Chapter 29: เธอนั้นจมไปกับความอยากรู้อยากเห็นนั่น
เจียงลู่ฉีนั้นก็ยังนั่งอยู่บนรถมินิบัส เขากำลังมองที่แผนที่จากเมืองนี้ไปยังเมืองหนานจิงใน แทบเล็ตของเขา และหลังจากนั้นก็หันกลับไปดูตึกสองชั้นของเหวินเซี่ยวเทียน
เหวินเซี่ยวเทียนอยู่ในนั้นเป็นเวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมง สองพี่น้องนั้นอยู่ในห้องหนึ่งบนชั้นสอง เมื่อเขามองไปที่หน้าต่าง ผ้าม่านนั้นถูกขยับออก เจียงลู่ฉีสามารถเห็นหน้าของเหวินลู่ด้านหลังของผ้าม่น กำลังจ้องมองมาที่รถมินิบัส และหลังจากนั้นก็หลบสายตาไป เจียงลู่ฉีรู้สึกมึนงงในทันที หลังจากเขาก็รีบหันสายตากลับมาที่แผนที่อีกครั้งหนึ่ง
“พี่สาว เขานั้นฆ่าหมูป่าที่มีคุณค่านั้นได้จริงๆหรอ?” เหวินหลู่นั้นขยับออกห่างมาจากหน้าต่าง และขยับผ้าม่านให้เป็นดังเดิม และหลังจากนั้นเธอก็พูด “หมูป่านั้นน่ากลัวเป็นอย่างมากใช่ไหม?”
“แน่นอน สิ่งที่พี่พูดกับเธอนั่นคือเรื่องจริงทั้งหมด” เหวินเซี่ยวเทียนตอนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เหวินลู่นั้นบอกกับเธอว่าพ่อแม่ของเธอนั้นเสียชีวิตลงแล้ว แต่ภายใต้สภาวะที่ย่ำแย่แบบนี้ ครอบครัวของเธอนั้นได้รับการฝังศพอย่างเรียบง่าย โดยปราศจากพิธีฝังศพที่เหมาะสม
ในความจริงแล้ว เหวินเซี่ยวเทียนนั้นรู้สึกค่อนข้างดีที่ พวกเขานั้นยังได้รับการฝังไว้โดยยังมีร่างกายเหลืออยู่ ผู้คนส่วนมากนั้นตายโดยไม่เหลือแม้แต่กระดูกไว้ให้คนรุ่นหลัง แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามหวินเซี่ยวเทียนก็ยังเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ สองพี่น้องนั้นร้องไห้เกือบหนึ่งชั่วโมง และหลังจากนั้นพวกเธอก็ระงับความเศร้าไว้ก่อน
หลังจากที่ใจเย็นลง เหวินลู่ ถามรายเอียดประสบการณ์ที่เหวินเซี่ยวเทียนได้รับมา
เจียงลู่ฉีนั้นมีอายุใกล้เคียงกับเหวินเซี่ยวเทียน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่เขานั้นยังคงเป็นนักศึกษาอยู่ มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าคนธรรมดาสองคนจะมาถึงตรงนี้ เพียงแค่ขับรถมินิบัส
เมื่อจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อที่ผ่านมา และหลังจากที่ฟังการบอกเล่าของเหวินเซี่ยวเทียน เหวินลู่ยิงรู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อมากกว่าเดิม หลบหนีจากฝูงซอมบี้ แม้กระทั่งเขานั้นสามารถฆ่าหมูป่ากลายพันธุ์ได้ด้วยซ้ำ.....
“ยังไงก็ตาม พวกเราควรที่จะขอบคุณเขา” เหวินลู่พูด
“นั่นสิ....” เหวินเซี่ยวเทียนพยักหน้า
เหวินเซี่ยวเทียนนั้นมองลงไปข้างนอกหน้า ที่จริงแล้ว เธอนั้นเพียงแค่เล่าบางส่วนของประสบการณ์เธอให้แก่น้องสาวของเธอฟัง เธอนั้นไม่ได้อธิบายรายละเอียดของเจียงและรถมินิบัสอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น เธอนั้นไม่ได้อธิบายว่าพวกเธอนั้นตัดเนื้อของหมูป่าออกมาและใส่ลงไปในรถตู้ไว้
แก๊งมอเตอร์ไซค์ที่พวกเธอนั้นเจอมาก่อนหน้าทำให้เหวินเซี่ยวเทียนนั้นกลายเป็นคนระมัดระวังตัว
“อย่างไรก็ตาม ลู่ลู่ พวกเขาคือใครกันหรอ?” เหวินเซี่ยวเทียนถาม
หลังจากที่รู้เกี่ยวกับสถานะของเหวินเซี่ยวเทียนแล้ว พวกผู้รอดชีวิตนั้นสงสัยเกี่ยวกับเธอและรถมินิบัสเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเหวินเซี่ยวเทียนนั้นจะไม่เชื่อว่าน้องสาวของเธอนั้นอยู่ร่วมกับกลุ่มคนที่เลวร้ายที่มาจากแก๊งมอเตอร์ไซค์ เธอก็ยังรู้สึกกังขากับคนแปลกหน้าพวกนี้อยู่ดี
“พวกเขาคือพวกผู้อาศัยที่อยู่ในเมืองของเราไงพี่ ความทรงจำของพี่นั่นแย่มากเลยนะ พี่ไม่สามารถจำได้แม้กระทั่ง ลูกสาวของป้าหลี่ ที่อยู่บ้านข้างๆงั้นหรอ?” เหวินลู่พูด
พวกเขานั้นคือคนที่อยู่อาศัยแถวนี้และเพื่อนบ้าน...
“หลังจากวันโลกาวินาศ พวกเรานั้นรวมตัวด้วยกันอย่างช้าๆ ในช่วงเช้าของวัน พวกเราออกไปค้นหาอาหารกัน และในช่วงเย็นพวกเรานั้นสลับกันยืนเวร ในช่วงเวลาที่พิเศษอย่างนี้ พวกเรานั้นไม่มีใครที่แตกต่างกัน มันเหมือนกับสังคมเดิมที่พวกเรานั้นทำงานร่วมกันและแจกจ่ายกันอย่างเท่าเทียมละ” เหวินลู่ตอบกลับมา
“มันจะต้องอันตรายเป็นอย่างมากแน่เลย.....” เหวินเซี่ยวเทียนนั้นกังวล น้องสาวของเธอนั้นเป็นแค่เพียงเด็กชั้นมัธยม ซึ่งกลัวแม้กระทั่งแมลงสาป แต่ในตอนนี้เธอนั้นกล้าที่จะออกไปข้างหน้าและหาอาหาร แต่เธอนั้นยังรู้เกี่ยวกับ ‘อย่าพึ่งพาคนอื่น นอกจากตัวเอง’อีกด้วย
“โชคดีที่ แม้ว่าพึ่งจะผ่านมาเพียง2-3วันก็ตามที มันอันตรายเป็นอย่างมาก ซอมบี้นั้นไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม ผู้คนพวกนั้นมันน่ากลัวเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นรถมินิบัส พวกเรานึกว่าพวกมันจะกลับมาอีกครั้งซะอีก”เหวินลู่พูด
“พวกมัน?” เหวินเซี่ยวเทียนมึนงงไปชั่วขณะและพูด “ใครคือพวกมัน? ใช่ แก๊งมอเตอร์ไซค์รึเปล่า?”
เหวินลู่จ้องและพูด “พี่เจอพวกมันมางั้นหรอ? มันทำอะไรกับพี่หรือเปล่า?” เธอถามอย่างกังวลใจ
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก....” เหวินเซี่ยวเทียนบอกเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเธอนั้นเผชิญมาให้แก่น้องสาวของเธอฟัง
เมื่อได้ยินเจียงลู่ฉีนั้นชนพวกมันล้ม เหวินลู่นั้นมึนงง “พระเจ้า....”
“เธอยังไม่ได้บอกพี่เลย ว่าทำไมพวกมันนั้นถึงมาที่บ้านของเรา?” เหวินเซี่ยวเทียนรีบถาม
เหวินลู่นั้นพูดคำว่า ‘อีกครั้ง’ มันค่อนข้างเป็นเรื่องที่แน่ชัดว่าพวกมันนั้นเคยมาที่นี่มาก่อน เหวินเซี่ยวเทียนสังเกตเห็นว่าพวกมันนั้นต่ำทรามเป็นอย่างมาก ดังนั้นเธอกังวลเกี่ยวกับเหวินลู่เป็นอย่างมาก
“พวกมันมาเพื่อค่าคุมครอง” เหวินลู่ขมวดคิ้ว และมองดูเบื่อหน่ายและพูด “กลุ่มของมันนั้นมีผู้นำ ซึ่งเป็นคนที่ขับไล่ซอมบี้ออกไป ดังนั้นพวกมันจึงเริ่มที่จะตัดสินใจที่ร้องขอค่าคุมครองจากกลุ่มคนผู้รอดชีวิต พวกเรานั้นรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมนั้นค่อนข้างที่จะปลอดภัย ดังนั้นค่าคุ้มครองนั้นมีเหตุผล อย่างไรก็ตาม พวกมันก็ยังแย่มากและความต้องการของมันนั้นก็ไร้เหตุผลซะเหลือเกิน”
หลังจากนั้นเหวินลู่ ก็วางหมวกอันสกปรกของเธอ และเอาผ้าพันคออกมาจากเตียงและพูด “พวกมันนั้นใช้แรงให้เด็กสาวหลายๆคนกลายเป็น ‘แฟนสาว’ ของพวกมันก่อนหน้านี้ และฉันก็ไม่มีทางเลือก แต่ต้องทำแบบเดียวกัน....”
เด็กสาวบริสุทธิ์ที่ต้องทำแบบนี้มาก่อน..... เหวินเซี่ยวเทียนรู้สึกโกรธและเสียใจ
“มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริงๆ” เหวินลู่พูดด้วยเสียงช่วยไม่ได้ คนธรรมดานั้นไม่สามารถที่จะทำอะไรเกี่ยวกับโลกแบบนี้ได้
“พี่สาวนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องพูดแล้วละ การมีชีวิตรอดอยู่นั้นยังน่ามหัศจรรย์ พี่สาว เธอได้กินอาหารหรือยัง?” เหวินลู่ถาม
เหวินเซี่ยวเทียนเห็นผู้รอดชีวิตกำลังทำอะไรบางอย่างเงียบๆที่ด้านล่าง บางคนนั้นกำลังดูแลอาวุธ ในขณะที่คนอื่นกำลังตรวจสอบอาหาร อาหารจำนวนมากของพวกเขานั้นถูกนำออกมาจากกระเป๋าสะพายซึ่งมันมีทั้งขนมต่างๆ จากกระเป๋าที่สกปรก ทั้งหมดและทั้งหมดนั้นแบนมาก
และมันก็ยังมีแม้กระทั่งกลิ่นสาปของเลือดที่ติดอยู่บนกระเป๋าบางใบ เด็กผู้หญิงที่ใส่ถุงมือนั้นกำลังถือหม้อใบเล็ก และกำลังทำความสะอาดกระเป๋าพวกนี้อยู่
“พี่สาวเซี่ยวเทียน” เด็กผู้หญิงมองขึ้นไปข้างบนและยิ้ม และทักทายเหวินเซี่ยวเทียน
เด็กผู้หญิงคนนี้คือลูกสาวของป้าหลี่ แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เหวินเซี่ยวเทียนนั้นไม่สังเกตเห็นเธอก่อนหน้านี้ หน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยฝุ่น ผมกลายเป็นสีเทา ซึ่งมันเหมือนไม่ได้สระเป็นเวลานาน
นี่คือหนทางเดียวที่จะไม่ให้พวกอันธพาลนั้นสนใจพวกเธอ
“วันนี้ อาหารนั้นมีน้อยและยากมากที่จะเก็บมา” ชายวัยกลางคน นำอาหารออกมาและหลังจากนั้นก็อธิบาย
ชายแก่อีกคนที่ดูเหมือนอายุประมาณหกสิบปีก็พูด “พวกเรานั้นยังโชคดีมาก ไม่ใช่ว่าพวกเรานั้นยังมีถุงข้าวครึ่งถุงในบ้านงั้นหรอ? มันยังเป็นสิ่งที่ดี”
“ใช่ แต่อีกครึ่งหนึ่งนั้นถูกนำไปแล้ว และที่เหลือนั้นสามารถกินได้เพียงสองสามวัน” ชายวัยกลางคนนั้นขมวดคิ้ว
“มันก็ยังสามารถที่กินได้อีกตั้งหลายวันหน่า” ชายแก่พูด ด้วยการมองโลกในแง่ดี และเขาก็พูดกับเหวินเซี่ยวเทียน “วันนี้ พี่สาวของลู่ลู่นั้นอยู่ที่นี่ และมันเป็นสถานการณ์ที่ดีที่จะทำอาหารกินกัน”
“มันไม่ค่อยจะดีหรอกค่ะ......” เหวินเซี่ยวเทียนรีบบอกให้หยุด
“ไปเรียกหนุ่มน้อยมากินกับพวกเราได้แล้ว” ชายแก่พูด “ฉันจะไปซาวข้าว”
“ได้เลย ฉันจะไปเรียกเขาเอง” เหวินลู่นั้นตื่นเต้นที่จะไปยังรถมินิบัส โดยไม่คำนึงว่าเหวินเซี่ยวเทียนนั้นโบกมือไปเรื่อยๆ
เมื่อฟังไปประสบการณ์ที่ถูกเล่าโดยเหวินเซี่ยวเทียนนั้น เหวินลู่รู้สึกสงสัยเกี่ยวกับเจียงลู่ฉีมาก