ตอนที่ 32 กลยุทธุ์หยาง
ใครเป็นคนวางยาพิษ ? ทำไมเขาต้องวางยาพิษ ?
ขณะที่เขายังคิดไม่กระจ่างในขณะที่เขากำลังสับสน ได้เสียงมีเสียงแว่วที่น่าตกใจลอยกระทบใบหูของเขา : “โอ้ว ?”
มันเป็นเสียงของหยางไค่ !! ซู่มู่เกลียดชังหยางไค่เข้ากระดูกดำ เป็นธรรมดาที่เขาจะรับรู้เสียงของหยางไค่อย่างชัดเจน
เป็นเขา แท้จริงแล้วหยางไค่เป็นคนวางยาพิษ ไอ้…!! พวกเรามีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อสั่งสอนและให้บทเรียนที่สาสมแก่เขา แต่เขากลับลงมืออย่างเหี้ยมโหด !! มันโหดร้ายเกินไป !!
เขายังมีจิตใจที่จะสบทด่าหยางไค่ แต่ว่าสติสัมปชญะของซู่มู่พร่ามัวลงอย่างรวดเร็วจนเขากำลังจะสูญเสียสติ
บ้าเอ้ย !! หรือว่าข้าต้องตายจากความคิดที่โง่เขลาของตนเอง ? น่าเวทนายิ่งนัก ความทะเยอทะยานของข้ายังมิทันสำเร็จ ความสามารถของข้ายังมิทันที่จะเปิดเผยต่อสาธาณชน สวรรค์จงปกป้องวีรบุรษด้วยเถอะ สวรรค์ปกป้องวีรบุรษเช่นข้าด้วย……….!!!
หยางไค่เดินข้ามกลุ่มคนเหล่านี้เบาๆ ก่อนจะลดตัวลงเพื่อดึงผ้าคลุมหน้าของพวกเขาออก เขาจ้องมองไปยังใบหน้าของทุกคน พวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เมื่อครุ่นคิดได้ซักพัก ในที่สุดหยางไค่ได้ตนะหนักถึงวัตถุประสงค์ที่พวกเขาบุกเข้ามา เพราะหลายวันที่ผ่านมาเขาได้กลั่นแกล้งทรมาณพวกเขาอย่างน่าสังเวช ดังนั้นในค่ำคืนนี้พวกเขาจึงบุกโจมตีเพื่อแก้แค้น
แต่ว่าพวกเขาต้องพบเจอกับความโชคร้าย
หยางไค่ถือกระถางธูปขึ้นมาในมือ ก่อนจะหัวเราะอย่างขมขื่น
มันเป็นเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย โดยปกติทุกๆวันก่อนที่จะเข้านอน หยางไค่จะเก็บกระถางธูปเข้าในในตำราสีดำ แต่เพราะวันนี้เขาฝึกฝนวิชายุทธุ์เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก เขาจึงผล็อยหลับไปโดยไม่ระวัง เขาลืมที่จะเก็บกระถางธูปเข้าไปในตำราสีดำ สุมนไพรที่ใส่เข้าไปในกระถางธูปยังแผดเผาไม่หมด แต่กลุ่มคนของซู่มู่ได้เข้ามาและสูดดมมันเข้าไปโดยบังเอิญ
ความหอมที่โชยออกมาจากกระถางธูปมีอานุภาคพลังที่มากมายมหาศาล ครั้งแรกที่หยางไค่ได้กลิ่นหอมของมัน หยางไค่ก้าวเท้าออกไปเพียง 3 ก้าวจากนั้นร่างกายของเขาได้ล้มลงไปที่พื้นทันที แต่ร่างกายของหยางไค่มีกระดูกทองคำที่คอยเกื้อหนุนมันยังส่งผลกระทบที่สาหัสเช่นนี้ แล้วกลุ่มคนของซู่มู่ที่เป็นคนธรรมดาล่ะ จะได้รับผลกระทบถึงขั้นใด ?
พวกเขาไม่มีกระดูกทองคำคอยช่วยเหลือ การที่พวกเขาสูดกลิ่นหอมจากกระถางธูปทำให้พวกเขาต้องพักผ่อนเป็นเวลาหลายวันจึงจะสามารถฟื้นฟูความแข็งแกร่งของพวกเขาให้เหมือนเดิม
แม้ว่าเขาต้องแบกรับความผิดชอบจากการประมาทของเขา แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความหยิ่งยะโสและความละเลยของพวกเขา ถ้าหากพวกเขากลั้นหายใจในขณะที่ได้กลิ่นหอมที่โชยออกมาจากกระถางธูป พวกเขาคงไม่ตกอยู่ในสภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้
“โอ้ว พวกเจ้าทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใด ?” หยางไค่ถอนหายใจ ก่อนจะเก็บกระถางธูปเข้าไปไว้ในตำราสีดำ เขาจ้องมองไปยังกลุ่มคนที่หมดสติอยู่บนพื้น
เมื่อครุ่นคิดได้สักครู่ หยางไค่ตัดสินใจที่จะลากพวกเขาออกไปจากกระท่อมไม้ จากนั้นจึงลากพวกเขาไปทิ้งไว้บริเวณอื่นๆ โดยไม่สนพวกเขาอีก
เมื่อหยางไค่กลับถึงกระท่อม เขาได้นอนหลับพักผ่อนอีกครั้ง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทำให้เขาต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น กระถางธูปต้องเอาออกมาจากตำราสีดำถึงจะใช้งานได้ แต่เมื่อเขาสามารถก้าวข้ามเขตแดนทั้งหมดของกายาเริงอารมณ์ เขาไม่ต้องวุ่นวายที่จะใช้กระถางธูปอีก เมื่อถึงเวลานั้น แม้ว่ากระถางธูปจะวางไว้ด้านนอกตำราสีดำก็ไม่สามารถแสดงพลังอำนาจของมันได้อีก เพียงแค่ลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายสามารถที่จะไหลเวียนและผสานรวมเป็นหนึ่งกับตำราสีดำ
หลังจากนั้นหลายวัน หยางไค่ได้ฝึกฝนวิชายุทธุ์อย่างหนัก สมุนไพรทั้ง 2 ชนิดลดลงอย่างต่อเนื่อง และเริ่มลดน้อยลงทุกวัน
วันรุ่งขึ้นของวันที่ 3 หลังจากที่หยางไค่ฝึกยุทธุ์แห่งกายาเริงอารมณ์จนเสร็จสิ้น หลังจากนั้นเขาได้สูดกลืนรัศมีแสงสีม่วงเข้าไป ทันใดนั้นเส้นชีพจรลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายกระตุกไปมาอย่างรุนแรง เสมือนว่ามันกลายเป็นแมลงตัวเล็กๆ ที่กำลังไหลเวียนอยู่ภายในเส้นชีพจรลมปราณของเขา
ใบหน้าของหยางไค่ยังหนักแน่น เขารีบใช้ความรู้สึกภายในจิตใจตรวจสอบร่างกายของเขา
ลมปราณกำลังสั่นระรัวอย่างรุนแรง รวมไปถึงกล้ามเนื้อ เส้นเลือดที่อยู่ภายในร่างกาย ทำให้ร่างกายของเขารู้สึกชา เขาไม่ทราบว่ามันคือความรู้สึกที่เจ็บปวดหรือความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้ผ่านไปนานเท่าใด ทันใดนั้น หยางไค่รู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาหวิว ช่องท้องรู้สึกร้อนวาบ ในขณะเดียวกัน ลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายมลายหายไปจนหมดสิ้น
จากการสื่อสารจากความคิดอ่านในจิตใจ ความรู้สึกร้อนวาบที่อยู่ในช่องท้องเสมือนว่ามันมีชีวิต ซึ่งมันกำลังกระโดดไปมาด้วยความปิติยินดี
พลังลมปราณ !! ในที่สุดเขาได้ก้าวมาถึงเขตแดนนี้กายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7 ภายในร่างกายของเขาได้ก่อเกิดพลังลมปราณ สิ่งนี้คือสัญญานที่ชัดเจนที่สุดของกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7
พลังลมปราณในช่วงชีวิตแรกของมนุษย์ก่อกำเนิดขึ้นมาจากจุดตันเถียน ในตอนนี้พลังลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายมีเพียงน้อยนิด มันไม่สามารถที่จะเกื้อหนุนให้ผู้ฝึกยุทธุ์ใช้ในการต่อสู้ เพราะถ้าหากใช้มันในตอนนี้ พลังลมปราณที่มีอยู่จะหายไปและต้องใช้เวลาหลายวันในการฟื้นฟูมันขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ในการฝึกยุทธุ์ตอ่ไป
แต่เพราะร่างกายของเขาได้ก่อกำเนิดพลังลมปราณ ดังนั้นในเวลานีเขาสามารถฝึกฝนทักษะในการต่อสู้
มันไม่สามารถเทียบได้กับการออกหมัดการเตะที่เป็นท่าพื้นฐานในการฝึกฝนวิชายุทธุ์ของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ทักษะการต่อสู้ คือการนำพลังลมปราณที่อยู่ในร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าในการต่อสู้ ซึ่งเป็นรากฐานความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธุ์และยังเป็นพื้นฐานกระบวนท่าในการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธุ์อีกด้วย
แม้จะเป็นการออกหมัดที่เหมือนกัน แต่ว่าการโจมตีของกายาเริงอารณ์ขั้นที่ 6 และขั้นที่ 7 แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าหากกล่าวว่ากายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 6 ปล่อยหมัดออกไปสุดกำลังสามารถออกหมัดที่หนักหน่วงซึ่งเทียบเท่ากับน้ำหนักจำนวน 200 จิน ถ้าเป็นเช่นนั้นการใช้พลังลมปราณของกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7 สามารถออกหมัดที่หนักหน่วงซึ่งเทียบเท่ากับน้ำหนักจำนวน 500 จิน
แน่นอน ในเขตแดนของกายาเริงอารมณ์ ผู้ฝึกยุทธุ์จำนวนมากไม่ต้องการที่จะใช้ทักษะในการต่อสู้ เพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะฟื้นฟูพลังลมปราณที่อยู่ภายในร่างกาย มีเพียงการเปิดแขตแดนแห่งพลังเท่านั้น จึงสามารถใช้พลังลมปราณในการต่อสู้ได้โดยอิสระ เมื่อถึงเวลานั้น แม้ว่าพลังลมปราณจะลดลงจนหมด พลังลมปราณก็สามารถที่จะฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว
สาเหตุของปัญหาทั้งหมด คือความรวดเร็ในการฟื้นฟูพลังลมปราณ
ดังนั้น จากเขตแดนกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7 สิ่งที่ผู้ฝึกยุทธุ์ทุกคนต้องกระทำคือการใช้พลังลมปราณจำนวนน้อยนิดสร้างรากฐานพลังลมปราณของตนเอง เพื่อให้พลังลมปราณของตนเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
วิธีการทั่วไปที่ใช้ในการฝึกยุทธุ์คือการฝึกฝนทักษะในการต่อสู้ !!
ในทุกๆทักษะของการต่อสู้ต้องใช้เส้นชีพจรจำนวนกว่า 10 เส้นในการเคลื่อนพลังลมปราณให้ไหลเวียน โดยการไหลเวียนพลังลมปราณในเส้นชีพจรที่แตกต่างกัน จะสามารถสร้างทักษะการต่อสู้หลายๆทักษะที่แตกต่างเช่นกัน
ขณะที่กำลังฝึกฝนทักษะการต่อสู้พลังลมปราณจะเพิ่มขึ้น จากการเปิดของจุดโจวเทียน จะสามารเปิดเขตแดนแห่งพลังลมปราณ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกยุทธุ์ทุกคนต่างทราบดี
ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่หยางไค่มิได้ตื่นตกใจ
เมื่อทราบว่าตนเองได้ก้าวข้ามเขตแดนจนมาถึงกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7 หยางไค่รีบสงบความตื่นเต้นที่อยู่ในจิตใจ ก่อนที่จะรีบวิ่งเข้าไปในกระท่อมและใช้ความคิดอ่านในจิตใจอัญเชิญตำราสีดำออกมา
เขารีบพลิกไปหน้าที่ 4 และใช้ความรู้สึกสัมผัสกับมัน
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เขาก้าวข้ามเขตแดนเขาจะพยายามทำลายตราผนึกที่ผนึกหน้าที่ 4 ของตำราสีดำเอาไว้ แต่มันไม่เคยสำเร็จสักครั้ง หยางไค่ทราบดีว่าเขาต้องก้าวข้ามเขตแดนไปถึงกายาเริงอารณ์ขั้นที่ 7 จึงจะสามารถทำลายตราผนึกได้ เมื่อสามารถบรรลุเขตแดนทั้งหมดของกายาเริงอารมณ์ หน้าที่ 4 ของตำราสีดำจึงจะมีการเปลี่ยนแปลง
การคาดเดาของเขาไม่ผิดเพี้ยน !!
เขาสัมผัสพลังของตำราสีดำเพียงชั่วครู่ จากนั้นหน้าที่ 4 ของตำราสีดำได้ประกายแสงสว่างสีทองเหมือนครั้งที่แล้ว แสงสว่างสีทองได้ปกคลุมหน้าที่ 4 ของตำราสีดำจนหมดสิ้น จากนั้นมันได้พุ่งเข้าไปในจิตใต้สำนึกของหยางไค่
ทันใดนั้นภายในจิตใจของเขาได้ก่อเกิดข้อมูลใหม่ กลยุทธุ์หยางที่แท้จริง !! สิ่งนี้คือสิ่งที่ตำราสีดำมอบให้แก่เขาเมื่อเขาก้าวข้ามขีดสูงสุดของเขตแดนแห่งกายาเริงอารมณ์ จากการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ใบหน้าของหยางไค่แสดงออกมาอย่างแปลกประหลาด
กลยุทธุ์หยางและทักษะการต่อสู้ทั่วไปมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน ทักษะการต่อสู้โดยทั่วไปมีการเคลื่อนไหวที่คงที่และกระบวนท่าที่เหมือนกัน แม้จะสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ แต่มันก็ยังคงเป็นทักษะในการต่อสู้ที่เหมือนเดิม จากโครงสร้างพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน จากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มันเป็นทักษะการต่อสู้ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
กลยุทธุ์หยางไม่มีการเคลื่อนไหวและกระบวนท่าที่คงที่ มันสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าสามารถเปลี่ยนแปลงตามที่เราต้องการ หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่ง คือกลยุทธุ์หยางไม่มีกระบวนท่าในการต่อสู้
นี้คือความแตกต่างในข้อแรก
วิธีการรฝึกฝนของกลยุทธุ์หยางค่อนข้างง่าย แต่มันมีเงื่อนไขในกาฝึกฝนที่ซับซ้อน
กลยุทธุ์หยางต้องฝึกฝนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพลังงานหยาง
แต่เมื่อฝึกฝนวิชายุทธุ์ด้วยวิธีการของกลยุทธุ์หยางจนถึงระดับหนึ่งจนมันได้ก่อเกิดพลังลมปราณของกลยุทธุ์หยาง พลังของกลยุทธุ์หยางจะแปรเปลี่ยนและอยู่ในรูปแบบของเหลว และจะถูกกักเก็บไว้ที่จุดตันเถียน
สิ่งนี้คือสิ่งเดียวที่ทักษะการต่อสู้ไม่สามารถที่จะทำได้ เพราะร่างกายของผู้ฝึกยุทธุ์ทุกคนจะมีขีดจำกัดสูงสุดของตนเอง เมื่อฝึกฝนวิชายุทธุ์จนถึงเวลานั้น ภายในร่างกายไม่สามารถเพิ่มพลังลมปราณเข้าไปได้ นอกเสียจากการก้าวข้ามเขตแดนที่สูงสุดของตนเอง