ตอนที่ 16 กายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 5
ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและมีความสุข ตนเองฝึกฝนวิชายุทธุ์ในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว 3 ปี อยู่ในระดับกายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 3 แต่หลังจากที่ได้ครอบครองตำราสีดำที่ไร้ซึ่งอักขระ เพียง 2 วันสามารถก้าวข้ามเขตแดนอยู่ระดับที่ 4 ของกายาเริงอารมณ์ ในเวลานี้ผ่านมาแล้ว 2 วัน มันต้องก้าวข้ามเขตแดนอย่างแน่นนอน การฝึกฝนวิชายุทธุ์จนก้าวข้ามระดับที่รวดเร็วทำให้หยางไค่รู้สึกว่ามันน่าหวาดกลัวยิ่งนัก
การฝึกฝนวิชายุทธุ์บันทึกแห่งกายาเริงอารมณ์สูญเสียพละกำลังที่ค่อนข้างมาก หยางไค่พักเอาเรี่ยวแรงเป็นช่วงเวลาใหญ่จึงค่อยๆ ฟื้นฟูพละกำลังของตนจนสำเร็จ และกินข้าวปั้นที่เหลืออยู่ไม่กี่ชิ้นจนอิ่ม เขาจึงก้าวเดินออกไปเพื่อค้นหาสมุนไพรที่เขาต้องการ
เมื่อวานเขาเดินทางไปยังบริเวณต่างๆที่อยู่ในความทรงจำของเขาเพื่อค้นหาสมุนไพรจนหมดสิ้น วันนี้โชคเข้าข้างเขาอีกหน เขาได้พบกับสมุนไพรหลายชนิดที่มีราคาไม่สูง สมุนไพรเหล่านี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสพบเจอกับมัน ดังนั้นจึงถือว่าเขาได้รับผลประโยชน์ที่คุ้มค่ากับความเหน็ดเหนื่อยของเขา
ตลอดทั้งวันของวันนี้ หยางไค่ได้พบกับสมุนไพรจำนวน 7-8 ชนิด แม้กระทั่งดอกสามใบเถาเขายังพบเจอถึง 2 ต้น ในเวลานี้เขาได้พบกับสมุนไพรที่จำเป็นต้องใช้ในการฝึกฝนวิชายุทธุ์ แต่น่าเสียดายที่จำนวนของยังน้อยเกินไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความมืดเริ่มถวิลหาแต่หยางไค่ยังเดินทางอยู่ในป่า มิใช่ว่าเขาไม่ต้องการพัก แต่ว่าเขาหิวเกินกว่าที่จะหลับนอน
แต่เดิมเขาวางแผนจะล่าสัตว์ในป่าแห่งนี้ แต่ไม่คาดคิดว่าแม้แต่กระต่ายตัวเดียวเขายังไม่พบกับมัน เขาพบเจอเพียงผลไม้ป่าที่มีขนาดเท่าเล็บมือ มีรสเปรี้ยว เมื่อเขากินเข้าไปทำให้ลำไส้รู้สึกแปรปวนและรู้สึกหิวมากขึ้น
หากล่วงรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ควรจะนำข้าวปั้นมากมากว่านี้ รู้สึกเสียดายก็คงสายไปเสียแล้ว !! บริเวณนี้ไม่มีหมู่บ้านไม่มีโรงเตี้ยม จะไปหาอาหารกินได้ที่ไหน ?
ในขณะที่หิวจนน่าอึดอัดใจ หยางไค่พบเห็นแสงแห่งการเผาไหม้ที่อยู่ในป่าด้านหน้า เขารีบดึงสติของตนกลับมา เร่งฝีเท้าไปยังบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว
คนที่กล้าจุดไฟในป่า ประการแรกต้องเป็นคนโง่เขลาที่ไม่มีประสบการณ์การใช้ชีวิตในป่าหรือประการที่ 2 อาจจะเป็นคนที่คุ้นเคยและมีความชำนาญในการใช้ชีวิตในป่า
เมื่อกำลังเข้าใกล้กับกองไฟ มีเสียงตะโกนด้วยความโกรธแว่วออกมา : “ใคร ?”
ในขณะเดียวกัน หยางไค่รู้สึกว่ากล้ามเนื้อของเขาตรึงแน่น กระดูกสันหลังเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก เขาจ้องมองไปยังกองไฟ พบเพียงเงา 2 ร่างที่มีรูปร่างสูงและรูปร่างเตี้ยที่อยู่ข้างกองไฟ
บุรุษที่มีรูปร่างสูงเป็นบุรุษที่มีร่างกายกำยำ ในมือถือคันธนู คันธนูมีลูกธนูหยักศก เขาตรึงลูกธนูไว้แน่น และชี้ไปยังหยางไค่ และบุรุษที่มีรูปร่างเตี้ยที่อยู่ข้างกายกลับเป็นยุวชนตัวน้อยที่มีอายุประมาณ 12 ปี แม้ว่ายุวชนตัวน้อยจะมีอายุเพียง 12 ปี แต่นัตย์ตาของเขาประกายด้วยความสว่าง ไม่เพียงไร้ซึ่งร่อยรองแห่งความหวาดกลัง กลับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นที่เปี่ยมล้น ในมือของยุวชนตัวน้อยยังถือคันธนู แต่คันธนูนั้นเล็กมาก อำนาจการโจมตีของมันคงจะไม่มากเช่นเดียวกัน
แม้ว่าต้องเผชิญกับคันธนูถึง 2 อัน แต่หยางไค่ไม่มีความต้งใจที่จะโต้ตอบ เขาเดินไปรอบๆ เพื่อทำให้เห็นว่าเขาไม่เป็นอันตรายต่อพวกเขาทั้งสอง
“อย่าตื่นกลัว ข้าเข้ามาในเทือกเขาเพื่อรวบรวมสมุนไพร” หยางไค่กล่าวอย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ บุรุษสูงใหญและยุวชนน้อยได้มองหน้ากัน บุรุษรูปร่างกำยำได้วางคันธนูลงอย่างช้าๆ เขาส่งสัญญานไปยังยุวชนตัวน้อย เพื่อบอกเขาว่าไม่ต้องกังวล จากนั้นจึงหัวเราะและกล่าว : “ข้าคิดว่าแสงไฟของข้าได้ดึงดูดสัตว์ป่า เป็นเพียงการแจ้งเตือนที่ผิดพลาดเท่านั้น”
“ขออภัย ขออภัยด้วย” หยางไค่หัวเราะอย่างเอียงอาย
บุรุษหนุ่มร่างกำยำกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เขาได้โบกมือและกล่าวต่อ : “เข้ามาสิ ลมกลางคืนหนาวเหน็บยิ่งนัก จะใช้ชีวิตอยู่ด้านนอกคงเดียวคงจะไม่ง่าย”
หยางไค่กล่าวขอบคุณ เขาจึงก้าวเดินไปข้างหน้า นั่งอยู่ข้างกองไฟ บุรุษร่างกำยำสังเกตุหยางไค่จนถี่ถ้วน เขาพบว่าหยางไค่มีร่างกายที่ผอมบาง จึงมีความรู้สึกที่สงสารและเห็นใจอย่างมาก
ในเมื่อพวกเขาได้อยู่ด้วยกัน มันเป็นเรื่องธรรมาดาที่จะมีการสนทนาซึ่งกันและกัน ในขณะที่สนทนาพูดคุย หยางไค่ทราบว่าทั้งสองเป็นพ่อลูกกัน อาศัยอยู่ตีนเขาด้านล่าง มีอาชีพเป็นนายพรานอาศัยการล่าสัตว์เป็นสิ่งที่หาเลี้ยงชีพ แม้ว่าฐานะของทั้ง 2 ไม่ได้มั่งคั่ง แต่มันเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาทั้ง 2 มีอาหารและเสื้อผ้าที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต โดยเฉพาะยุวชนตัวน้อยแม้ว่าจะมีอายุที่ค่อนข้างน้อย แต่มีความสามารถในการล่าสัตว์ที่ชำช่อง จากการติดตามพ่อของตนเองเข้ามาล่าสัตว์ในเทือกเขาวายุทะมึนหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ความสามารถประสบการณ์ในการล่าสัตว์มากกว่าหยางไค่เสียอีก
หยางไค่ไม่ได้กล่าวบอกว่าเขาเป็นศิษย์ของสำนักใด หลังจากที่เขาบอกว่าเขาเป็นศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ทำให้นายพรานตื่นตะลึง ยุวชนตัวน้อยเริ่มสนใจในตัวเขามากขึ้น ดวงตาที่สดใสได้จ้องมองไปยังหยางไค่ตลอดวเลา
นายพรานได้กล่าวต่อ : “ลูกชายของเขาต้องการที่จะฝึกฝนวิชายุทธุ์เช่นกัน แต่เพราะคุณสมบัติไม่เพียงพอจึงถูกไล่ออกมา ดังนั้นเขาจึงรู้สึกเคารพผู้ฝึกยุทธุ์เช่นเจ้า”
คำกล่าวนี้ทำให้หยางไค่หวนคิดถึงประสบการณ์เลวร้ายที่เขาได้พบเจอ ทำให้หยางไค่เข้าใจในความรู้สึกเขายุวชนตัวน้อย เขาจึงได้ลูบหัวของยุวชนตัวน้อยด้วยความเอ็นดู
ในขณะที่หยางไค่จะกล่าวพูด ท้องของเขาได้ร้องโครกคราด จนทำให้ยุวชนตัวน้อยตกใจและหัวเราะออกมาด้วยเสียงที่ดัง ยุวชนตัวน้อยยังได้หยิบข้าวปั้นออกมาจาถุงผ้าของเขาและยื่นให้หยางไค่
หยางไค่รู้สึกตื่นตั้นใจ เขาไม่ได้ยื่นมือไปรับ แต่มองไปยังบุรุษร่างกำยำ เมื่อฝ่ายตรงข้ามเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ : “กินซิ ดูสภาพเจ้าแล้ว ในวันนี้เจ้าคงยังไม่ได้กินอะไร”
หยางไค่ไม่ปฏิเศธ เขารีบรับข้าวปั้นและกลืนมันเข้าไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขาได้พูดคุยสนทนากับสักครู่ หลังจากนั้นทั้ง 3 คนได้หาพื้นที่รอบๆกองไฟก่อนจะโน้มตัวลงเพื่อนอนพัก หยางไค่ไม่กล้าหลับลึก เขาคอยตื่นเพื่อดูสถานการณ์รอบๆ ข้างตลอดเวลา ถ้าหากมีภัยอันตรายเกิดขึ้นเขาจะสามารถจัดการกับภัยอัตรายนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนบุญของพ่อลูกทั้ง 2
แต่ค่ำคืนที่ยาวนานได้ผ่านไปอย่างสงบโดยไม่มีเหตุการณ์ที่เป็นอันตรายเกิดขึ้น
รุ่งอรุณได้กลับมาอีกหน หยางไค่ไม่รอให้พ่อลูกทั้ง 2 ตื่นเขาได้จากไปอย่างเงียบๆ ก่อนจะเดินจากไปหยางไค่ได้นำสมุนไพร 2 ชนิดที่เป็นยารักษาโรควางให้พวกเขาเพื่อเป็นของขวัญแห่งคำขอบคุณสำหรับค่ำคืนที่ผ่านมา
สมุนไพรทั้ง 2 ชนิดทั้งหากบดให้ละเอียด จากมีประสิทธิภาพในการรักษาแผลภายนอก 2 พ่อลูกเข้าป่าลัตว์อยู่เสมือ ต้องมีสักวันที่พวกเขาต้องใช้มัน
รัศมีแสงสีม่วงเปล่งประกายอย่างหนักหน่วง หยางไค่ฝึกฝนวิชายุทธุ์บันทึกแห่งกายาเริงอารมณ์จนเสร็จสิ้น หลังจากที่เขากำลังจะเสร็จสิ้นการฝึกฝน เขาได้สูดกลืนรัศมีแสงสีม่วงเข้าไป ทำให้ลมปราณที่อยู่ในร่างกระตุกอย่างรุนแรง ความรู้สึกอบอุ่นเริ่มแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ลมปราณที่กำลังเติบโตได้หมุนเวียนอยู่ในเส้นชีพจรลมปราณอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
กายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 5 !! ความรู้สึกของเมื่อวานไม่ได้หลอกเขา ระดับของเขากำลังจะก้ามข้ามเขตแดน วันนี้เขาฝึกฝนวิชายุทธุ์เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ทำให้เขาสามารถก้าวข้ามเขตแดนของตนเองได้
หยางไค่รู้สึกดีใจอย่างสุดซึ้ง ในใจของเขาเริ่มอยากรู้ว่าโครงกระดูกทองคำในร่างกายของเขาจะนำพาสิ่งใดให้แก่เขาอีก
เขาได้รับโครงกระดูกทองคำที่อยู่ในร่างกายเพียงไม่กี่วัน แต่สามารถก้าวข้ามเขตแดนถึง 2 ขั้น บันทึกแห่งกายาเริงอารมณ์สามารถฝึกยุทธุ์ได้อย่างรวดเร็ว นี้เป็นเพียงการฝึกยุทธุ์ที่อยู่ในเวลาที่กำหนด ถ้าหากสามารถฝึกยุทธุ์ในช่วงเวลาอื่นๆ ความเร็วในการก้าวข้ามเขตแดนต้องรวดเร็วกว่านี้อย่างแน่นอน
เมื่อหยางไค่ครุ่นคิดในสิ่งนี้หยางไค่รู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะกล่าวยาก แต่กายาเริงอารมณ์เป็นหลักฐานในการฝึกยุทธุ์ การใช้เวลาในการฝึกฝนอย่างรวดเร็วคงเป็นเรื่องธรรมดาของมัน หลังจากนั้นจากระดับจากเขตแดนที่สูงขึ้น การจะก้าวข้ามระดับก้าวข้ามเขตแดนต้องใช้เวลาที่มากขึ้นเช่นเดียวกัน
หลังจากที่นั่งพัก หยางไค่ยังคงออกไปค้นหาสมุนไพรอย่างต่อเนื่อง
ในวันนี้ยังถือว่าคุ้มค่าแก่การค้นหา เพราะเขาได้รวบรวมสมุนไพรที่มากกว่า 10 ชนิด และยังจับกระต่ายตัวอวบอ้วนได้ 1 ตัว ซึ่งสามารถแก้ปัญหาเรื่องอาหารของเขา
เขาเข้าป่าเข้าสู่เทือกเขาเป็นเวลา 3 วัน หยางไค่ยังคงมุ่งหน้าเข้าไปในเทือกเขาวายุทะมึนที่ลึกกว่าเดิม ซึ่งได้มาถึงจุดสิ้นสุดระยะปลอดภัยภายในรัศมี 30 ลี้ เมื่อเดินมาถึงตรงนี้ หยางไค่ไม่กล้าที่จะย่างกรายเข้าไป จากความแข็งแกร่งของตนเองในวันนี้ ถ้าหากพบเจอกับสัตว์ที่ดุร้าย ทางเลือกเดียวคือการวิ่งหนี ถ้าหากว่าโชคร้ายเขาอาจจะกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของสัตว์เหล่านั้น
แม้ว่าเขาไม่ได้เดินเข้าไปลึกมา แต่สมุนไพรที่เขารวบรวมได้วันนี้ค่อนข้างมากกว่า 2 วันที่ผ่านมา สมุนไพรกว่า 20 ชนิด นับรวมกับสมุนไพรที่เก็บได้เมื่อ 2 วันก่อน ทำให้เขาได้รับสมุนไพรกว่า 40 ชนิด แต่ว่าสมุนไพรที่เขา
ระยะเวลา 3 วันเขาเก็บรวบรวมสมุนไพรที่แตกต่างกว่า 40 ชนิด แม้ว่ามันจะเป็นสมุนไพรที่อยู่ในระดับต่ำ แต่มีผลกำไรที่ค่อนข้างดี เมื่อนำไปแลกเปลี่ยนที่หอวิเศษคงได้รับแต้มแห่งชัยชนะไม่น้อย แต่การทำเช่นนี้จะบั่นทอนเวลาในการฝึกยุทธุ์ของเขา ซึ่งสามารถชดเชยในส่วนนี้ได้