ตอนที่ 21 ข้ายอมให้เจ้า 3 กระบวนท่า
ร่องรอยบาดแผลที่อยู่บนร่างกายคือสิ่งที่หลงเหลือจากกาตร่อสู้กับแมงมุมปีศาจยักษ์ ตอนนั้นเขาไม่มีเวลาจัดการกับบาดแผล เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านวู่เหม่ยเขารีบหาแพทย์ให้แก่ยุวชนตัวน้อย จากนั้นเขาจึงได้ทรุดตัวลงจากความเหนื่อยล้าจนผล็อยหลับไปเมื่อรู้ว่ายุวชนตัวน้อยปลอดภัย
หยางไค่ผล็อยหลับจนกระทั่งรุ่งเช้า หลังจากที่หยางไค่เห็นว่ายุวชนตัวน้อยฟื้นคืนสติเขาจึงวางใจและกลับมายังสำนักหลิงเซี่ยว ในระยะไกลเขามองเห็นฝูงชนจำนวนมากมายกำลังรายล้อมกระท่อมไม้ของเขา และยังมีคนถือคบเพลิงเสมือนว่ากำลังจะเผากระท่อมของเขา หยางไค่ไม่มีวันยอมอย่างแน่นอน เขาจึงเดินไปกล่าวถาม ไม่คิดเลยว่าซู่มู่กำลังมาหาเรื่องเขา
ผู้สั่งการอปรากฎอยู่ตรงหน้า ซู่มู่ที่เผากระท่อมไม่สำเร็จไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย แต่เขากลับรู้สึกตื่นเต้น ชี้ไปที่หยางไค่และกล่าว : “หยางไค่ อย่ากล่าวว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า เพียงแค่เจ้า……………………”
“เจ้ารอก่อน” หยางไค่ยกมือหยุดยั้งเขา จากนั้นเขาได้เดินเข้าไปในกระท่อม
“เฮ้ย…………….” ซู่มู่กลืนคำพูดของเขาเข้าไปในท้อง เขารู้สึกเหมือนว่าได้กินแมลงวันตัวหนึ่งเข้าไป และยังเป็นแมลงวันที่เพิ่งบินขึ้นมาจากมูลสัตว์ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่ทรมาณและอึดอัดอย่างมาก
“นายน้อยซู่ มันไม่ให้เกียรตินายน้อยเลย” มีใครบางคนกล่าวหาความยุติธรรมให้แก่ซู่มู่
“ฮึ !!” ซู่มู่หัวเราะอย่างเยือกเย็น “ข้าจะทุบตีมันให้สาสมใจ ได้ยินมาว่าไอ่เด็กเหลือขอคนนี้ไม่เคยยอมแพ้ ดังนั้นอย่างหวังว่าข้าจะใจอ่อนข้อให้ วันนี้ต้องสั่งสอนให้มันรู้ถึงผลที่ตามมาของการมีเรื่องกับนายน้อยซู่”
“ใช่ !!”
หยางไค่เดินเข้าไปในกระท่อม เอาถุงที่อยู่บนหลังลงมา ในถุงผ้าของเขามีสมุนไพรที่เขาใช้เวลาค้นหาเก็บเกี่ยวถึงสามวัน ถ้ายังไม่เอามันลงมาไว้ในที่ปลอดภัย หยางไค่ยังคงไม่วางใจ
หลังจากที่วางถุงผ้าไว้ในสถานที่ปลอดภัย หยางไค่เดินออกไปอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงจังมองไปยังซู่มู่และกล่าวต่อเขา : “เมื่อสักครู่เจ้าจะกล่าวอะไร ?”
ซู่มู่มองเขาด้วยสีหน้าที่เกลียดชัง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เสมือนกำจังจะกระอักเลือดออกมา
คำพูดที่เขาจะกล่าวเมื่อสักครู่ เขาได้ฝึกซ้อมมาอย่างดี แต่ยังไม่ทันที่จะกล่าวจบกลับถูกหยางไค่ขัดจังหวะ ในตอนนี้เขายังวกกลับมากล่าวถามอีกครั้ง เขาจึงตะโกนอย่างไม่รีรอ : “หยางไค่ อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้า เพียงแค่เจ้าคุกเข่าให้ข้า เรียกข้าว่านายท่าน ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า !! ไม่เช่นนั้น……….ฮึฮึฮึ………………….”
เสียง ฮึฮึฮึนั้นยาวเหยียดอย่างมาก ทำให้เกิดความรู้สึกที่กำลังถูกกดดันอย่างหนัก
เมื่อเขากล่าวเสร็จ เขามองไปยังหยางไค่ด้วยใบหน้าที่มีความต้องการแก้แค้น เสมือนว่าเขาจะฆ่าหยางไค่จริงๆ
หยางไค่พยักหน้าช้าๆ มองไปยังซู่มู่ด้วยจิตใจที่ขมขื่น
“ทำไม ?” ซู่มู่รู้สึกสงสัย เพราะใบหน้าของหยางไค่เต็มไปด้วยความสงบ ทำให้จิตใจของเขารู้สึกระสับกระส่าย ในหมู่บ้านวู่เหม่ยหยางไค่เคยทำให้เขารู้สึกอับอาย ทำให้จิตใจของเขายังคงบอบช้ำจากประสบการณ์ในครั้งนั้น
“อกตัญญู !! ’ หยางไค่ถอนหายใจ
ฝูงชนที่อยู่รอบบริเวณตะลึง ซู่มู่ตะลึง จิตใจของพวกเขาต่างครุ่นคิดว่าทำไมถึงอกตัญญู ?
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?” ซู่มู่กล่าวถามอย่างดุดัน
“ไม่เข้า ? ข้าจะสอนเจ้าเอง !!” ใบหน้าของหยางไค่เต็มไปด้วยเจตนาดี เขาได้กล่าวอย่างอ่อนโยน : “ข้าขอถามเจ้า เจ้ามีผู้อาวุโสอยู่ในหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยวใช่ไหม ?”
“เหมือนว่าเจ้าจะมีดวงตา !!” หางของซู่มู่เกือบจะลอยขึ้นสู่สวรรค์
หยางไค่หัวยิ้มเบาๆ ในใจเขาคิดว่าการที่ซู่มู่ประโคมเข้ามาแก้แค้นเขา เพราะว่าเขามีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ถ้าหากไม่มีผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องสูง เขาคงไม่กล้าทำอะไรที่บุ่มบ่ามและเปิดเผยเช่นนี้ และซู่มู่ยังจะเผากระท่อมของเขาด้วย
“ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาคงไม่ใช่คนที่อยู่ในตำแหน่งเล็กๆ” หยางไค่ได้กล่าวถามต่อ
“ผู้อาวุโส !!” ซู่มู่สบท : “ข้ายังมีพี่สาวคนหนึ่งที่เป็นศิษย์ที่เก่งกล้าของที่นี้ !! เพียงแค่เขาลงมือด้วยนิ้วมือเพียงนิ้วเดี่ยวก็สามารถฆ่าเจ้าได้ !!”
หยางไค่เริ่มเข้าใจทุกอย่าง เริ่มเข้าใจเกี่ยวกับซู่มู่ เขาจึงตบไหล่ตนเองและกล่าว : ‘มันก็ถูกแล้ว เจ้ามันอกตัญญู !! ”
“อะไรคือสิ่งที่ถูกหรือผิด ?” ซู่มู่เกรี้ยวโกรธ เขาถูกหยางไค่ปั่นหัวจนเกือบจะเสียสติ และยังคงไม่รู้ว่าหยางไค่ต้องการพูดอะไร
“เรื่องง่ายๆแค่นี้ไม่ต้องคิดก็สามารถเข้าใจได้ สมองของเจ้าเติบโตมาได้อย่างไร ?” หยางไค่ขมวดคิ้ว มองไปยังซู่มู่ด้วยสายตาที่น่าสมเพชและอดทนกล่าวอธิบาย : “พี่สาวของเจ้าก็คือศิษย์พี่ของข้า ข้าจะเรียกเจ้าว่าอย่างไร พี่สาวของเจ้าจะเรียกเจ้าว่าอย่างไร ? ผู้อาวุโสท่านนั้นจะเรียกเจ้าว่าอย่างไร ? อกตัญญู !! อกตัญญูจิรงๆ ถ้าหากข้าเป็นผู้อาวุโสท่านนั้น ข้าจะจับเจ้าขังไว้ในคุกมังกร ชั่วชีวิตนี้ไม่ให้เจ้าออกมาจากคุกแห่งนั้น”
ร่างกายของซู่มู่สั่นสะท้าน ใบหน้าซีดขาว คุกมังกร เป็นสถานที่น่าหวาดกลัวที่สุดของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว หอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวก่อตั้งมาหลายร้อยปี มีศิษย์สาวกหลายสิบรุ่น มีศิษย์จำนวนหนึ่งที่อออกจากสำนักของอาจารย์แล้วกระทำเรื่องที่เลวร้าย ก่อเรื่องชั่วร้ายที่สั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ เมื่อศิษยืเหล่านี้ถูกจับ จะถูกทำลายวิชายุทธุ์ที่ฝึกฝนมาทั้งหมด ถูกโยนเข้าไปในคุกมังกร คนที่เข้าไปในคุกแห่งนี้ก็ได้แต่รอความตายเท่านั้น
คุกมังกร ทั้ง 3 คำ เป็นสถานที่ที่โหดเหี้ยมซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้สึกกันอย่างกว้างขวาง
ซู่มู่ไม่ได้หวาดกลัวหยางไค่ แต่เมื่อได้ยินคำว่า คุกมังกร ทำให้เขาค่อนข้างที่จะหวาดกลัว
เมื่อสัมผัสได้ว่ากิริยาของซู่มู่ไม่ปกติ คนที่ติดตามเขามารีบกล่าวอย่างกะทันหัน : “นายน้อยซู่ ไอ่เด็กเหลือขอคนนี้มันปากดี มันมีความมั่นใจกับคำพูดของมัน ในวันนี้พวกเราจึงมาช่วยระบายความโกรธแค้นของนายน้อย”
“อืม” ซู่มู่ฟื้นคืนสติ เขารู้สึกอับอายและกล่าวอย่างโกรธเคือง : “หยางไค่ อย่ากล่าวอะไรที่มันไม่มีจริง ถ้าหากวันนี้เจ้าไม่คุกเข่าเพื่อขอโทษข้า ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกผิดที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ !!”
ดวงตาของหยางไค่ประกายด้วยความเย็นชา เขาลูบหมัดของตนเองและกล่าว : “ศิษย์น้องซู่ต้องการประลองยุทธุ์กับข้า ?”
ซู่มู่กล่าวตอบด้วยความเกลียดชัง : “ข้าอยากลอง แต่ว่าเจ้ามันอ่อนแอ ไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้น !! เขตแดนของข้าอยู่ในระดับกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 9 !!”
เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ หยางไค่เข้าใจในทันที สำนักออกกฎให้ศิษย์สาวกประลองยุทธุ์ได้โดยมีความแตกต่างระดับขั้นไม่เกิน 3 ขั้น ซู่มู่มั่นใจว่าเขาไม่สามารถประลองยุทธุ์กับหยางไค่ได้ เพราะระดับขั้นของพวกเขาแตกต่างเกินไป
นี้ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมซู่มู่ถึงนำพาคนมามากมาย คนเหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อชื่นชมการประลองยุทธุ์เท่านั้น
ซู่มู่มองไปที่หยางไค่ด้วยใบหน้าที่เกลียดชัง เขาแสะยิ้มที่มุมปากเอียงศรีษะและกล่าว : “ทุกท่าน ศิษย์พี่หยางไค่ท่านี้ได้ฝึกฝนวิชายุทธุ์จนถึงขั้นกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 3 ศิษย์พี่ศิษย์น้องคนไหนต้องการจะประลองยุทธุ์กับเขาหรือไม่ ?
“ระดับกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 3 ระดับขั้นที่สูงมาก !!” คนส่วนหนึ่งหัวเราะเยาะเย้ยเขา ฝูงชนที่อยู่ในเหตุการณ์ ทุกคนต่างเข้าสำนักหลังจากเขา แต่เขตแดนของพวกเขากลับสูงกว่าเขา
“นายน้อยซู๋ ข้าเอง !! เขตแดนของข้าต่ำที่สุด เป็นเพียงกายากเริงอารมณ์ขั้นที่ 5 คงจะสามารถเล่นสนุกกับศิษย์พี่หยางได้ !!” ศิษยืคนหนึ่งได้กล่าวต่อหน้าฝูงชน เขาเดินออกมา มองไปยังหยางไค่ด้วยสายตาที่เหยียดหยาม
หยางไค่มองไปที่เขาและหัวเราะ หัวเราะที่ข้อมูลของพวกเขาเหลื่อมล้ำเช่นนี้
ห้าวันก่อนเขตแดนของเขาอยู่ในระดับกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 3 แต่ในวันนี้มันไม่ใช่ระดับเดียวกันอีกแล้ว
แต่แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้หยางไค่ไม่มีวันเผยแพร่ออกไปห้าวันก้าวข้ามเขตแดน 2 ขั้น ความเร็วของมันผิดแปลกไป
คนที่มาพร้อมกับซู่มู่ได้กล่าว : “ศิษย์พี่หยาง ข้าชื่อจ้าวฮู่ ศิษย์พี่ต้องจำเอาไว้ว่าวันนี้ใครที่เป็นคนทุบตีท่าน !!”
“ข้าจำเอาไว้แล้ว” ใบหน้าของหยางไค่เต็มไปด้วยความจริงจัง
ดูเหมือนว่าจ้าวฮู่พยายามที่จะกู้หน้าให้แก่ซู่มู่ ก่อนที่เขาจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับกับการต่อสู้ เขาพุ่งไปหาหยางไค่เกี่ยวก้อยกับหยางไค่และกล่าว : “ศิษย์พี่หยาง อย่ากล่าวว่าศิษย์น้องที่ไม่ไว้หน้าท่าน ข้าจะยอมให้ท่าน 3 กระบวนท่า ถ้าหากว่าท่านสามารถทำให้ขาของเคลื่อนที่ได้ก็ถือว่าท่านชนะ ถ้าหากว่าไม่สำเร็จ อย่าหาว่าศิษย์น้องคนนี้เหี้ยมโหด”
การกระทำที่ยั่วยุนี้ ทำให้ซู่มู่รู้สึกปลาบปลื้มใจ จิตใจของเขาสบทด้วยความสะใจ จ้าวฮู่คนนี้นั้นทำงานได้ดีเยี่ยม เขารู้จักวิธีฉีกหน้าผู้อื่น วิธีที่ทำให้ผู้อื่นอับอาย เขาทำเรื่องนี้ได้อย่างดีเยี่ยม
แม้ว่ากายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 3 จะแตกต่างกับกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 5 เพียง 2 ขั้น แต่เขตแดนทั้ง 2 ขั้นมีช่องว่างขนาดใหญ่ที่ดำรงอยู่ ความสามารถและความแข็งแกร่งที่จะแสดงออกมาย่อมแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเสมือนสวรรค์และฟ้าดินที่ไม่มีวันบรรจบกัน