ตอนที่ 41 กายาเริงอารมณ์ขั้นที่แปด
ไม่รู้ว่า …..เจ้าอยู่ที่อื่นจะร้ายกาจเช่นนี้หรือเปล่า ” ดวงตาของหู่เหมยเอ่อมองไปที่หยางไค่อย่างลึกซึ้ง คำกล่าวที่กล่าวออกมาช่างยั่วยวนยิ่งนัก
ดวงตาที่จ้องมาสั่นระรัว หากคนคนนั้นเป็นบุรุษเขาอาจจะมิกล้าที่จะลงมือทำร้ายเธอ นอกจากนั้นหู่เหม่ยเอ่อยังมีรูปร่างที่งดงาม มันสามารถทำให้ผู้อื่นลุ่มหลงอย่างง่ายดาย
เสียงกลืนน้ำลายดังแว่วมาจากทุกทิศทาง แม้ว่าร่างกายของซู่มู่ในตอนนี้จะอ่อนแอ แต่เมื่อถูกกระตุ้นอย่างยั่วยวนเช่นนี้ ทำให้เลือดที่อยู่ในร่างกายเดือดพล่านอย่างรุนแรง
ร่างกายของหยางไค่รู้สึกร้อนวูบวาบ เขาหายใจอย่างหนักหน่วงด้วยความลำบาก ก่อนจะออกแรงบีบคอของหู่เหมยเอ่อให้แรงยิ่งขึ้น
หู่เหมยเอ่ออ้าปากค้าง ดวงทั้งสองจ้องเขม่งไปที่หยางไค่ ก่อนจะกล่าวด้วยความเกรี้ยวโกรธ : “เจ้ายังไมปล่อยมืออีก ?”
ในขณะที่เธอกำลังตะโกน เธอได้ยื่นมือที่เรียวเล็กออกไปจับมือของหยางไค่อย่างอ่อนโยนและแผ่วเบา และไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเจตนาหรือไม่เจตนาของเธอ เธอค่อยๆจับมือของหยางไค่มาวางลงบนหน้าอกอันแสนอวบอิ่มของเธอ
ความรู้สึกที่น่าพิศวงและความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาจากฝ่ามือของหยางไค่ หยางไค่สัมผัสก้อนนูนบนหน้าอกของเธออย่างชัดเจน จากการยั่วยวนเช่นนี้ ทำให้เลือดของเขาไหลออกมาจากบาดแผลด้านนอกอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าหยางไค่แดงขึ้นอย่าเห็นได้ชัด เขาไม่เคยคิดว่าผู้หญิงอย่างหูเหมยเอ่อ จะมักมากในกามถึงขั้นนี้ ในตอนนี้ลักษณะของเธอช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก
ใบหน้าของหยางไค่แดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่คาดคิดว่าหญิงสาวนางนี้จะมีความกล้าถึงขั้นนี้ เธอเพิ่งอายุเท่าไหร่ แต่กลับมักมากในกาม และยังแสดงออกโดยไร้ซึ่งความอับอาย
เมื่อมองเห็นความลำบากใจของหยางไค่ หู่เหมยเอ่อหัวเราะขึ้นและกล่าวว่า : “เจ้านั้นแหละ กำลังจะทำอะไร ?”
หยางไค่เหลือบมองไปที่หู่เหมยเอ่อ เขารู้สึกว่ากำลังถูกหมาลอบกัด จากการต่อสู้ที่เกิดขึ้น มันเป็นความจริงที่หู่เหมยเอ่อไม่ได้ลงมือทำร้ายศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว หยางไค่จึงไม่สามารถทำร้ายเธอได้ เพียงอยากสั่งสอนให้บทเรียนแก่เธอ เพราะหญิงนางนี้คอยปัดเป่าเปลวไฟแห่งความโกรธให้โหมกระหน่ำรุนแรงยิ่งขึ้นตลอดเวลา
เมื่อถูกปั่นหัวอย่างสนุกสนานเช่นนี้ หยางไค่รู้สึกไม่พอใจ เพราะเขาเป็นบุรุษชายชาติชาตรีคนหนึ่ง จะให้เธอปั่นหัวเล่นอย่างสนุกสนานได้อย่างไรกัน ?
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น มือของหยางไค่ที่วางอยู่บนหน้าอกของหู่เหมยเอ่อ ไดออกแรงบีบอย่างรุนแรง T_T
“อื้อ……… ..” ใบหน้าของหู่เหมยเอ่อเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหัน เธอครางออกมาโดยไม่ตั้งใจ ทันใดนั้นใบหน้าของเธอแดงก่ำ เธอจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่เคืองโกรธ เธอไม่คาดคิดว่าหยางไค่จะไม่สามารถปิดบังความรู้สึกพิศวาสต่อเธอได้เช่นนี้
หยางไค่หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะปล่อยเธอลงไปและกล่าวต่อหู่เหมยเอ่อ : “ไปซะ !!”
ใบหน้าของหู่เหม่ยเอ่อแสดงออกอย่างตื่นตะลึง เธอจ้องมองหยางไค่ด้วยสายตาที่ไม่เชื่อ เธอไม่คาดคิดว่าการยั่วยวนของเธอจะใช้ไม่ได้ต่อหยางไค่ ร่างกายของเธอ ไม่รู้ว่ามีชายหนุ่มจำนวนมากมายแค่ไหนที่กำลังจับจ้องและต้องการที่จะลิ้มลอง ในวันปกติมีชายหนุ่มจำนวนมากมายแย่งชิงหึงหวงต่อเธอแต่เธอก็ไม่เคยสนใจ แต่ในวันนี้เธอรู้สึกชื่นชมชายหนุ่มคนนี้ เธอยั่วยวน ปล่อยอารมณ์พิศวาสด้วยตัวเธอ แต่เขากลับมองข้ามไม่สนใจใยดีต่อเธอแม้แต่น้อย
หู่เหมยเอ่อคิดในใจ “เขายังคงเป็นชายชาติชาตรีอยู่หรือเปล่า”
หลังจากนั้น หู่เหมยเผยรอยยิ้มที่พิศวาส เธอค่อยๆคลานลุกขึ้น จ้องมองหยางไค่ด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง เธอกัดริมฝีเบาของตนเองเบาๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาหยางไค่ เป่าหูหยางไค่เบาๆ และกล่าวด้วยสุ้มเสียงที่เย้ายวน : “เจ้าช่างน่าสนใจยิ่งนัก !!”
ทันทีที่กล่าวจบ เธอหัวเราะเสียงดัง หันหลังกลับ โยกย้ายสะโพกไปมา เพื่อเรียกร้องความลุ่มหลงจากคนอื่นๆ
ซู่มู่จ้องมองจนร่างกายแข็งขัน ดวงตาเต็มไปด้วยความนับถือและความอิจฉา พวกเขาไม่คาดคิดว่าหยางไค่จะปฏิเสธความโชคดีเช่นนี้ พวกเขาทุกคนต่างครุ่นคิด ถ้าหากเมื่อสักครู่หู่เหมยเอ่อยั่วยวนเชิญชวนพวกเขาเช่นนี้ พวกเขาจะทำอย่างไรต่อ ?
ไม่แน่พวกเขาอาจจะขึ้น !!! ไม่ไม่ไม่ พวกเขาจะกระโจนเข้าใส่ !! มันเป็นของขวัญจากทรวงสวรรค์? ทำไมพวกเขาต้องปฏิเสธ ? เพราะมันก็ไมไ่ด้เป็นเรื่องเสียหายแม้แต่น้อย !!
หลังจากที่หู่เหมยเอ่อจากไป พวกเขาหันหน้ากลับมาจ้องมองไปที่หยางไค่ พวกเขาต่างรู้สึกอับอายและเจ็บปวด ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างต่อเนื่อง
หยางไค่ลดตัวต่ำลง ก่อนจะฉีกเสื้อผ้าของศิษย์แห่งหอวายุพิรุณที่หมดสติล้มลงที่พื้น จากนั้นจึงใช้เศษผ้านั้นพันบาดแผลของตัวเองไว้
เมื่อมองไปที่กลุ่มของซู่มู่ ใบหน้าของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความลำบากใจ
“พวกเจ้ายังมีแรงเดินหรือเปล่า ?” หยางไค่กล่าวถาม
พวกเขาต่างหยักหน้า
“ไปกันเถอะ !!”
กลุ่มคนของซู่มู่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำ บูมบวมจากการทุบตี ต่างพากันกลับหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวอย่างยากลำบาก พวกเขาต่างแยกย้ายกลับไป เพื่อรักษาบาดแผลของพวกเขา วันนี้แม้ว่าจะมีการต่อสู้ที่รุนแรง แต่มันเป็นเพียงการต่อสู้และการทะเลาะวิวาทระหว่างศิษย์ด้วยกันเอง ในบริเวณใกล้เคียงของทั้ง 3 สำนักที่มีอำนาจ มักมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเสมอ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
เพียงแค่ไม่มีการล้มตายเกิดขึ้น ผู้อาวุโสของทั้ง 3 สำนักมักจะปิดหูปิดตาไม่เข้ามาวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้ และไม่เคยที่จะไถ่ถามแม้แต่น้อย มีการต่อสู้จึงมีความก้าวหน้า การต่อสู้เปรียบเสมือนการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้แก่ศิษย์ของตนเอง ผุ้อาวุโสของพวกเขาต่างต้องการใช้การต่อสู้มาฝึกฝนศิษย์ของตนเองให้แข็งแกร่ง
เมื่อกลับไปถึงกระท่อมไม้ของเขา เดิมทีเขาต้องการใช้ยาสมานโลหิตที่เหลืออยู่แต้มบาดแผลภายนอก แต่เมื่อครุ่นคิดกลับไปมา เขาได้ละทิ้งความคิดนั้นไป
อาการบาดเจ็บของวันนี้ บาดแผลที่สาหัสที่สุดคือบาดแผลที่ฝ่ามือที่ถูกแทงทะลุจากดาบของเฉิงเซาเฟิง บาดแผลส่วนอื่นๆไม่ได้หนักหนาสาหัสมากมายสักเท่าไหร่ แต่บาดแผลเหวอะหวะบนฝ่ามือดูเหมือนจะรุนแรง แต่ในความเป็นจริงไม่ได้รุนแรงหรือหนักหนาสาหัสแม้แต่น้อย ในขณะที่กำลังกุมกระบี่ของเฉิงเซาเฟิง หยางไค่พยายามหลบหลีกจากการแทงเข้าสู่กระดูกและเส้นชีพลมปราณ แม้ว่ามันจะรูหลุมในฝ่ามือของเขา แต่ก็เป็นเพียงบาดแผลการถูกแทงของเนื้อหนังเท่านั้น
มันเป็นบาดแผลที่ไม่ต่างจากการต่อสู้กับแมงมุมปีศาจยักษ์ ก่อนหน้านั้นเขาต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 วันในการพักฟื้น ฟื้นฟูบาดแผลให้หายสนิท ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
มิหนำซ้ำระยะเวลาสั้นๆในการฟื้นฟู มันทำให้บาดแผลของเขาหายเป็นปกติ พละกำลังในร่างกายของเขาก็ฟื้นคืนเช่นเดียวกัน หยางไค่สัมผัสและตรวจสอบมัน พบว่ากระดูกทองคำกำลังส่งกลิ่นอายความรู้สึกอบอุ่นออกมาเพื่อรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้น พลังลมปราณที่อยู่ในร่างกายก็มีความสามารถในการรักษาบาดแผลเช่นเดียวกัน จากการช่วยเหลือของทั้งสอง ความแข็งแกร่งพละกำลังและอาการบาดเจ็บของเขาสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อทราบว่าพลังลมปราณหยางมีคุณสมบัติในการรักษา หยางไค่รีบวิ่งไปยังคุกคุมขังมังกรเพื่อดูดซับพลังงานหยาง ในวันนี้แม้ว่าเขาไม่ได้เปิดใช้หยดน้ำพลังลมปราณหยาง แต่พลังลมปราณที่อยู่ในร่างกายสูญเสียออกไปอย่างมาก ทำให้เขาต้องดูดซับและฟื้นฟูมันอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่กำลังดูดซับพลังงานหยาง หยางไค่รู้สึกว่าจุดตันเถียนของสั่นระรัวอย่างรุนแรง พลังงานหยางที่อยู่ด้านนอกถูกดูดซับเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นความแข็งแกร่งของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน พลังลมปราณที่สูญเสียในวันนี้ได้ฟื้นกลับคืนมาทั้งหมด และพลังลมปราณอย่างเข้มข้นหนักหน่วงมากกว่าเดิม เส้นชีพจรลมปราณมีการไหลเวียนอย่างคล่องตัว เสมือนว่ามันได้ขยายกว้างยิ่งขึ้น
กายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 8 ? หยางไค่ตื่นตัวอย่างกะทันหัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและความปลื้มปิติ
ก้าวข้ามเขตแดนบรรลุเขตแดนกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 8 รวดเร็วยิ่งนัก มันทำให้เขารู้สึกแปลกใจเพราะมันไกลจากการคาดเดาของเขา เดิมทีเขาคิดว่าต้องใช้เวลา 7-8 วันจึงจะสามารถก้าวข้ามแขตแดนนี้ได้
สิ่งที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะวันนี้เขาใช้พละกำลังความแข็งแกร่งทั้งหมดในการต่อสู้ การต่อสู้กับผู้อื่นจะทำให้เขาพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ช่างเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ยิ่งนัก
หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสุข หยางไค่จึงเริ่มฝึกฝนกลยุทธุ์หยางอย่างจริงจัง หลังจากที่ก้าวข้ามเขตแดน การดูดซับพลังงานหยางมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ความแข็งแกร่งในทุกๆด้านต่างเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน
ยามค่ำคืน หยางไค่กลับไปพักผ่อนที่กระท่อมไม้ของเขา ในวันนี้เขาได้รับบาดเจ็บ จึงไม่เหมาะที่จะฝึกฝนวิชายุทธุ์ในยามค่ำคืน
หลายวันผ่านมา นอกจากกินข้าว นอนหลับพักผ่อน หยางไค่ใช้เวลาทั้งหมดฝึกฝนวิชายุทธุ์อยู่ที่คุกคุมขังมังกร
แต่กลุ่มคนของซู่มู่ยังไม่โผล่หัวออกมา อาจเป็นเพราะยังคงรักษาอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้
ในช่วงเช้าของหลายวันต่อมา ในขณะที่หยางไค่กำลังกวาดทำความสะอาด เขามองเห็นซู่มู่ที่กำลังนำพาหลี่หยุนเทียนและกลุ่มคนของเขาเดินมาที่นี้ ทุกคนที่มีส่วนร่วมในการต่อสู้ในวันนั้นต่างมากันอย่างครบครัน พวกเขาต่างเดินตามซู่มู่เข้ามาอย่างกล้าหาญ
แม้ว่าพวกเขาจะพยายามรักษาอาการบาดเจ็บเป็นเวลาหลายวัน แต่ลักษณะใบหน้าของกลุ่มคนเหล่านี้ยังเขียวช้ำ หางตาฉีกเป็นแผล ปากบวม แก้มบวม มันเป็นภาพที่น่าตลกยิ่งนัก
หยางไค่เหลือบมอง ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงที่มีความสุข : “ศิษย์น้องซู่ อยากมีเรื่องอีกแล้ว ?”