ตอนที่ 13 แค้นนี้ต้องชำระ
เมื่อคำกล่าวนี้ถูกล่าวออกมา ความจริงทุกอย่างได้ถูกเปิดเผย ฝูงชนทุกคนต่างจับจ้องไปยังซูมู่ด้วยสายตาที่ไม่คาดฝัน
เป็นเช่นนี้เอง !! หยางไค่พอจะเข้าใจในสิ่งที่ซูมู่กระทำลงไป เขาเคาเดาตลอดเวลาว่าเป้าหมายที่แท้จริงของซูมู่คือสิ่งใด แต่ครุ่นคิดไปมามีความเป็นไปได้เพียง 2 ประการ ประการแรกเพื่อทรัพย์สิน ประการที่สองเพื่อชื่อเสียง แต่ไม่เคยคิดว่าตนเองจะคาดเดาผิด สิ่งที่เขาทำลงไปเพื่อหญิงสาวคนเดียวเท่านั้น
ลูกสาวของเถ้าแก่เหอหยางไค่เองเคยพบเจอ เธอเป็นหญิงสาวตัวเล็กที่มีน่าตาจิ้มลิ้ม แม้ว่าเธอไม่ได้งดงามมากมาย แต่เธอคือหยกล้ำค่าของเถ้าแก่เหอ เก่งในเรื่องของการเย็บปักถักร้อย และเรื่องของงานศิลปะ เธอมีผิวพรรณที่ขาวเนียน รูปร่างเพรียวบาง และมีเสน่ห์ ปีนี้เธออายุ 14 ในเมืองวู่หมิงเธอยังเป็นหญิงสาวที่มีชื่อเสียงอย่างมาก
ไม่มีใครคาดคิดว่าหญิงสาวที่มีอายุเพียง 14 จะถูกจับจ้องโดยซูมู่ ซึ่งทำให้ซู่มู่สร้างปัญหาและความวุ่นวายให้แก่เถ้าแก่เหอ
“หยุดกล่าวพล่ามในสิ่งที่ไม่เป็นความจริงเดี่ยวนี้ !!” ใบหน้าของซูมู่แดงก่ำในขณะที่เขากำลังพยายามปฏิเสธความจริง
ชายหนุ่มร่างกำยำยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น : “ข้าไม่ได้โกหก แม้ว่าพวกเราทั้งสองจะนิสัยไม่ดี และสร้างความเดือนร้อนให้แก่ผู้อื่นๆ แต่การใส่ร้ายให้ว่ากิจการขายข้าวสารวางยาพิษ ทำลายเส้นทางการค้าของผู้อื่นๆ พวกเราไม่เคยทำมาก่อน การทำลายเส้นทางการค้าของผู้อื่น เสมือนการทำลายชีวิตของผ็อื่นๆ เรื่องเช่นนี้พวกเราไม่กล้าที่จะทำอย่างแน่นอน ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นแผนการของไอ่เด็กสารเลวคนนั้น !!”
คำพูดนี้ค่อนข้างจริงจัง แต่กลับทำให้คนอื่นๆ หัวเราะออกมา
หยางไค่กล่าวถามในเวลาที่เหมาะสม : “หลังจากที่แผนการสำเร็จ เขาตกลงจะให้ค่าตอบแทนพวกเจ้าท่าไหร่ ?”
“ 50 ตำลึง !! ’ ชายหนุ่มร่างกำยำกล่าวตอบ
“50 ตำลึง มากมายจริงๆ !! ’ หยางไค่กล่าวพึมพำก่อนที่จะพยักหน้าเบาๆ
เมื่อเถ้าแก่เหอรับฟังอย่างตั้งใจ ในที่สุดเขาจึงเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาหันหน้าจ้องมองไปยังซูมู่และกล่าวว่า : “เจ้ามันเด็กน่ารังเกียจ กล้าที่จะใช้วิธีที่สกปรกเช่นนี้ ลูกสาวของข้าจะมองคนเช่นเจ้าได้อย่างไร หอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวมีศิษย์เช่นเจ้า เสมือนว่ากำลังทำลายชื่อเสียงของตน เสียดายที่เกิดมามีผิวพรรณที่ดี แต่นิสัยกลับแตกต่างกับหยางไค่อย่างสิ้นเชิง ถือเป็นการเลี้ยงเสียข้าวสุก ข้าละอายใจต่อพ่อและแม่ของเจ้าที่อุตส่าห์เลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่เช่นนี้”
เหล่าฝูงชนโดยรอบเริ่มรู้สึกรังเกียจและสบทด่าซูมู่ที่บังอาจคิดแผนการที่อุกอาจเช่นนี้
ใบหน้าซูมูแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำและสีแดงก่ำ เขาทราบดีนับจากวันนี้ คนในเมืองวูหมิงคงไม่มีใครต้อนรับเขาอีก
ความโชคร้ายทั้งหมดล้วนเกิดจาก…….ศิษย์พี่ที่อยู่ตรงหน้าเขา !! ถ้าหากไม่ใช่เขา ในวันนี้เขาคงจะได้รับความชื่นชมความซาบซึ้งจากเถ้าแก่เหอ นับจากวันนี้เขาจะสามารถติดต่อกับลูกสาวเถ้าแก่เหอได้อย่างเปิดเผย เมื่อวีรบุรุษได้รับคำชื่นชมจากฝูงชน เขาจะได้รับโอกาสในการเข้าสู่หอคอยเพื่อเกี้ยวดวงจันทร์ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้รับหญิงงามกลับมาด้วย
ในตอนนี้ ทุกสิ่งอย่างที่วางแผนไว้ กลับเป็นส่งผลที่เลวร้ายต่อตัวเขา ไม่เพียงแผนการที่วางไว้ไม่สำเร็จ ชื่อเสียงของเขายังสูญเสียจนหมดสิ้น
ภายใต้สถานการณ์ที่น่าอับอาย แววตาที่โกรธเคืองของซูมู่นิ่งสงบลง และกล่าวถามหยางไค่อย่างเย็นชา: “ศิษย์พี่ท่านนี้ มีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร ? ’
“ทายสิ !!” หยางไค่เดินเข้ามาและกระพริบตาไปมาให้แก่ซูมู่
ซูมู่หายใจเขาลึกๆ และกล่าวอย่างช้า : “เจ้าไม่ต้องกล่าว ข้าก็รู้ว่เจ้าคือใคร เข้าสู่หอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวเป็นเวลา 3 ปีกว่า แต่ถึงตอนนี้ยังไม่สามารถก้าวข้ามเขตแดนแห่งกายาเริงอารมณ์ นั่นหมายความว่เจ้าเป็นเพียงศิษย์ฝึกหัดแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ภายในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวมีศิษย์ฝึกหัดเพียงไม่กี่คน เจ้ารอก่อน แค้นนี้ข้าต้องชำระมันให้สาสมอย่างแน่นอน !!”
เมื่อซูมู่กล่าวจบ เขาหันหลังและวิ่งออกไปทันที ซูมู่เป็นคนที่มีวิชายุทธุ์เล็กน้อย แม้ว่าจะมีฝูงชนจำนวนมากมายปิดกั้นเส้นทางของเขา แต่เขาสามารถที่จะผลักฝูงชนเหล่านั้นออกไป และวิ่งหนีออกไปโดยไม่มีใครสามารถที่จะจับตัวเขาได้
เมื่อซูมู่ได้หลบหนีออกไป ฝูงชนเหล่านั้นจึงนึกถึงชายหนุ่มทั้ง 2 ที่ถูกทุบตีเสมือนหมู หมา แต่ ณ ตอนนี้ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของพวกเขา พวกเขาได้แอบหลบหนีระกว่างที่หยางไค่และซูมู่กำลังกล่าวโต้เถียงกัน
สถานการณ์ในวันนี้จึงจบลง เป็นเพราะสายตาที่เฉียบแหลมของหยางไค่ ที่สามารถมองทะลุแผนการที่แยบยลของพวกเขา ทำให้ฝูงชนและพ่อค้าแม่ค้าในละแวกนี้ต่างกล่าวชื่นชม โดยเฉพาะเถ้าแก่เหอที่รู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณยิ่งกว่าผู้ใด
เสี่ยวเอ้อที่อายุยังไม่มากเท่าไหร่ต่างมองไปที่หยางไค่ด้วยสายตาที่เคารพและชื่นชม
หลังจากที่ฝูงชนแยกย้ายออกไป นายหญิงรีบวิ่งเข้ามา จับมือของหยางไค่ไว้แน่น เธอมองไปที่หยางไค่และเริ่มรู้สึกชอบหยางไค่มากขึ้น
แต่ในตรงกันข้ามใบหน้าของเถ้าแก่เหอเต็มไปด้วยความกังวล : “เจ้าหลายชาย วันนี้เจ้าสร้างความเดือดร้อนและความขุ่นเคืองให้แก่ซูมู่ ในวันข้างหน้าข้ากังวลว่าเขาจะสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าโดยไม่มีที่สิ้นสุด”
เมื่อผ่านเหตุการณ์ในวันนี้ ความสัมพันธุ์ระหว่างเถ้าแก่เหอและหยางไค่เริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น แม้แต่สรรพนามที่เรียกยังมีความสนิทสนมกันอย่างมาก
“ไม่เป็นไร” หยางไค่ยิ้มเบาๆ “สำนักแต่ะลำนักล้วนมีกฎระเบียบที่ชัดเจน แม้ว่าเขาจะโกรธเกลียดข้าแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถทำอะไรข้าได้ !!”
“แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่หลายชายต้องระมัดระวังตัวให้มาก ถ้าหากเป็นเพราะเรื่องในวันนี้ ทำให้หลายชายต้องพบเจอกับภัยอันตราย ถ้าเป็นเช่นนั้น จิตใจของลุงเหอคงจะเต็มไปด้วยความกังวลและไม่มีวันสงบสุขได้เลย”
“ข้าจะระมัดระวังตัว” หยางไค่กล่าวด้วยความปลอบโยน
นายหญิงของเถ้าแก่เหอเต็มไปด้วยความซาบซึ้งที่หยางไค่ยื่นมือช่วยเหลือพวกเขา จึงขอร้องอ้อนวอนให้หยางไค่อยู่กินข้าวเย็นกับพวกเขา เดิมที่หยางไค่เองจะกล่าวตอบรับน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ นี้ แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวของนายหญิงทำให้หยางไค่รีบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“หยางไค่ พ่อแม่ของเจ้ายังมีชีวิตหรือเปล่า ? แล้วพวกเขาอยู่ที่ไหน ? เจ้าแต่งงานหรือยัง ?”
เมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ นายหญิงคงจะให้เขาเป็นลูกเขยของเขาแน่นอน หยางไค่อ้ำอึ้งไม่ตอบและรีบเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่เขาออกมา เขาได้สะพายถุงข้าวสารจำนวนมากที่สามารถซื้อด้วยเงินจำนวน 20 ตำลึง เมื่อเป็นเช่นนี้ ภายใน 1 เดือนหยางไค่ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะอดยากเหมือนเช่นที่ผ่านมา
เดิมที่หยางไค่กังวลว่าเขาจะถูกซูมู่ดักซุ่มโจมตีระหว่างทางที่เขากลับหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว เพราะซูมู่มีการกระทำที่น่าหวาดกลัวและมีลักษณะท่าทางที่โหดร้าย แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่เขาคิด เพราะระหว่างทางที่เขากลับมา เขาไม่พบการปรากฏตัวของซูมูแม้แต่น้อย
เมื่อไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างละเอียด ในการประลองยุทธุ์ระหว่างศิษย์สาวกแม้จะมีศิษย์สาวกที่ตายไปเป็นจำนวนมาก แต่ภายในสำนักมีกฎระเบียบที่เข้มงวดห้ามให้ศิษย์สาวกฆ่าฟันซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการฆ่าฟันเมื่ออยู่นอกสำนัก เมื่ออยู่นอกสำนักถ้าหากว่าเขากล้าที่ละเมิดที่เข็มงวดของสำนัก เมื่อเรื่องราวรั่วไหลออกไป ซูมู่จะได้รับบทลงโทษที่ยิ่งใหญ่
ถ้าหากเขาต้องการจัดการกับหยางไค่ เขาจะต้องขอประลองยุทธุ์กับหยางไค่อย่างแน่นอน !! ส่วนเรื่องที่ว่า ซูมู่จะสามารถค้นพบฐานะที่แท้จริงของเขาได้หรือไม่ หยางไค่สามารถตอบโดยไม่ต้องคิดว่าเขาสามารถค้นหาได้อย่างง่ายดาย เพราะศิษย์ฝึกหัดแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวมีเพียงไม่กี่คน เพียงแค่ซูมู่กล่าวถามว่ารู้จักเขาหรือไม่ หรือ กล่าวถามฐานะที่แท้จริงของเขาเพียงเล็กน้อย ก็จะสามารถค้นพบตัวตนที่แท้จริงของหยางไค่ !!
ความแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนี้ หยางไค่ไม่ได้เห็นอย่างชัดเจน เขาต้องอยู่ในเขตแดนของกายาเริงอารมณ์ แต่ไม่รู้ว่าเขาอยู่ขั้นไหนแห่งกายาเริงอารมณ์
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาต้องรีบไปฝึกฝนวิชายุทธุ์ของเขา ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สามารถอยู่ในหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวได้อีกต่อไป
เมื่อมีเรื่องที่กังวลในจิตใจ หยางไค่รีบกลับไปยังกระท่อมของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะนอนหลับพักผ่อนและเริ่มต้นฝึกยุทธุ์อย่างจริงจัง
ในเวลานี้เขาไม่สามารถที่จะฝึกฝนวิชายุทธุ์จากตำราบันทึกแห่งกายาเริงอารมณ์ แต่เขาสามาถรที่จะฝึกฝนกระบวนท่าพื้นฐานของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว กระบวนท่าสามัญเหล่านี้ล้วนสร้างรากฐานให้แก่ร่างกายเพื่อฝึกฝนวิชายุทธุ์แห่งกายาเริงอารมณ์ที่น่าพิศวง เพื่อก่อให้เกิดจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของร่างกาย และสามารถบรรลุเป้าหมายที่แท้จริงของร่างกายแห่งกายาเริงอารมณ์
ก่อนหน้านี้ที่หยางไค่ถูกท้าประลองจากศิษย์สาวกคนอื่นๆ เขาเองได้ใช้กระบวนท่าที่สามัญเผชิญหน้ากับพวกเขา หมัดและท่าเตะที่ไม่มีทักษะอื่นใดแอบแฝงไว้ หรืออาจจะกล่าวได้ว่ามันไม่ใช่วิชายุทธุ์ที่แท้จริง มันเป็นเพียงทักษะพื้นฐานที่สามัญ และทักษะพื้นฐานที่สามัญนี้ สำนักหรือนิกายอื่นๆต่างเตรียมพร้อมให้แก่ศิษย์สาวกของตนเองตั้งแต่เริ่มแรก
ด้านซ้ายของกระท่อม มี่หุ่นไม้ที่มีความสูงเสมือนคนจริงจำนวน 1 ที่หยางไค่สร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง ซึ่งมันทำมาจากต้นสนที่มีอายุกว่า 100 ปี ทำให้ผิวไม้ของหุ่นมีความแข็งแกร่ง ซึ่งเหมาะกับการฝึกยุทธุ์มากที่สุด หุ่นไม้ตัวนี้ยังมีรอยบุบเล็กๆเกลื่อนไปทั่วและยังมีรอยเลือดกระจัดกระจายไปทั่ว ซึ่งมันก็คือร่องรอยแห่งการฝึกซ้อมที่ไม่ย้อท้อของหยางไค่
สมมติว่าตำแหน่งของหุ่นไม้คือคู่ต่อสู้ของเขา หยางไค่เริ่มต้นฝึกยุทธุ์กับหุ่นไม้อย่างรุนแรง เขาปล่อยหมัดออกไปอย่างสุดกำลัง เตะออกไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้หุ่นไม้ถูกทุบตีจนหมุนวนออกไป ซึ่งก่อให้เกิดเสียงแห่งการปะทะออกมาอย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อ หยางไค่ฝึกยุทธุ์ได้ไม่นาน หยางไค่เริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ
หมัดและลูกเตะของเขาในวันนี้ เขารู้สึกอย่างแจ่มแจ้งว่ามันแข็งแกร่งกว่าเดิม และจากช่วงเวลาที่ผ่านไปเรื่อยๆ กระดูกของเขาเริ่มรู้สึกชา และมีความรู้สึกอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมา นี้คือความรู้สึกที่ปรากฏออกมาจากเส้นชีพจรลมปราณ ในตอนเช้ามันเริ่มปรากฏออกมาและหมุนวนอยู่ในร่างกายอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งหยางไค่สามารถรับรู้และสัมผัสได้อย่างชัดเจน
กายาเริงอารมณ์ขั้นที่ 4 เส้นชีพจรก่อเกิดลมปราณ สามารถฝึกยุทธุ์แห่งกายาเริงอารมณ์ในขั้นตอ่ไป ความรู้สึกที่ด้านชาและความอบอุ่นคือเส้นชีพลมปราณกำลังก่อกำเนิดลมปราณให้ไหลเวียนอยู่ในร่างกายนั่นเอง