ตอนที่ : 7 กายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 4 ลมปราณแรกเริ่ม
แม้ว่าในปีนี้หยางไค่จะมีอายุเพียง 15 ปี แต่หลังจากที่เขาได้เผชิญหน้ากับประสบการณ์ที่โหดร้าย ทำให้จิตใจของเขาเติบโตมากกว่าสหายในรุ่นเดียวกัน แต่เป็นเพราะประสบการณ์ที่โหดร้ายนี้ จึงทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใดแม้ว่ามันจะทรมาณหนักหนาสาหัสเพียงใด
ดังนั้นหยางไค่จึงสามารถสงบจิตใจของตนเองอย่างรวดเร็ว เขานั่งลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง ในมือถือตำราสีดำ และเริ่มทวนอ่านอักขระในหน้าแรกอย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากที่ตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าหน้าแรกของอักขระสีดำไม่มีสิ่งวิเศษใดๆ หลงเหลือไว้ หยางไค่จึงเปิดไปยังหน้าที่สองอย่างแผ่วเบา
เมื่อได้รับประสบการณ์จากหน้าแรกของตำราสีดำ การกระทำของหยางไค่ในจึงมีความชำนาญมากขึ้น เขาเบิกตา
กว้างและจ้องมองไปยังตำราสีดำที่ไร้ซึ่งอักขระอย่าแข็งขัน หลังจากนั้นไม่นาน ตำราสีดำเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเสมือนครั้งแรกที่อักขระสีทองค่อยๆ ปรากฏออกมา
“กายากระดูกทองคำที่แข็งแกร่ง : บันทึกแห่งกายาเริงอารมณ์ !!”
จิตใจของหยางไค่สั่นสะท้านอย่างรุนแรง !! เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นจริงดั่งที่เขาคิดไว้ มีสิ่งวิเศษซ่อนอยู่ในตำราสีดำเล่มนี้ทุกหน้า !!
หยางไค่ไม่คิดว่า ความคิดและจิตใจของเขาจะเชื่อมต่อกับหน้าที่ 2 ของตำราสีดำอย่างกะทันหัน
ทันใดนั้น อักขระสีทองที่อยู่ในตำราสีดำได้แปรเปลี่ยนรูปร่างเสมือนปลาที่มีชีวิตซึ่งกำลังแหวกว่ายออกมาจากตำราสีดำ ซึ่งก่อให้เกิดเป็นเงาสีทองอร่าม พุ่งเจาะเข้าไปหน้าผากของหยางไค่ หลังจากที่แสงสีทองมลายหายไป หยางไค่รู้สึกว่าจิตใต้สำนึกของเขามีบางสิ่งบางอย่างที่เพิ่มขึ้น และสิ่งของชิ้นนั้น ก็คือสิ่งขอี่อักขระสีทองนำพามาให้แก่เขา
หลังจากที่สามารถสงบสติอารมณ์ที่ตื่นตระหนก หยางไค่ค่อยๆปิดตาลงและเริ่มที่จะกลั่นกรองความรู้ที่อยู่ในจิตใต้สำนึก
ในความเป็นจริงเขาไม่จำเป็นต้องกลั่นกรองความรู้จากอักขระสีทอง เพราอักขระสีทองได้ปรากฏอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขาอย่างแจ่มชัด เพียงใช้ความคิดอ่านของตนเองเพียงเล็กน้อย จะสามารถเข้าใจความหมายของพวกมันทันที และยังเข้าใจความหมายของมันอย่างละเอียดถี่ถ้วนเสมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
“นี้คือตำราบันทึกแห่งกายาเริงอารมณ์ !!” หยางไค่พึมพำกับตัวเอง เขาค้นพบว่ามันเป็นบันทึกแห่งศิลปะการต่อสู้
บันทึกแห่งศิลปะการต่อสู้ที่ดูธรรมดาสามัญแต่มีความลับที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่ภายใน เพราะศิลปะการต่อสู้มีข้อกำหนดที่เข้มงวดอย่างมาก ผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้หันหน้าไปทางทิศตะวันออกและต้องฝึกฝนในขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นจากทิศตะวันออก
หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้สามารถฝึนฝนได้เพียงครึ่งชั่วยามต่อหนึ่งวันเท่านั้น
ตอนนี้เพิ่งเข้าสู่ช่วงเวลายามค่ำคืน ดังนั้นเขาต้องรออย่างน้อย 5-6 ชั่วยามถึงจะสามารถพบกับวันใหม่ในวันรุ่งขึ้น ตลอดทั้งวันที่ผ่านมาเขาพบเจอกับความทุกข์ทรมาณและกินมันเทศไปเพียง 1 ชิ้น ทำให้ท้องของเขาร้องอย่างครวญคราญ แม้ว่าร่างกายจะเมื่อยล้าสักเพียงใด แต่เมื่อได้รับตำราสีดำที่เป็นสมบัติล้ำค่า จึงทำให้สติของเขาตื่นตัวตลอดเวลา
เวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วยามเขายังคงนอนไม่หลับ เขาจึงตัดสินใจที่จะเปิดหน้าที่สามของตำราสีดำ
แต่มันก็ทำให้เขาผิดหวังอย่างรุนแรง ไม่ว่าเขาจะตรวจสอบ หรือ จับจ้องไปยังที่สามของตำราสีดำก็ไม่อาจที่จะพบเจอกับอักขระสีทองเช่นเดิม ตำราสีดำไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในที่สุดเขาจึงผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า
เมื่อหยางไค่ตื่นขึ้นมา เป็นช่วงเช้ามืดที่ดวงอาทิตย์กำลังจะขึ้นจากขอบฟ้า ความมืดในยามเช้าบดบังทุกสิ่งอย่าง ความนิ่งครอบคลุมทุกพื้นที่ หอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยวเงียบสงบ มีเพียงเสียงครวญคราญแห่งสรรพสัตว์ที่กำลังออกหาอาหารในยามเช้าดังแว่วดังมา
จิตใจที่มีเรื่องค้างคา ทำให้หยางไค่ลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว เขาค่อยๆเดินออกไปยังด้านหน้าของกระท่อมและสูดหายใจจากอากาศที่บริสุทธ์ยามเช้า จึงทำให้เขาผ่อนคลายลงอย่างมาก
หยางไค่สัมผัสรุ่งอรุณของวันใหม่โดยที่ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ หยางไค่ลืมตาจากการสูดหายใจและใช้ความคิดอ่านเพื่อเรียนรู้บันทึกกายาเริงอารมณ์ที่บันทึกศิลปะการต่อสู้ที่เขาได้ร่ำเรียนมานับครั้งไม่ถ้วน เขาได้วางท่าที่คุ้นเคยและเริ่มใช้ความคิดอ่านในจิตใจที่เชื่อมต่อกับตำราสีดำและอักขระสีทอง
มือทั้งสองปลุกปั้นรูปฝ่ามือ เคลื่อนไหวอย่างอ่อนโอนโยน ซ้ายขวาผลักออกไป และผลักดันอีกหนึ่งหน โอบกอดฟ้าสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ สัมผัสห้วงอากาศแห่งโลกา สองเท้าเหยียบธรณีแสนศักดิ์สิทธิ์ ครอบคลุมดวงจันทราและดวงดาว
เท้าซ้ายก้าวออกไป เท้าขวาเหยียบขอบฟ้า ก้าวออกไปอย่างเชื่องช้า หนึ่งก้าวปรากฏแสงสีแดงแห่งนรก ช่วงระหว่างลมหายใจ ก่อกำเนิดความรุ่งเรือง เติมเต็มจิตวิญญาณ เสมือนบุพผาบานสะพรั่ง ในยามใบไม้ผลิที่สมบูรณ์ ใบไม้ผลิมลายหาย แสงอาทิตย์สาดส่องความร้อนแรง ทั่วอาณาหอมกลิ่นปัทมาที่เบ่งบาน
สายลมแห่งใบไม้ร่วงเริ่มโหยหา ความสำเร็จสีทองที่ยิ่งใหญ่ ดวงใจแห่งมนุษย์ที่รื่นรมย์ ลมหนามเข้าแทรกซึม ส่งสัญญานหิมะที่หนาวเหน็บ สีขาวบริสุทธิ์แห่งหิมะ จะครอบคลุมทุกสิ่งอย่าง
การวางท่าที่สง่างามของหยางไค่เริ่มเกิดปัญหา หมัดและเท้าของเสมือนถูกหินถูกกดทับจากหินที่มีน้ำหนักว่าหมื่นจิน ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถที่จะฝึกฝนวิชายุทธ์ต่อไปได้อีก
คากกกกกก…..ตามด้วยเสียงระเบิดแตกหัก ใบหน้าของหยางไค่แปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดในทันที ร่างกายของเขาซวนเซและล้มคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรุนแรง
แม้ว่าจะฝึกฝนอยู่ในจิตใจนับครั้งไม่ถ้วนและตระหนักอย่างชัดเจนว่าศิลปะการต่อสู้นี้ไม่ใช่วิชายุทธ์ที่สามัญ แต่หยางไค่ไม่คาดคิดเลยว่า บันทึกแห่งกายาเริงอารมณ์จะมีเทคนิคที่ลึกลับถึงขั้นนี้
เพียงระยะเวลาสั้นที่ผ่านมา หยางไค่รู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกได้กดทับร่างกายของเขา ภายใต้การกดทับที่ยิ่งใหญ่เขายังสามารถรับรู้ความรู้สึกทุกสิ่งอย่างของมนุษย์และสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งปวง
บันทึกแห่งกายาเริงอารมณ์นี้ สิ่งที่ฝึกฝนไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้ แต่เป็นการฝึกฝนการเปลี่ยนแปลทางโลก ชะตากรรมของโลก การดับสูญของชีวิต ความทุกข์ความสุขแห่งช่วงชีวิต ความดีความชั่วที่กลมกลืนเป็นหนึ่ง การเคลื่อนไหวอย่างช้าของหนึ่งหมัดหนึ่งเท้าจะส่งผลกระทบต่ออำนาจของสวรรค์และโลก รวมไปถึงกฎแห่งความมหัศจรรย์ที่ลึกลับและยิ่งใหญ่
เมื่อสักครู่หยางไค่ได้ผลักฝ่ามืออกไปด้านหน้า 6 ครั้ง ก้าวออกไป 3 ก้าว แต่การกระทำนี้ยังไม่มีความคืบหน้าแม้แต่น้อยนิดของบันทึกแห่งกายาเริ่มอารมณ์ มันกลับกลายเป็นเรื่องยากที่จะกระทำต่อไป เสียงคากๆ ที่ดังก้องออกมา นั้นคือเสียงกระดูกที่จากกระดูกสันหลังของเขา ซึ่งทำให้เขาเชื่อว่ากระดูกสันหลังของเขาได้ถูกทำลายลง
เมื่อตรวจสอบอย่างรวดเร็ว จึงพบว่าด้านหลังของเขาเจ็บปวดอย่างแผ่วเบา ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างที่ตนคิดไว้
หยางไค่เริ่มควบคุมสติของตนให้นิ่งสงบอีกครั้ง เขาเริ่มวางกระบวนท่า แล้วปฏิบัติตามกฎของบันทึกแห่งกายาเริงอารมณ์อีกครั้ง
เพราะก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้เตรียมจิตใจที่เพียบพร้อมในการฝึกยุทธ์จึงทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์และไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกที่ชัดเจน ในครั้งนี้ มีคำกล่าวเตือนจากรอบที่แล้ว ทำให้หยางไค่เริ่มปลดปล่อยลมหายใจตามธรรมาชาติ ควบคุมสติของตนให้นิ่งสงบ พร้อมกับการร่ายรำศิลปะการต่อสู้แห่งกายาเริงอารมณ์อย่างช้าๆ หยางไค่เริ่มเริ่มรู้สึกถึงอารมณ์และความรู้สึกเช่นที่ผ่านมาอีกครั้ง แต่ความรู้สึกในครั้งนี้ชัดเจนกว่าครั้งที่ผ่านมาอย่างมาก
ประสาทสัมผัสทั้ง 5 เริ่มรับรู้สัมผัสที่ผิดแปลก แต่ไม่สามารถกล่าวได้อย่างชัดเจนว่ามันคือสิ่งใด ไม่เพียงแค่นั้น จากการกระทำที่ต่อเนื่อง ฝ่ามือและเท้าของเขาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เสมือนว่ามีมหาสมุทรอยู่เบื้องล่าง ซึ่งยากต่อการปิดกั้น และยากต่อการถอนตัว
คาก !! คาก !! เสียงดังก้องทุกขณะ ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวของหยางไค่มีเสียงแตกหักของกระดูกดังก้องออกมาตลอดเวลา ซึ่งก่อให้เกิดความเจ็บปวดที่แทรกซึมไปทั่วร่างกาย แต่เขาไม่ไหวติงต่อความเจ็บปวด ในตอนนี้ความดื้อรั้นของเขาได้ปรากฏออกมาอย่างแจ่มชัด
ชั่วพริบตา ร่างกายของหยางไค่ถูกชโลมด้วยเหงื่อที่ผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง มือและเท้าของเขาสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง เปรียบเสมือนว่าโลกสวรรค์ต่างหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา ซึ่งหนักหน่วงอย่างมหาศาล
ภายใจจิตใจของเขาปั่นป่วนตลอดเวลา
แต่ทันใดนั้นความอบอุ่นได้แผ่นซ่านเข้ามาในร่างกาย ซึ่งสามารถบรรเทาอาการเจ็บปวดภายในร่างกายอย่างรวดเร็วหยางไค่เริ่มดึงสติของตนเองอีกครั้ง และเริ่มต้นปฏิบัติด้วยความตั้งใจที่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง เขารู้ดี ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาเกิดจากกระดูกทองเข้าที่หลอมรวมกับร่างกายของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าบันทึกแห่งกายาเริงอารมณ์คือสิ่งที่ควบคุมกับกระดูกทองคำ
ดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า ศิษย์แห่งหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยวที่อยู่ห่างไกลจากกระท่อมของเขา เริ่มต้นฝึกฝนวิชายุทธ์อีกครั้ง ร่างกายของพวกเขาต่างชุ่มช่ำด้วยเหงื่อเสมือนเม็ดฝน พวกเขาเริ่มฝึกฝนวิชายุทธ์อย่างตั้งใจเพื่อการค้นพบตัวเขาเองในอนาคต
ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายของหยางไค่ไม่มีความรู้สึกที่โดนกดทับเมื่อครั้งที่แล้ว และเขารู้ดีว่าไม่สามารถที่จะฝึกฝนบันทึกแห่งกายาเริมอารมณ์
บันทึกแห่งกายาเริงอารมณ์กล่าวไว้อย่างชัดเจน ทุกครึ่งชั่วยามขณะที่พระอาทิตย์ขึ้น จึงจะสามารถฝึกฝนวิชายุทธ์แห่งบันทึกกายาเริงอารมณ์
ความพยายามของเขาดูเหมือนจะสูญเปล่า หยางไค่ล้มลงกับพื้น และสูดหายใจเข้าอย่างรุนแรง ในขณะที่เขากำลังหายใจเข้าออกได้มีรัศมีแสงสีม่วงกลืนเข้าไปกับลมหายใจของเขาและมลายหายไปทันที ทันใดนั้นเอง หยางไค่มีความรู้สึกที่สดชื่น กระปรี่กระเปร่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เสมือนว่าภายในร่างกายกำลังมีการเคลื่อนไหวบางอย่างที่น่าพิศวง
หยางไค่ตื่นตกใจ ฟุ้งซ่านจนไม่สามารถที่จะเก็บความรู้สึกของตนเองได้ การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ทำให้เขาตื่นตะลึงอย่างมาก
ความรู้สึกของลมปราณ !! ตัวเขามีลมปราณไหลเวียนอยู่ในร่างกาย หรือจะกล่าวได้ว่า ตัวเขาเองได้ก้าวข้ามกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 3 และกำลังก้าวไปสู่กายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 4
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ทำให้หยางไค่มมีความสุขที่สุด ตั้งแต่ที่เขาเข้าสู่หอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยว ระยะเวลาสามปีเขาฝึกยุทธุ์อยู่ในขั้นที่ 3 ของกายาเริงอารมณ์เท่านั้น แต่วันนี้เขาได้ฝึกฝนวิชายุทธ์เพียงครึ่งชั่วยาม กลับสามารถทำให้เขาก้าวไปสู่ขั้นที่ 4 ของกายาเริงอารมณ์ได้
การฝึกยุทธ์แห่งกายาเริงอารมณ์มีทั้งหมด 9 ขั้น ขั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 3 เพียงทำให้ร่างกายมีความแข็งแกร่งแต่ไม่ได้มีความพิเศษใดๆ หลังจากที่ก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 4 เส้นชีพจรลมปราณจะสร้างลมปราณและไหลเวียนอยู่ในร่างกายอย่างอ่อนโยน
เมื่อก่อกำเนิดลมปราณ จึงจะสามารถฝึกฝนวิชายุทธ์ในขั้นต่อไปได้
แม้ว่าในเวลานี้ร่างกายของเขาจะก่อกำเนิดลมปราณ แต่ร่างกายของเขายังไร้ซึ่งลมปราณแห่งพลัง ต้องฝึกฝนวิชายุทธ์ไปถึงขั้นที่ 7 ภายในร่างกายจึงจะก่อกำเนิดลมปราณแห่งพลัง เมื่อฝึกยุทธ์ไปถึงขั้นที่ 9 ร่างกายจะเปิดจุดที่เชื่อมประสานระหว่างร่างกาย ลมปราณแห่งพลังเริ่มไหลเวียน ผสานลมปราณแห่งสวรรค์ ก้าวข้ามเขตแดนแห่งลมปราณ แล้วพลังที่แข็งแกร่งจะกลายเป็นของตัวเองอย่างแท้จริง
เปิดจุดเชื่อมประสาน ก้าวข้ามเขตแดนแห่งลมปราณ จึงจะเป็นจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของนับรบ
ทุกเขตแดนของกายาเริงอารมณ์ เป็นการวางรากฐานในอนาคตของผู้แข็งแกร่งทุกคน รากฐานของเขตแดนอาจจะไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของบุคคลนั้น กระดูกและร่างกายของท่านจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนถึงจุดสูงสุด
ในตอนนี้หยางไค่เริมก้าวข้าวสู่ขั้นที่ 4 แห่งกายาเริงอารมณ์ ลมปราณแรกเริ่ม สำหรับบุคคลอื่นๆ อาจจะไม่ยิ่งใหญ่ แต่สำหรับหยางไค่แล้วนั้น มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีและเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ที่สุด