ตอนที่ 11 ที่สุดแห่งศีลธรรม
ชายหนุ่มที่เดินออกมาจากฝูงชนคือศิษย์ของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว เขาได้เดินวนและสำรวจชายทั้ง 2 เป็นเวลานาน ใบหน้าของเขสแสดงออกอย่างดูถูกและถากถาง ดวงตายังประกายด้วยความเยาะเย้ยและหยิ่งผยอง
เมื่อชายหนุ่มทั้ง 2 เห็นเจตนาที่ไม่ได้จากการกระทำของเขา พวกเขาทั้ง 2 ขมวดคิ้วจนกลายเป็นปมแน่น ดวงตาที่ดุร้ายจ้องเขม่งไปยังเขาและกล่าวตะโกนด้วยเสียงที่เกรี้ยวโกรธ : “เจ้าเด็กน้อย เจ้าเดินวนไปวนมา ต้องการให้พวกข้าทั้ง 2 มึนหัวกับการกระทำของเจ้าหรือไร ?”
เด็กหนุ่มหัวเราะอย่างแผ่วเบา เขาได้เดินไปยังด้านหน้าของชายหนุ่มทั้ง 2 และจ้องมองชายที่ถูกวางยาพิษอย่างละเอียด ก่อนที่จะเอ่ยปากกล่าว : “ใบหน้าของท่านดูซีดมาก จากสภาพของท่าน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าท่านถูกวางยาพิษ”
“ใช่” ชายหนุ่มอีกคนกล่าวตามอย่างรวดเร็ว : “ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ น้องชายของข้าคงไปพบไต้ฟูเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วย เขาไม่ยอมที่จะเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงอย่างแน่นอน เพราะต้องการเผยให้เห็นจิตใจที่ชั่วช้าของเถ้าแก่คนนี้ เพื่อให้ทุกท่านทราบถึงจิตใจที่แท้จริงของเขา จากวันนี้เป็นต้น ทุกท่านอย่ามาซื้อข้าวสารจากร้านนี้เป็นอันขาด !!”
ใบหน้าของเถ้าแก่ซีดขาว เพราะเขาไม่ทราบถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของชายหนุ่มทั้ง 2 ถ้าหากมันขู่เข็ญเพื่อรีดไถเงินทอง เถ้าแก่เห่อยังพอจะเข้าใจ แต่การสร้างความเข้าใจผิด โยนความผิดให้แก่เขา เขาไม่เข้าใจว่าพวกเขาทำไปเพื่อสิ่งใด
ในขณะที่เขากำลังครุ่นคิด หยางไค่ได้กล่าวถามอย่างเบาๆ : “เถ้าแก่เห่อ ช่วงเวลาที่ผ่านมา ท่านไปสร้างความเดือดร้อนหรือทำให้ใครไม่พอใจหรือเปล่า ?”
เถ้าแก่เห่อครุ่นคิดอย่างน่าละเอียดและกล่าวด้วยใบหน้าที่น่าสังเวช : “ไม่เลย”
“หรือว่ากิจการของท่านไปขัดขวางเส้นทางทำการค้าของใคร ?” แม้ว่าหยางไค่อายุยังน้อย แต่เรื่องราวที่น่ารังเกียจของมนุษย์เขาได้พบเจออย่างมากมาย ดังนั้นเขาข้อสันนิษฐานนี้จึงเป็นสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุด
“กิจการของข้าเป็นเพียงกิจการเล็กๆ จะไปขัดขวางเส้นทางทำการค้าของใครล่ะ ?” เถ้าแก่เหอพยักหน้าอย่างเซื่องซึม
มันน่าแปลก!! ดวงตาของหยางไค่มองไปยังพื้นดินด้านล่าง เขาได้คิดอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เข้าใจ
ทันใดนั้น ศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวได้หัวเราะอย่างเยือกเย็น เขามองไปยังชายหนุ่มทีมีใบหน้าเขียวคล้ำและกล่าวตะโกนออก : “กระบวนท่า !!”
เขาได้ตะโกน และออกกระบวนท่าพยัคฆ์ขยุ้มเหยื่อ ซึ่งทำให้หมัดของเขาพุ่งโจมตีไปยังหน้าอกของชายผู้นั่นทันที
สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แก่ฝูงชนที่อยู่ด้านข้าง คืออาการของชายหนุ่มที่น่าหดหู่ ไม่สามารถแม้แต่จะเบ่งเสียงออกมาได้ เสมือนว่าเขากำลังจะเข้าสู่ประตูแห่งความตาย แต่เมื่อเขาถูกหมัดพยัคฆ์ขยุ้มเหยื่อของศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวพุ่งโจมตี ซึ่งทำให้ร่างกายของกระเด็นออกไป และมีการเคลื่อนไหวเสมือนกระต่ายที่ร่าเริง
การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ แม้แต่ใบหน้าที่ซีดเซียวของเขายังแปรเปลี่ยนแปลี่ยนเป็นสีชมพูเลือกฝากอย่างเห็นได้ชัด
ฝูงชนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างโห่ร้องด้วยเสียงที่ตกใจ ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเขาทั้งหลายต่างตื้นตะลึงกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉัยพลันนี้
“ถูกวางยาพิษ” ศิษย์แห่งหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยวมองไปยังชายหนุ่มทั้งสองและกล่าวประชดประชัน : “ถูกวางยาพิษ ยังมีความสามารถเช่นนี้ นับถือ นับถือ”
เมื่อชายหนุ่มทั้ง 2 ถูกเปิดโปร่ง ใบหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นขาวซีดในทันที นอกจากนี้ใบหน้าของพวกเขายังเสมือนว่าถูกวางพิษจริงๆ
ฝูงชนโดยเริ่มโห่ร้องและตะโกนด่า พวกเขาทั้งหลายไม่ใช่คนที่โง่เขลา พวกเขาเข้าใจในสถานการณ์ว่าสิ่งไหนเป็นเรื่องจริงสิ่งไหนเป็นเรื่องที่หลอกลวง ไม่รู้ว่าชายหนุ่มทั้ง 2 มีจุดประสงค์เช่นไรถึงมาสร้างเรื่องใส่ร้ายกิจการของเถ้าแก่เห่อให้อับอาย แต่ยังโชคดีที่ศิษย์แห่งหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยวได้ค้นพบความจริงและเปิดเผยหน้ากากที่แท้จริงของพวกเขาทั้ง 2
ทันใดนั้น ฝูงชนจำนวนมากต่างรู้สึกเกลียดชังชายหนุ่มทั้ง 2 และเริ่มที่จะยกย่องศิษย์แห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ซึ่งทำให้ชายหนุ่มคนนี้ได้รับความชื่นชม ความชื่นชอบจากทุกๆ คน เมื่อเป็นเช่นนี้จะสามารถทำให้ชื่อเสียงของเขาดังก้องไปทั่วภายในระยะเวลาสั้นๆ
หยางไค่มีความรู้สึกที่รับรู้โดยนับ นี้คือการจัดฉากเล่นละครที่ให้วีรบุรษช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอ เพื่อที่จะได้รับชื่อเสียงนั่นเอง !! ถ้าหากว่าเขาไม่เห็นพวกเขาทั้ง 3 ก่อนหน้าที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ เขาคงจะถูกพวกเขาหลอกไปด้วย
แต่ความพยายมทั้หมดนี้ พวกเขาทำไปเพื่ออะไร ?
ชายหนุ่มทั้ง 2 ไม่สามารถที่จะแสแสร้งได้อีกต่อไป พวกเขาทั้ง 2 ได้จ้องมองไปยังชายหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม และกล่าวด้วยเสียงที่ดุดัน : “เจ้าเด็กน้อย เจ้าเป็นใคร ถึงกล้ามายุ่งเรื่องของเราทั้ง 2 ?”
เด็กหนุ่มแห่งหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยวหันไปรอบๆ อย่างสง่างามและกล่าวด้วยความภูมิใจ : “ข้าน้อย ซูมู่ ศิษย์แห่งหอประลองยุทธ์หลิงเซี่ยว !!”
เมื่อได้ยินคำว่าหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ชายหนุ่มคนหนึ่งได้มีการกระทำและท่าทีที่หวาดกลัว และกล่าวด้วยเสียงที่แปลกใจ : “ที่แท้เจ้าเป็นศิษย์ของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ไม่น่าล่ะ ทำไมเจ้าถึงมีร่างกายของมังกรซึมซับอยูด้วย ในวันนี้ พวกเราทั้งสองขอยอมรับผิด พวกเราทั้ง 2 จะจดจำเจ้าไว้ หวังว่าโชคชะตาจะทำให้พวกข้าทั้ง 2 ได้พบกับเจ้าอีกครั้ง !!”
ประโยคที่กล่าวออกมาเหมือนมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า ทำให้หยางไค่ที่ได้ยินแทบจะหัวเราะออกมา
ซูมู่หัวเราะอย่างเย็นชา : “พอ ออกไปจากที่นี้ซะ !!”
เมื่อสถานการณ์มาถึงขึ้นนี้ ถ้าหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ชายหนุ่มทั้ง 2 จะออกไปจากที่นี้ หลังจากนั้น ชายหนุ่มคนนั้นจะได้รับการชื่นชม สรรเสริญจากฝูงชน โดยเฉพาะเถ้าแก่เหอ
แต่หยางไค่ไม่ต้องการให้เถ้าแก่เหอหลงอยู่ในกลโกงของพวกเขา หยางไค่อาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มทั้ง 2 ยังไม่ออกไป เขารีบกล่าวตะโกน : “อย่าปล่อยให้พวกเขาหนีไป พวกเขาใช้วิธีการที่น่ารังเกียจ ใส่ร้ายพ่อค้า และเหยื่อในวันนี้คือเถ้าแก่เหอ ถ้าหากไม่สั่งสอนไม่ให้บทเรียนแก่พวกเขาในวันนี้ ไม่แน่ว่าเป้าหมายต่อไปของพวกเขาอาจจะเป็นกิจการทอผ้า กิจการย้อมผ้า หรือร้านขายของชำก็ได้ !!”
ฝูงชนส่วนใหญ่ที่อยู่รอบๆ ร้านของเถ้าแก่เหอ เมื่อมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและได้ยินคำพูดที่หยางไค่กล่าว ทำให้จิตใจของพวกเขาสั่นไหว ในจิตของพวกเขาต่างยอมรับว่าความคิดของหยางไค่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง จะปล่อยให้พวกเขาทั้ง 2 หนีออกไปง่ายๆ ได้อย่างไร? วันนี้ถ้าหากปล่อยพวกเขาออกไป ถ้าหากว่าพวกเขาทั้ง 2 ได้มาก่อความวุ่นวายให้แก่พวกเขาในวันพรุ่งนี้ ชื่อเสียงของพวกเขาคงจะถูกทำลายจนย่อยยับ ถึงวันนั้นพวกเขาอาจไม่โชคดีเช่นเถ้าแก่เหอ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฝูงชนที่กำลังจะหลีกทางรีบปิดทางเดินหนีของพวกเขาทั้ง 2 ทันที พวกเขาต่างใช้สายตาที่กลียดชังจ้องมองไปยังพวกเขาทั้ง 2
จากตำแหน่งของหยางไค่ หยางไค่มองเห็นความหวาดกลัวในสายตาของซูมู่ ในขณะเดียวกัน สายตาของซูมู่มองมายังหยางไค่ที่เป็นต้นเสียงแห่งความวุ่นวายในครั้งนี้ สายตาของทั้ง 2 ต่างจ้องเขม่งซึ่งกันและกัน
หยางไค่หัวเราะอย่างแผ่วเบา และกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว : “ศิษย์น้องมีสำนวนหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า ถ้าคิดจะเป็นคนดีมีจิตใจเมตตาเราต้องทำให้ถึงที่สุด เฉกเช่นการส่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องส่งให้ถึงเทือกเขาสวรรค์ ข้าว่าเราทั้งสองจับกุมพวกเขาทั้ง 2 ไว้ดีกว่า ?”
ซูมู่กวาดสายตามองไปยังหยางไค่ที่มีร่างกายซูบผอม เปราะบาง ไร้ซึ่งความสง่างาม แต่เขากลับเรียกตนเองว่าศิษย์น้อง แผนการของเขายังถูกรบกวนจากหยางไค่ ทำให้เขาสบทออกมาด้วยความรำคาญ : “ใครคือศิษย์น้องของเจ้า ?”
หยางไค่กล่าวตอบ : “ข้าเองก็เป็นศิษย์ของหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว ข้าเข้าหอประลองยุทธุ์หลิงเซี่ยว เป็นเวลา 3 ปี”
ซูมู่ไม่มีคำกล่าวต่อ เพราะหยางไค่เป็นศิษย์พี่ของเขาจริง
“ไม่ต้องกังวล !!” หยางไค่เดินมาข้างหน้าและกล่าวว่า : “ในแผ่นดิน ในใต้หล้าแห่งนี้ สิ่งที่สำคัญคำที่สุดคือ ศีลธรรม ความกล้าหาญเคียงข้างศีลธรรมเป็นสิ่งที่อยู่ในจิตใจของข้าเสมอ ดังนั้นศิษย์พี่มิอาจจะโฉบฉวยผลประโยชน์เพียงฝ่ายเดียว วันนี้พวกเราทั้ง 2 ร่วมมือกันและจับกุมชายหนุ่มทั้ง 2 เพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่เถ้าแก่เห่อ และสร้างความใสสะอาดให้แก่หมู่บ้านวู่เหม่ย !!”
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกไป ฝูงชนที่อยู่รอบข้างต่างปรบมือและโห่ร้องด้วยความชื่นชม ในตอนนี้ซูมูที่มีความวิตกกังวลรู้สึกว่าเขากำลังถูกลากไปยังเรือของโจรสลัดโดยศิษย์พี่ที่เขาไม่เคยรู้จัก แม้ว่าเขาอยากจะหนีออกมาก็ไม่สามารถที่จะทำได้
ชายหนุ่มทั้งสองต่างตกอยู่ในความหวาดกลัวและวิตกกังวล ซูมู่เงยหน้ามองไปที่พวกเขา โดยไม่สามารถที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้
“ศิษย์น้อง ไปกันเถอะ !!” หยางไค่ดึงไหล่ของซู่มู่และวิ่งพุ่งไปด้านหน้า
นี้มันคืออะไร !! ซูมู่ร้องไห้ในจิตใจด้วยความขมขื่น ศิษย์พี่คนนี้โผล่มาจากที่นี้ ถึงมาทำลายแผนการของเขา !! แต่เมื่อเดินมาถึงจุดนี้ ซูมู่ไม่มีทางเลือก จึงพุ่งไปยังชายหนุ่มทั้ง 2 ในขณะเดียวกันเขาได้ส่งสัญญานให้พวกเขาอยู่ในความสงบ และจะมองหาโอกาสเพื่อปล่อยให้พวกเขาทั้ง 2 หนีไป
ชายหนุ่มทั้ง 2 พยักหน้า แต่ทุกการกระทำ ทุกการเคลื่อนไหวอยู๋ในสายตาของหยางไค่ทั้งหมด และเคาเดาในสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำ
ทางฝั่งเถ้าแก่เห่อกังวลว่าหยางไค่จะถูกทำร้าย เขาจึงตะโกนไปยังฝูงชนที่อยู่รอบข้าง : “พี่น้องทั้งหลาย อย่ามั่วแต่มองดู มาช่วยกันจับชายหนุ่มทั้ง 2 นั่นด้วยเถอะ !!”
เมื่อเถ้าแก่เหอลงมือช่วย เสี่ยวเอ้อที่อยู่ในร้านต่างแสดงความภักดิ์ พวกเขาได้ถือถุงกระสอบที่ว่างเปล่า และพุ่งเข้าไป เสี่ยวเอ้อที่ถูกทำร้ายในตอนแรก ต่างพุ่งเข้าไปด้วยความรู้สึกที่ต้องการแก้แค้น
เมื่อถูกนำพาโดยเถ้าแก่เห่อ ฝูงชนที่มุงดู ต่างวิ่งเข้าไปช่วยเหลือ เพื่อจะจับชายหนุ่มทั้ง 2 คนนั้น
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มทั้ง 2 ยังมีความคิดที่จะต่อสู้ แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้ใบหน้าของพวกเขาซีดขาวราวไก่ต้ม และกล่าวโพล่งออกมาด้วยความกลัว : “อย่าต่อยหน้า อย่าตีหน้า !!” ทันใดนั้นพวกเขาใช้สองมือกุมศีรษะและคุกเข่าคดตัวอยู่บนพื้นทันที