ตอนที่ 30 ชะตาพลิกผัน
วันรุ่งขึ้น ศิษย์สาวกแห่งสำนักหลิงเซี่ยวได้รวมตัวกันเพื่อฝึกฝนวิชายุทธุ์ ทุกคนต่างพูดคุยหัวเราะอย่างมีความสุข แม้ว่าจะเหนื่อยจากการฝึกฝนวิชายุทธุ์แต่ยังเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แต่ทันใดนั้น ได้มีคนๆหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าที่ตื่นตระหนก ก่อนจะกล่าวตะโกน : “นาย……..นายน้อยซู่…………”
“ว่าอย่างไร ?” ซู่มู่กล่าวถามด้วยความสงสัย
“มันมาจริงๆด้วย !!”
“ใครมา ?” ซู่มู่กล่าวถามอย่างหงุดหงิด ก่อนจะมองไปยังทิศทางที่เขาชี้นิ้วออกไป ซึ่งเขามองเห็นหยางไค่ที่ถือไม้กวาดและกำลังเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ใบหน้าของคนกลุ่มหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงทันที
“สวัสดีศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน ลุกขึ้นมาฝึกวิชายุทธุ์ตั้งแต่รุ่งเช้า ช่างขยันหมั่นเพียรยิ่งนัก” หยางไค่กล่าวทักทายต่อทุกคน และยังจ้องมองไปยังจ้าวหู่และหลี่หยุนเทียนอย่างเจตนา ใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความเขี้ยวช้ำก่อนที่พวกเขาจะถอยหลังออกไป เมื่อคิดถึงหมัดที่หนักหน่วงและรุนแรงของหยางไค่ ทำให้พวกเขาเกรงตัวด้วยความหวาดกลัว
“เจ้ามาที่นี้ทำไม ?” ใบหน้าของซู่มู่มีความวิตกกังวล แม้ว่าเขาจะทราบเป้าหมายของหยางไค่ แต่ยังกล่าวถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ เพราะเมื่อวานเขาได้ลั่นวาจาต่อหน้าเขาและคนของเขาเอาไว้แล้ว
“ท้าประลองยุทธุ์” หยางไค่หัวเราะอย่างสดใส เขากวาดสายตาไปยังฝูงชนที่อยู่รอบบริเวณ ก่อนจะกล่าวถามด้วยตนเอง : “ศิษย์น้องคนนั้นหลายวันที่ผ่านมาเจ้ายังไม่ถูกท้าประลองจากคนอื่นๆ ? แลกเปลี่ยนวิชายุทธ์กับศิษย์พี่คนนี้ไหม ?”
หอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวมีกฎของสำนักที่เข้มงวด การแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์โดยการท้าประลองยุทธุ์เป็นการต่อสู้ที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ พวกเขาต้องเข้าสู่การต่อสู้ !! ถ้าหากพวกเขาละเมิดกฎ พวกเขาจะถูกขับออกจากหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวทันที
เมื่อมีกฎที่เข้มงวด แม้ว่าคนของซู่มู่จะหวาดกลัวต่อหยางไค่เพียงใด เพียงแค่ฝ่ายตรงข้ามยื่นข้อเสนอเพื่อท้าประลองยุทธุ์ และใน 5 วันที่ผ่านมาเขายังไม่เคยถูกศิษย์คนอื่นๆท้าประลองยุทธุ์ แม้ว่าจะทราบดีว่าตนเองจะถูกทุบตีอย่างโหดร้าย ก็มิอาจที่จะปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้
ในวันนี้ คนของซู่มู่ ที่ชื่อว่าจางซางถูกท้าประลองยุทธุ์ เขาถูกหยางไค่ทุบตีอย่างไม่ใยดี ก่อนที่หยางไค่จะเดินออกไปอย่างอิ่มเอมใจ พึงพอใจ ซู่มู่จึงกล่าวสาปแช่งเขาอยู่ในจิตใจด้วยความโกรธแค้น
วันถัดไป หยางไค่ได้มาอีกครั้ง คนของซู่มู่ที่ชื่อว่า หลี่ซื่อ ถูกท้าประลองยุทธุ์และถูกหยางไค่ทุบตีจนได้รับบาดเจ็บ หยางไค่จึงเดินออกไปด้วยความอิ่มเอมใจ พึงพอใจอีกครั้ง ซู่มู่ตะโกนด่าอย่างไม่หยุดหย่อน แต่มันก็ไม่เกิดประโยชน์ต่อเขาเลยสักนิด
วันที่ 3 หยางไค่ยังได้มาอีกครั้ง คนของซู่มู่ที่ชื่อว่า หวังหวู่โชคร้ายถูกหยางไค่ท้าประลองยุทธุ์ เขาถูกหยางไค่ทุบตีจนใบหน้าจมูกเขี้ยวช้ำ หยางไค่ได้เดินออกไปด้วยความอิ่มเอมใจ พึงพอใจอีกครั้ง ซู่มู่จึงตะโกนด่าด้วยความโกรธแค้นอีกครา
เมื่อหยางไค่ได้มาอีกครั้ง ซู่มู่ได้เรียนรู้จนตัวเองสงบนิ่ง แม้ว่าเขาจะสบทด่า ตะโกนด่าหยางไค่ไปมากเท่าไหร่ มันไม่ได้ทำให้หยางไค่หวาดกลัว เพราะเขาทราบดีว่าการทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ใด ศิษย์พี่หยางคนนี้ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจและความกดดันของเขาแม้แต่น้อย
ซู่มู่จึงใช้สายตาที่โหดเหี้ยมจ้องมองไปที่หยางไค่ และเก็บงำความเกลียดชัง ความโกรธอยู่ภายในจิตใจ
เสมือนว่าเขากำลังถูกทรมาณ เพราะคนของซู่มู่เริ่มที่จะยอมแพ้และไม่ขอที่จะกระทำมันต่อไป
หยางไค่กลั่นแกล้งพวกเขามากเกินไป ศิษย์สามัญแห่งหอประลองยุทธุ์มีจำนวนมากมาย เขาไม่ท้าประลองยุทธุ์กับคนอื่นๆ แต่กลับท้าประลองยุทธุ์กับกลุ่มคนของเขา เสมือนว่าเขากำลังแก้แค้น นอกจากนั้นกลุ่มคนของเขามีจำนวนที่ไม่น้อย หยางไค่ท้าประลองยุทธุ์ 1 วันต่อ 1 คน เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจะกลับออกไปโดยได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า
หลายวันที่ผ่านมาหยางไค่ได้จุดประกายความวุ่นวายให้แก่หอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ศิษย์ฝึกหัดที่ต้อยต่ำเฉกเช่นปลาเค็มเน่ากำลังพลิกผันชะตาตัวเองอย่างยิ่งใหญ่ทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจของทุกคน หลังจากที่เขาทุบตีจ้าวหู่ เสมือนว่าเขาได้เปลี่ยนแปลงกลายเป็นคนละคน เขาไม่ใช่หยางไค่คนเดิมที่จะถูกผู้อื่นทุบตีอย่างง่ายดายอีกต่อไป ทุกๆวันเขาจะท้าประลองยุทธุ์กับศิษย์สาวกคนอื่นๆ และการประลองยุทธุ์ทุกครั้ง เขาจะเป็นฝ่ายชนะ และข่าวลือที่เขากำลังแก้แค้นซู่มู่จนทำให้ซู่มู่กลายเป็นคนที่สงบเงียบได้แพร่กระจายไปทั่ว
แม้แต่ซู่มู่ยังไม่สามารถที่จะทำอะไรต่อหยางไค่ ศิษย์สามัญคนอื่นๆจะรับมือกับหยางไค่ได้อย่างไร ? จนถึงตอนนี้ หยางไค่ได้กลายเป็นคนที่ไม่มีใครกล้าที่จะขอท้าประลองยุทธุ์กับเขา ใครๆ ก็ทราบดี ศิษย์ฝึกหัดที่เข้ามาในหอประลองยุทธุ์เป็นเวลากว่า 3 ปี และยังกลายเป็นศิษย์พี่ของพวกเขาที่ทำหน้าที่กวาดทำความสะอาด ไม่ใช่คนที่จะสามารถมีเรื่องกับเขาได้
หลังจากที่ข่าวลือนี้แพร่สะพัดออกไป ทุกคนต่างคาดเดาความสามารถและเขตแดนของหยางไค่ว่าอยู่ในระดับที่เท่าไหร่ มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งทายว่าเขาอยู่ในกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 4 และยังมีคนอีกกลุ่มทายว่าเขาอยู่ในกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 5 และยิ่งกว่านั้นยังมีคนทายว่าเขาอยู่ในกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 8 เพราะเขาสามารถเอาชนะหลี่หยุนเทียนที่อยู่ในกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7
แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่างไม่รู้ระดับเขตแดนที่แท้จริงของหยางไค่
มีเพียงเซี่ยหนิงฉางคนเดียวที่รู้ !!! หลายวันที่ผ่านมา ระหว่างที่หยางไค่ท้าประลองยุทธุ์กับคนอื่นๆ เธอเป็นคนที่แอบจดบันทึกผลแห่งการท้าประลองยุทธุ์ จากการบ่มเพาะพลังระดับสูงของเธอและความสามารถของเธอ เธอรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าหยางไค่อยู่ในเขตแดนระดับที่เท่าไหร่
แต่เพราะเซี่ยหนิงฉางรู้ว่าเขาอยู่ในเขตแดนระดับไหน จึงทำให้เธอตื่นตะลึงอย่างมาก
ในวันที่ศิษย์น้องคนนี้เอาชนะหลี่หยุนเทียน เขตแดนของเขาอยู่ในกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 5 แต่หลังจากที่ผ่านไป เพียง 4 วัน เขตแดนของเขาได้ก้าวข้ามต่อไปอีก จนอยู่ในกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 6
เขามีวิธีการฝึกฝนอย่างไรจึงมีการพัฒนาที่รวดเร็วเช่นนี้ ? แม้แต่ตัวของเธอเอง การรักษาเสถียรภาพเขตแดนของตนเอง ยังต้องใช้โอสพเป็นจำนวนมาก การพัฒนาและก้าวข้ามเขตแดนก็มิได้รวดเร็วเช่นนี้
เพื่อคลายความสงสัย เซี่ยหนิงฉางยังได้ลักลอบไปยังกระท่อมไม้ของหยางไค่ เพื่อตรวจสอบว่าเขาฝึกฝนวิชายุทธุ์อย่างไร แต่เมื่อสืบไปสืบมาก็มิอาจที่จะค้นหาต้นตอที่แท้จริงได้ เซี่ยหนิงฉางมองเห็นเขาฝึกฝนการออกหมัด การเตะซึ่งเป็นพื้นฐานของกายาเริงอารมณ์ มิได้มีอะไรที่พิเศษไปมากกว่านั้น แต่ว่าในระหว่างที่เขากำลังฝึกฝนท่าพื้นฐานของกายาเริงอารมณ์ เพียงการออกหมัดหรือการก้าวเท้าออกไปเพียง 3 ก้าวกลับทำให้เขาเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด และร่างกายของเขายังชโลมด้วยเหงื่อที่มากมาย
เซี่ยหนิงฉางครุ่นคิดอย่างไรก็มิอาจที่จะกระจ่างต่อความสงสัย เพราะเหตุใดท่าพื้นฐานของกายาเริงอารมณ์ทำให้เขาเหนื่อยล้าถึงเพียงนี้ เพราะมันไม่ใช่กระบวนท่าที่วิเศษวิโสเลยสักนิด
เมื่อแอบสืบแอบตรวจสอบเป็นเวลาหลายติดต่อกัน เซี่ยหนิงฉางยังมิอาจที่จะหาเบาะแสะที่แท้จริง แม้ว่าเธอจะรู้ว่าหยางไค่ยังมีความลับที่แอบเก็บซ่อนเอาไว้ แต่เธอนั้นละอายใจที่สืบหาต่อไป เพราะการแอบสืบแอบตรวจสอบผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจหรือน่าเปิดเผย ยิ่งกว่านั้นคือการแอบตรวจสอบบุรุษที่อยู่ในวัยแรกเริ่ม
ทุกครั้งที่เซี่ยนหนิงฉางมองเห็นหยางไค่ หัวใจของเธอจะเต้นระรัวอย่างรุนแรง ใบหน้าแดงก่ำ เพราะเมื่อเขาเริ่มต้นฝึกฝนวิชายุทธุ์เขาจะเปลือยกายท่อนบนในทันที เสมือนว่าร่างกายส่วนบนของตนเองนั้นน่ามองยังถึงที่สุด
“แต่ว่า เขาดูแข็งแกร่งกว่าเดิม ร่างกายของเขาเริ่มมีกล้ามเนื้อที่หนาแน่น” เมื่อคิดถึงครั้งแรกที่เธอพบเจอกับหยางไค่ เซี่ยหนิงฉางกำลังเปรียบเทียบหยางไค่อยู่ในใจ แต่หลังจากที่เปรียบเทียบจนเสร็จสิ้น ใบหน้าของเธอกลับแดงก่ำด้วยความเขิลอาย
หยางไค่ไม่รู้ตัวว่าหลายวันที่ผ่านมา มีคนคอยเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของเขา หลังจากที่เขาทำหน้าที่กวาดทำความสะอาดจนเสร็จสิ้น เขาจะไปหาคนของซู่มู่เพื่อท้าประลองยุทธุ์ จากนั้นจึงกลับไปยังกระท่อมเพื่อฝึกฝนวิชายุทธุ์ แม้ว่าคืนวันที่ผ่านไปค่อนข้างที่จะน่าเบื่อ แต่มันเต็มไปด้วยความตื่นตัว
กระถางธูปมีประโยชน์ต่อการฝึกยุทธุ์เขาอย่างมาก บวกกับการฝึกฝนคัมภีร์แห่งกายาเริงอารมณ์ ทำให้เขตแดนของเขาก้าวข้ามจนอยู่ในกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 6 ลมปราณที่อยู่ภายในร่างกายเริ่มมีความแข็งแกร่งและความเสถียรภาพที่มั่นคง
เหลือเพียง 1 ก้าว จะทำให้เขาก้าวสู่กายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7 เมื่อมาถึงเขตแดนนี้ ภายในร่างกายจะสามารถสร้างลมปราณด้วยตนเอง แม้ว่ามันอาจจะไม่มาก แต่ถึงอย่างไรมันก็คือลมปราณ เมื่อร่างกายมีลมปราณไหลเวียน จะสามารถฝึกฝนทักษะวิชายุทธุ์ในการต่อสู้ เมื่อถึงเวลานั้น การโจมีของเขาจะไม่มีเพียงการปล่อยหมัดและการเตะที่เป็นพื้นฐานเพียงอย่างเดียว
กายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7 ถึงกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 9 คือการสร้างลมปราณจากภายในร่างกาย ซึ่งเป็นระยะในการพัฒนาร่างกาย และมันยังเป็นขั้นตอนที่ลมปราณไหลเวียนเข้าสู่เส้นชีพจรลมปราณเพื่อผสานให้ทุกอย่างรวมเป็นหนึ่ง เมื่อลมปราณที่อยู่ในร่างกายได้แปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ มันจะสามารถเปิดจุดตันเถียน ซึ่งจะทำให้สามารถก้าวข้ามวิชายุทธุ์แห่งกายาเริงอารมณ์ เพื่อก้าวไปยังเขตแดนอื่นๆ ต่อไป
มันเป็นเสมือนการฝึกวิชายุทธุ์ที่กำลังเล่นกับชะตาชีวิตของตนเอง หยางไค่สามารถรับรู้กับพัฒนาของตนเองในทุกๆวัน มันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างชัดเจน จนถึงวันนี้ หยางไค่สามารถออกหมัดเตะออกไปอย่างง่ายดายภายใต้การอิทธิพลของกระถางธูปที่ช่วยเหลือการฝึกฝนวิชายุทธุ์ของเขาเอง การฝึกวิชายุทธุ์ในช่วงเช้าจึงทำให้เขาค่อนข้างที่จะผ่อนคลาย จึงทำให้เขามีการพัฒนาในทุกๆวัน
หากเงื่อนไขเหล่านี้สามารถดำเนินต่อไป หยางไค่เชื่อว่าเขาจะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วจนสามารถก้าวข้ามแขตแดนต่างๆ
แต่หยางไค่พบเจอกับเหตุการณ์ที่น่าวิตก ต้นหญ้าสลายวิญญาณของตนเองถูกใช้จนหมด แม้ว่าเขาจะเก็บดอกสามใบเถาเอาไว้ แต่มันเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลายวันที่ผ่านมาหยางไค่ใช้สมุนไพรเหล่านี้เพียงเล็กน้อยในการฝึกฝนวิชายุทธ์ แต่จำนวนของมันได้ลดลงอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อไม่มีทางเลือก หยางไค่จึงต้องไปยังหอวิเศษ ใช้แต้มแห่งชัยชนะที่เหลือของตนเอง เพื่อแลกเปลี่ยนกับสมุนไพรเหล่านั้นที่เขาต้องการ