจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ เป็นธรรมดาที่ข้าต้องทำตัวเป็นศิษย์พี่ที่ดี คงจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ !!”
แน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือซู่มู่ไม่ใช่คนที่มีจิตใจชั่วร้าย
ซู่มู่หันไปมองหยางไค่ด้วยสายตาที่จริงจัง : “จริงเหรอ ?”
หยางไค่หัวเราะ : “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร ?”
ซู่มู่เงียบขรึม หัวใจของเขาค่อนข้างที่จะหงุดหงิด ก่อนที่เขาจะกล่าวตอบ : “ได้ หากเจ้าคิดว่าพวกเราเป็นศิษย์น้องของเจ้า พวกเราจะถือว่าเจ้าเป็นศิษย์พี่ของพวกเรา เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นความผิดของข้าที่มีจิตใจที่แคลียดแค้น ข้าต้องขออภัยต่อศิษย์พี่ด้วย !!”
“ข้าไม่เคยสนใจเรื่องนี้” หยางไค่กล่าวตอบ
ทั้งสองมองตาซึ่งกันและกัน ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะที่เสียงดังออกมา
เสียงหัวเราะทลายความแค้น
หลังจากที่ปลดปล่อยความแค้นและความเกลียดชัง ซู่มู่ไม่รู้สึกอึดอัดอีกต่อไป เขานับถือหยางไค่เป็นศิษย์พี่ด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง หลังจากที่พวกเขากล่าวสนทนาได้สักพัก ซู่มู่ได้เลียริมฝีปากของเขาอย่างกะทันหัน ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดง ก่อนจะกล่าวถามเบาๆ : “ศิษย์พี่ ข้าขอถามเรื่องหนึ่่งได้ไหม ?”
“อะไร ?” หยางไค่มองเขาด้วยสายตาที่แปลกใจ
“วันนั้น……….ศิษย์พี่……………จับ?” ซู่มู่กล่าวถามโดยไม่กล้ามองหน้าหยางไค่โดยตรง
“จับอะไร ?” หยางไค่ฟังไม่เข้าใจ
“สิ่งนั้นไง !!”
“สิ่งไหน?”
ซู่มู่รู้สึกอึดอัด เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขัด เขากัดฟ้นและกล่าวอย่างรวดเร็ว : “หู่เหมยเอ่อ………”
ขณะที่ซู่มู่กล่าวเขานำมือของตนเองวางไว้บนอกเพื่อแสดงท่าทางให้หยางไค่เข้าใจ
หยางไค่หัวเราะโดยไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นความสงสัยของเด็กหนุ่ม แม้แต่เรื่องเช่นนี้ซู่มู่ยังกล้าที่จะกล่าวถาม
“พวกเจ้าก็มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ใช่หรือไง ?”
“พวกเรามองเห็นไม่ชัดเจน………..ศิษย์พี่จับมันจริงๆใช่ไหม ?”ซู่มู่อ้าปากกว้าง
“จับแล้วจะทำไม ?” หยางไค่หัวเราะ : “หู่เหมยเอ่อเป็นคนดึงมือข้าไปเอง ข้าแค่ให้บทเรียนแก่เธอเท่านั้น !!”
มันเป็นความจริง ซู่มู่กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะกล่าวถามด้วยความคาดหวัง : “รู้สึกอย่างไร ?”
“ศิษย์น้องไม่เคยลอง ?” หยางไค่จ้องมองซู่มู่ด้วยสายตาที่สงสัย เขาคิดในใจ หรือว่าว่าเยาวชนรุ่นที่่ 2 คนนี้ยังบริสุทธุ์ ?
ซู่มู่ส่ายหัวไปมาอย่างรุนแรง ก่อนจะกล่าวถามด้วยความสงสัย : “ศิษย์พี่เคยลองมาก่อนแล้ว ?”
หยางไค่แสดงท่าทีที่ครุ่นคิด และยังแสดงท่าทีที่โกรธเคือง เขาถอนหายใจและกล่าว : “โอ้ว ข้าจะไม่กล่าวถึงเรื่องราวที่ผ่านมา”
ซู่มู่ตื่นตะลึง เมื่อได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ เขากล่าวออกมาโดยไม่รู้ตัว : “ศิษย์พี่ขี้โม้ ศิษย์พี่เข้ามาในสำนักเมื่อ 3 ปีก่อน 3 ปีที่ผ่านมา ศิษย์พี่ไม่เคยมีเพื่อนแม้แต่คนเดียว ศิษย์พี่จะมีโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าหากเป็นเช่นนั้น มันต้องก่อนหน้า 3 ปีที่จะเข้าสู่สำนัก แต่ตอนนั้นศิษย์เพิ่งอายุเท่าไหร่ ?”
3 ปีก่อน อายุ 12 ปี
อายุ 12 ปี ปีศาจหญิงตนนั้นลงมือต่อเขาโดยไม่รู้สึกอับอาย ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอเพิ่งมีอายุเพียง 15 ปี ถ้าหากไม่ใช่เพราะทั้ง 2 ยังไร้เดียงสา อาจจะเกิดเรื่องขึ้นที่ไม่คาดฝันก็เป็นได้
เมื่อคิดถึงปีศาจหญิง จิตใจของหยางไค่รู้สึกเศร้าเสียใจ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร
“แต่ว่าศิษย์พี่ต้องระวัง หู่เหมยเอ่อคนนี้ค่อนข้างหยิ่งยะโส ครั้งนี้ศิษยืพี่ทำให้นางอับอาย นางไม่มีทางที่จะปล่อยศิษย์พี่ไปแน่”ซู่มู่กล่าวเตือนหยางไค่
“คิดจะต่อกรกับข้า” ใบหน้าของหยางไค่แสดงออกอย่างเยือกเย็น
ซู่มู่หัวเราะเสียงดังและกล่าวต่อ : “นางจะต่อกรกับศิษย์พี่บนเตียง”
เธอต้องใช้วิธีการต่างๆเพื่อยั่วยัวศิษย์พี่ให้สำเร็จ ตราบใดที่เป้าหมายของเธอยังไม่สำเร็จ เธอไม่มีวันปล่อยศิษย์พี่ไปแน่น ศิษย์พี่เป็นคนที่โชคดีจริงๆ ”
“คนประเภทนั้น ไม่อยู่ในสายตาของข้า” หยางไค่ไม่เก็บเรื่องนี้ใส่ใจ เขามองไปยังซู่มู่และกล่าวถาม : “เจ้ากล่าวว่า เจ้ามีเรื่องจะคุยกับข้า มันคือเรื่องนี้ใช่ไหม ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” ซู่มู่ปรับสีหน้า และกล่าวตอบ : “ศิษย์พี่ต่อสู้กับเฉิงเซาเฟิงและคนจำนวนมาก ศิษย์พี่คงสูญเสียพลังลมปราณที่มีค่าเป็นจำนวนมาก ข้าอยากชดเชยให้แก่ศิษย์พี่”
“ชดเชยให้ข้า?”
“อืม” ซู่มู่พยักหน้า จากนั้นจึงนำขวดยาออกมาจากเสื้อและยื่นให้แก่หยางไค่ : “นี้คือโอสพฟื้นคืนลมปราณ ศิษย์พี่รับไว้ มันจะสามารถช่วยฟื้นฟูพลังปราณที่สูญเสียออกไป”
โอสพฟื้นคืนลมปราณ หยางไค่เคยได้ยินสรรพคุณของมัน สรรพคุณของโอสพเหล่านี้ไม่รุนแรง แต่มันกลับอ่อนโยน เพราะมันเหมาะสมกับคนที่อยู่ในเขตแดนกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7ถึงขั้นที่ 9 เช่นหยางไค่
แม้ว่าภายในร่างกายของผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7 ถึงขั้นที่ 9 จะสามารถก่อกำเนิดพลังลมปราณ แม้ว่าการฝึกฝนทักษะการต่อสู้มันจะสามารถเพิ่มพลังลมปราณได้ แต่กระนั้นมันยังไม่ถึงเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณ มันไม่สามารถที่จะฟื้นคืนพลังลมปราณได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นพลังลมปราณจึงเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งนัก เมื่อสูญเสียมันไป ต้องใช้เวลาหลายเดือนในการฝึกฝนอีกครั้ง แต่จากการช่วยเหลือของโอสพฟื้นคืนลมปราณ มันจะช่วยย่นระยะเวลาในการฝึกฝน สำหรับผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7 ถึงขั้นที่ 9 มันค่อนข้างที่จะเป็นตัวช่วยชั้นดี แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเขตแดนก่อกำเนิดลมปราณ มันไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
สำหรับหยางไค่มันเขาแตกต่างกับผู้ฝึกยุทธุ์คนอื่นๆ เขาฝึกฝนกลยุทธุ์หยางทำให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องของพลังลมปราณ แม้ว่าพลังลมปราณที่อยู่ในร่างกายจะสูญเสียออกไปจนหมด แต่มันยังมีหยดน้ำพลังลมปราณหยาง ดังนั้นโอสพฟื้นคืนลมปราณจึงไม่มีประโยชน์ต่อเขา
ในขณะที่หยางไค่กำลังจะปฏิเสธ ซู่มู่ดูเหมือนจะมองเห็นความคิดของเขา เขาจึงกล่าวอย่างเคร่งขรึม : “ข้าไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณกับคนอื่นๆ”
“ก็ได้ ข้าจะรับมันไว้” หยางไค่กล่าวอย่างไม่เกรงใจ
ซู่มู่หัวเราะและกล่าว : “ศิษย์พี่ พรุ่งนี้ศิษย์พี่รอข้าที่นี้ ข้าจะพาศิษย์พี่ไปยังสถานที่เยี่ยมยอดแห่งหนึ่ง”
“สถานที่ใด ?” หยางไค่กล่าวถามอย่างสงสัย
ซู่มู่หัวเราะโดยไม่กล่าวตอบ เขาบอกให้หยางไค่รอเท่านั้น เขายืนยันอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่ทำให้หยางไค่ผิดหวัง