ตอนที่ 29 – ความสูญเสียครั้งใหญ่
หลังจากทรมาณจากอาการชาของมือทั้งสอง หลี่หยุนเทียนไม่กล้าที่จะวู่วามอีก เขาใช้ความยืดหยุ่นของร่างกายยืนหยัดร่างกายของตนเองเอาไว้ เขาจ้องมองหยางไค่อย่างไม่วางตา เพื่อหาโอกาสในการโจมตี ก่อนที่จะปล่อยหมัดไปยังร่างกายของ หยางไค่กว่า 10 ครั้ง
ให้ข้าต้องสูญเสียแต้มแห่งชัยชนะ ให้ข้าต้องวิ่งไปหอวิเศษ ทำให้หลี่หยุนเทียนโกรธแค้นหยางไค่ เขาลงมืออย่างรุนแรง ทุกหมัดที่เขาโจมตีไปยังร่างกายของหยางไค่ดังก้องไปทั่วบริเวณ ซู่มู่ที่แอบมองอยู่ไกลๆต่างตะลึงและจ้องมองอย่างปลาบปลื้มใจ เสมือนว่าเขาได้ลงมือด้วยตนเอง ทำให้เขารู้สึกมีความสุขอย่างถึงที่สุด
ทั้งสองที่กำลังประลองยุทธุ์ต่างเป็นผู้ฝึกยุทธุ์กายาเริงอารมณ์ แรกเริ่มระดับของพวกเขาไม่สูงมาก เมื่อต่อสู้ซึ่งกันและจึงมีกระบวนท่าที่ไม่มาก นอกจากนั้นหยางไค่กำลังทดสอบสภาพร่างกายของตนเองในปัจจุบัน จึงทำให้หลี่หยุนเทียนสามารถโจมตีหยางไค่ได้อย่างง่ายดาย
หลังจากที่ประลองยุทธุ์ได้ชั่วครู่ หยางไค่เข้าใจสภาพร่างกายของตนเองอย่างชัดเจน ร่างกายของตนเองในตอนนี้มีความแข็งแกร่งที่เพียงพอ และยังแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างมาก แม้ว่าเขาประสบความสำเร็จในการพัฒนาการร่างกายของตนเอง แต่เขายังไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะใช้ความแข็งแกร่งนี้กับศิษย์น้องคนนี้
หลี่หยุนเทียนที่โจมตีอย่างต่อเนื่องซึ่งเขาคิดว่าตนเองจะเป็นผู้ชนะ ทันใดนั้นร่างกายของหยางไค่ที่ถูกเขาโจมตีจนถอยออกไปได้พลุ่งพรวดและดันขึ้นมาอย่างฉับพลัน เสมือนว่าวิญญาณชั่วร้ายได้พบกับหญิงสาวเปลือยกาย มันคือสายตาที่ตื่นเต้น ตื่นตัว ซึ่งทำให้หลี่หยุนเทียนตื่นตระหนกอย่างมาก
เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียด หยางไค่ที่มีลักษณะตื่นเต้นและตื่นตัวไม่ได้มีรัศมีแห่งการโจมตีที่สามัญ แต่มันเป็นความตื่นเต้น ตื่นตัวที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและกระหายเลือด
ความรู้สึกไม่ปลอดภัยได้ก่อกำเนิดในจิตใจของหลี่หยุนเทียน เขาที่กำลังถอยหลังกลับไป กลับต้องพบเจอกับหยางไค่ที่ก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว เฉกเช่นเทือกเขาที่สูงตระหง่านกำลังปิดกั้นเส้นทางชีวิตของเขา
หลี่หยุนกระโดดขึ้นสูง เพื่อหลบหนีจากการไล่ตามของหยางไค่ แต่ทันใดนั้น หยางไค่ได้กระโดดเช่นเดียวกัน และเตะไปยังเอวของหลี่หยุนเทียนในทันที
เสียงร้องแห่งความเจ็บปวดดังลั่นออกมา ร่างกายของหลี่หยุนเทียนปลิวลอยออกไปเสมือนกระสอบที่ถูกขว้างออกไป ก่อนที่จะกระแทกลงที่พื้นดิน แต่ทันใดนั้นหลี่หยุนเทียนที่ยังมิทันลุกขึ้นมาก ได้ถูกหยางไค่กระทืบเท้าลงไป ก่อนที่จะรัวกำปั้นไปยังหลี่หยุนเทียนยังไม่หยุดยั้ง
เสียงร้องโหยหวนอย่างน่าอนาทดังลั่นออกมาจากปากของหลี่หยุนเทียน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นจุดจบที่น่าสังเวทใจที่สุดของหลี่หยุนเทียน
เดิมที่หลี่หยุนเทียนที่ถูกหยางไค่กระโดดเตะจนลอยกระแทกลงบนพื้นดินอย่างต้องการที่จะต่อต้านและแก้แค้นต่อหยางไค่ แต่หยางไค่กลับโจมตีเขาโดยไม่กล่าวถามและไม่สนใจ ทำให้ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส
หลังจากนั้น หลี่หยุนเทียนไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวด เขาได้ค้นพบเรื่องที่แปลกประหลาด หลังจากที่โจมตีซึ่งกันและกัน ทั้งสองต่างมีปฏิกิริยาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ยิ่งเขาโจมตีหยางไค่ไปมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้หยางไค่รู้สึกตื่นเต้นและมีความสุข แต่เมื่อหยางไค่โจมตีเขา กลับทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ
ในโลกนี้มีใครหนอที่ถูกโจมตีแล้วรู้สึกมีความสุข ?ในครั้งสุดท้าย หลี่หยุนเทียนมองเห็นกล้ามเนื้อของหยางไค่มีเพียงรอยแดง เลือดสีแดงไหลพล่านอยู่ภายใต้ผิวหนัง เส้นเอ็นปูดโปนขึ้นมาก มีลักษณะที่น่ากลัว เสมือนปีศาจที่กำลังบ้าคลั่ง
หลี่หยุนเทียนคิดว่าหยางไค่กลายเป็นคนบ้า แต่หลังจากการประลองยุทธุ์ได้สิ้นสุดลง ศิษย์พี่คนนี้กลับกลายเป็นปกติ มีใบหน้าที่เป็นมิตร เขายังช่วยดึงตนเองขึ้นจากพื้น ก่อนจะกล่าวยอมแพ้ด้วยรอยยิ้ม และหยิบไม้กวาดเดินจากไป
เมื่อเขาอยู่ในการต่อสู้ เขาจะกลายเป็นคนสองคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง !!
ร่างกายของหลี่หยุนเทียนเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาถูกหยางไค่โจมตีด้วยหมัดหลายครั้ง และยังถูกหยางไค่เตะอย่างรุนแรง ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บอย่างมาก
ครั้งนี้เขาพยายามที่จะสร้างความสูญเสียให้แก่หยางไค่แต่กลับกลายเป็นเขาที่ได้รับความสูญเสีย ทำให้หลี่หยุนเทียนร้องไห้อย่างขมขื่นภายในจิตใจ
หยางไค่ได้ปฏิเสธการประลองยุทธุ์กับเขาหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง โดยที่เขาไม่ต้องการที่จะแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์กับเขา แต่ตนเองกลับเสนอตัวเป็นคนดี ยืนกรานที่จะขอแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์กับเขา และยังเสนอแต้มแห่งชัยชนะให้เขาถึง 20 แต้มเพื่อแลกเปลี่ยนกับสุมนไพร เพื่อร้องขอการต่อสู้จากเขา แต่สุดท้าย……….เขากลับถูกเขาทุบตีอย่างน่าเวทนา ไม่เพียงต้องสูญเสียสมุนไพรจากแต้มแห่งชัยชนะจำนวน 20 แต้ม ตนเองยังพ่ายแพ้และถูกหักแต้มแห่งชัยชนะอีก 2 แต้ม
ครั้งนี้ เขาต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวง !! ทำไมตนเองต้องพบเจอกับสิ่งที่น่าเวทนาเช่นนี้ ?หลี่หยุนเทียนรู้สึกนึกเสียใจที่ตนเองเลือกที่จะกระทำเช่นนี้
ซู่มู่และคนอื่นๆที่จ้องมองอยู่ไกลๆ ตะลึงจนตัวแข็งทื่อ ระหว่างที่หลี่หยุนเทียนและหยางไค่ประลองฝีมือพวกเขาต่างโห่ร้องด้วยความสนุกโดยไม่สามารถหยุดยั้งได้ พวกเขาต่างอวยพรให้หลี่หยุนเทียนประสบความสำเร็จกับแผนการที่เตรียมไว้ พวกเขาจะได้เห็นหยางไค่ถูกหลี่หยุนเทียนทุบตีในไม่ช้า
ซู่มู่ยังมีแผนการอยู่ในใจ เมื่อหยางไค่ถูกทุบตีจนกลายเป็นหมูหมา เขาจะเดินออกไปและเยาะเย้ยเขาดังใจหวัง เพื่อคลายความเคียดแค้นที่อยู่ในจิตใจ แต่เมื่อทั้งสองเริ่มประลองยุทธุ์โจมตีซึ่งกันและกันอย่างรุนแรง พวกเขาต่างตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะหยางไค่และหลี่หยุนเทียนมีฝีมือในการต่อสู้ที่เท่าเทียมกัน
ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซู่มู่รู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตา ก่อนที่เขาจะโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อกล่าวถามคนอื่นๆ : “หลี่หยุนเทียนอยู่ในระดับเขตแดนที่เท่าไหร่ ?”
“กายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7 ร่างกายเริ่มมีลมปราณไหลเวียนอยู่ในร่างกาย แต่เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ยังไม่ได้รับการฝึกฝนวิชายุทธุ์อย่างจริงจัง” คนที่อยู่ข้างๆ กล่าวตอบ
“แล้วหยางไค่ล่ะ ?” ซู่มู่กล่าวถามอีกครั้ง
“น่าจะอยู่ในขั้น กายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 4” คนรอบข้างกล่าวตอบอย่างไม่มั่นใจ
ทุกคนต่างตื่นตะลึง ทั้งสองมีเขตแดนที่แตกต่างกันเพียง 3 ขั้น แต่เมื่อประลองยุทธุ์ซึ่งกันและกันกลับสามารถต่อสู้ด้วยฝีมือที่เท่าเทียมกัน มันเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ ไม่น่าแปลกใจที่จ้าวหู่จะพ่ายแพ้ต่อหยางไค่ จากความสามารถของหยางไค่ที่แสดงออกมา แม้ว่าจ้าวหู่จะแสดงความสามารถทั้งหมดออกมาเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยางไค่
แต่ว่า ทำไมหยางไค่จึงมีความสามารถที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ? ถ้าหากเขามีความสามารถเช่นนี้ แล้วทำไมที่ผ่านมาเขาจึงพ่ายแพ้ทุกครั้ง ? หยางไค่เข้าสู่สำนักหลิงเซี่ยวเป็นระยะเวลา 3 ปี เมื่อเขาเข้าสู่สำนักเป็นเวลา 1 ปี เขาจะสามารถท้าประลองยุทธุ์กับคนอื่นๆ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาไม่เคยที่จะชนะการท้าประลองยุทธุ์ ซึ่งเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี
แต่สิ่งที่ทำให้ซู่มู่ตะลึงมากที่สุดคงเป็นเรื่องอย่างหลัง เดิมทีเขาคิดว่าความสามารถของหยางไค่ไม่สามารถเทียบได้กับหลี่หยุนเทียน แต่เมื่อหยางไค่สามารถเอาชนะหลี่หยุนเทียนมันเป็นเหลือที่น่าเหลือเชื่อ ไม่มีทางที่หยางไค่จะเป็นฝ่ายชนะ แต่เมื่อหยางไค่สามารถเอาชนะหลี่หยุนเทียนได้ ทำให้พวกเขาต่างบ่นพึมพาเช่นนกอีกา พวกเขาไม่กล้าที่จะเชื่อสายตาของตนเอง
กายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 4 เอาชนะกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 7 เรื่องเช่นนี้ในประวัติศาสตร์ของสำนักหลิงเซี่ยวไม่เคยเกิดขึ้นในรอบหลายร้อยปี หรือว่า ปลาเค็มเหม็นเน่ามีโอกาสที่จะพลิกผันชะตาชีวิตของตนเอง ?
ในขณะที่ซู่มู่กำลังตกอยู่ในภวังค์ ซู่มู่รู้สึกว่ามีคนตบไหล่ของเขาเบาๆ เขาหันหลังมองออกไป มองเห็นหยางไค่ที่ถือไม้กวาด จ้องมองมาที่เขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและเป็นมิตร ก่อนจะกล่าวทักทายอย่างมีความสุข : “ศิษย์น้องซู่ ครั้งหน้าถ้ามีเรื่องราวดีๆ โอกาสดีๆเช่นนี้ อย่าลืมบอกข้าด้วยล่ะ !!”
“เจ้ารู้ตั้งแต่แรก ?” มุมปากของซู่มู่กระตุกอย่างรุนแรง
หยางไค่หัวเราะ : “ศิษย์น้องหลี่คนนั้น แม้ว่าเมื่อวานเขาจะหลบอยู่หลังของฝูงชน แม้ว่าศิษย์พี่คนนี้จะไร้ซึ่งความสามารถ แต่ศิษย์พี่คนนี้มีความจำที่ยอดเยี่ยม”
“ร้ายกาจจริงๆ” ซู่มู่ขบฟันแน่น จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่าเขาและคนอื่นๆ ตกหลุมพรางของหยางไค่อย่างจัง
“มิได้มิได้” หยางไค่หัวเราะ “ใช่แล้ว พรุ่งนี้ข้ายังสามารถท้าประลองยุทธุ์ได้ ใน 1 วัน เรามีโอกาสที่จะท้าประลองยุทธุ์ต่อคนอื่นๆ ได้ 1 ครั้ง พวกเจ้าโปรดเตรียมตัว พรุ่งนี้ข้าจะมาเล่นสนุกกับพวกเจ้าอีกครั้ง”
ใบหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดและรู้สึกเย็นหวาบที่สันหลัง เมื่อได้ยินคำกล่าวของหยางไค่ พวกเขาเข้าใจความหมายของมันทันที พวกเขารู้สึกว่าหยางไค่ได้รับประสบการณ์ที่หวาดหอมจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และเขาค่อนข้างที่จะชื่นชอบมันอย่างมาก เมื่อมองเห็นสภาพของหลี่หยุนเทียน และเปรียบเทียบความสามารถของหลี่หยุนเทียนกับพวกเขา ทุกคนต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอนาทอย่างแน่นอน ก่อนที่พวกเขาจะกล่าวถามซู่มู่ด้วยความหวาดกลัว : “นายน้อยซู่ เรื่องนี้จะทำอย่างไรต่อไป ?”
ซู่มู่ไม่ยอมแพ้ เพราะอย่างไรการท้าประลองยุทธุ์เป็นกฎของสำนัก ศิษย์สาวกคนไหนที่ไม่เคยถูกท้าประลองยุทธุ์ ? แม้ว่าเขาจะมีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง แต่ก็มิกล้าที่จะทำผิดกฎของสำนัก
“วางใจได้ เขากล่าวเช่นนี้เพราะต้องการที่จะทำให้พวกเจ้าหวาดกลัว ถ้าหากว่าเขากล้าที่จะมาท้าประลองยุทธุ์ เขาจะทำให้มันได้รับบทเรียนที่สาสม”
เมื่อได้ยินซู่มู่กล่าวเช่นนี้ จึงทำให้พวกเขาวางใจ
หยางไค่เพิ่งคิดได้ ว่าหอประลองยุทธุ์มีกฎเช่นนี้ที่สามารถท้าประลองยุทธุ์ 1 วันต่อ 1 ครั้ง ที่ผ่านมาเขาไม่กล้าที่จะใช้อำนาจของกฎนี้ จึงทำให้เขาลืมมันไป วันนี้หลี่หยุนเทียนตักเตือนเขาในกฎของข้อนี้ ทำให้หยางไค่จำมันได้
ท้าประลองยุทธุ์ 1 วันต่อ 1 ครั้ง เอาชนะศิษย์สามัญ 1คนได้รับแต้มแห่งชัยชนะจำนวน 2 แต้ม แต่เมื่อสะสมทุกๆวันเป็นระยะเวลา 1 เดือน ผลสะสมที่ได้ก็เป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้น การบ่มเพาะพลังพลังการต่อสู้ไม่สามารถเปิดตัวเองออกจากโลกภายนอก ทุกๆวันการแลกเปลี่ยนวิชายุทธุ์กับศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านี้ ต่อสู้ซึ่งกันและกัน แม้ว่ามันอาจจะเป็นอันตราย แต่ไม่ได้สูญเสียเวลามากนัก หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเป็นการผ่อนคลายร่างกายและยังได้รับแต้มแห่งชัยชนะอีกด้วย
วันนี้หยางไค่ได้รับผลตอบจากการท้าประลองยุทธุ์เป็นจำนวนมาก ไม่เพียงได้รับแต้มแห่งชัยชนะเป็นจำนวน 2 แต้ม ยังได้รับต้นหญ้าสลายวิญญาณจำนวน 10 ต้น เป็นผลตอบแทนที่คุ้มอย่างยิ่ง
ถ้าหากว่าทุกๆวันมีคนมอบสมุนไพรให้เขาเป็นจำนวน 10 ต้นมันคงเป็นเรื่องที่ดี !! หยางไค่เริ่มครุ่นคิดอย่างเรื่อยเปื่อย
เมื่อกลับมาถึงกระท่อมไม้เขารีบเอากระถางธูปออกมา ก่อนจะจุดมันให้เผาไหม และเริ่มต้นที่จะฝึกฝนวิชายุทธ์ที่ยากลำบากของเขาอีกครั้ง