เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 108 ดวงตาคู่นั้น (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 108 ดวงตาคู่นั้น
แปลโดย iPAT
เจียงหยาหยุดฟางหยวนที่ต้องการออกไป "ท่านฟางหยวน คนฉลาดย่อมไม่ต่อสู้หากไม่สามารถรับมือฝ่ายตรงข้าม ม่านซื่อแข็งแกร่งมาก เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถหลบหนีมาจากไป่หนิงปิง เขาเป็นบางคนที่ไม่สามารถดูแคลน"
"ใช้ความพ่ายแพ้เป็นชื่อเสียง ต้องเกรงกลัวคนประเภทนี้งั้นหรือ?" ฟางหยวนหัวเราะเบาๆก่อนจะยกมือขึ้นวางบนไหล่ของเจียงหยา "นั่งรออยู่ที่นี่"
"ท่าน..." เจียงหยาต้องการกล่าวบางคำแต่เขาถูกหยุดไว้ด้วยสายตาอันเย็นเยียบของฟางหยวน
ความเย็นชาจากดวงตาคู่นั้นของฟางหยวนทำให้หัวใจของเจียงหยาแทบหยุดเต้น
เจียงหยานั่งลงบนเก้าอี้และมองฟางหยวนเดินออกจากห้องส่วนตัวเข้าสู่ห้องโถงใหญ่
เมื่อฟางหยวนก้าวเท้าออกมา เขาเห็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองผู้หนึ่งใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนเก้าอี้ ส่วนอีกข้างเหยียบอยู่บนโต๊ะที่อยู่กลางโรงเตี้ยม
เขามีรูปร่างไม่สูงนักแต่แขนและเอวของเขาค่อนข้างหนา หนวดเคราสีดำที่ปกคลุมอยู่ทั่วใบหน้าทำให้เขาปลดปล่อยกลิ่นอายที่ดุร้ายออกมา
พื้นบริเวณนั้นเต็มไปด้วยสุราและเศษชิ้นส่วนของไหสุรา บางส่วนกระทั่งปักเข้าในพื้นหิน
ชายชรายืนโค้งตัวอยู่ไม่ไกลและเปิดปากขออภัยด้วยความกระวนกระวาย "โปรดสงบลงก่อน หากสุราชนิดนี้ไม่เป็นที่พอใจของนายท่าน เราสามารถมอบสุราให้นายท่านโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย"
"ฮืม ข้าไม่ต้องการสุรา สุราของพวกเจ้ารสชาติราวกับอึม้า เหตุใดพวกเจ้ายังกล้าเปิดโรงเตี้ยมที่นี่? ชดเชย! ข้าต้องได้รับการชดเชย อารมณ์ที่ดีของข้าเสียไปเพราะพวกเจ้า พวกเจ้าต้องชดเชยให้ข้าอย่างน้อยห้าร้อยหินวิญญาณ!" ม่านซื่อเรียกค่าชดเชยจำนวนมาก
"นี่เป็นครั้งที่สามแล้ว ดูเหมือนโรงเตี้ยมแห่งนี้จะสร้างความขุ่นเคืองให้แก่บางคน"
"เห้อ...เช่นนั้นก็อย่ามาดื่มที่นี่อีกเลย"
"ไปกันเถอะ เมื่อการต่อสู้ของผู้ใช้วิญญาณเริ่มขึ้น พวกเรามนุษย์ธรรมดาจะเดือดร้อน"
ผู้คนรอบๆเริ่มลุกออกจากที่นั่ง มีเพียงผู้ใช้วิญญาณไม่กี่คนที่ยังนั่งวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป
"ข้าได้ยินมาว่าโรงเตี้ยมแห่งนี้เป็นของฟางหยวน เป็นไปได้หรือไม่ว่าบางคนต้องการสร้างปัญหาให้เขา?"
"โอ้ เด็กหนุ่มที่พ่อแม่เสียชีวิตและพึ่งได้รับมรดกจนกลายเป็นคนรวยในชั่วข้ามคืนใช่หรือไม่?"
"ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดบางคนถึงทำสิ่งนี้ กระทั่งข้ายังรู้สึกอิจฉา ลองคิดดู พวกเราดิ้นรนอย่างยากลำบากเพื่อชีวิตที่สุขสบายในอนาคต ฟางหยวนยังเด็กแต่กลับได้รับโชคลาภเช่นนี้"
"ถูกต้อง แม้บรรพบุรุษของเขาต้องการดูแลทายาท แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้ทรัพยากรของตระกูลแสงจันทร์ลดน้อยลง ทุกคนได้รับส่วนแบ่งไม่มาก เขามีพรสวรรค์นภาที่สามแต่กลับสามารถเพลิดเพลินกับโชคลาภเหล่านี้ นี่เป็นเรื่องน่าขันเกินไป"
"ม่านซื่อพยายามยั่วยุให้เขาโกรธเพื่อทำให้เกิดการต่อสู้? หากการต่อสู้เกิดขึ้นจริงๆ เขาอาจได้รับผลประโยชน์บางอย่าง"
บางคนส่ายศีรษะ "เจ้าคิดว่าผู้นำตระกูลของพวกเราโง่เขลาเช่นนั้นหรือ?"
อีกคนพยักหน้า "กฎของตระกูลเป็นเช่นนี้ หลายปีที่ผ่านมาพวกเจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? ยิ่งแข็งแกร่งเท่าใดก็ยิ่งมีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรมากเท่านั้น ถูกต้องหรือไม่? หากคนผู้หนึ่งไม่สามารถรักษาทรัพย์สินของตนเอง พวกเขาก็ต้องยอมแพ้และส่งมอบทรัพย์สินเหล่านั้นคืนสู่ตระกูล"
"อืม ถูกต้อง มาดูกันว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นที่นี่ ข้าได้ยินมาว่าม่านซื่อมีผู้อาวุโสบางคนให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง" บางคนกระซิบเสียงเบา
"หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ออกไป!" ม่านซื่อตะโกนเสียงดังลงมาจากบนโต๊ะ
นักดื่มที่กำลังจะก้าวเท้าออกไปจากโรงเตี้ยมพลันหยุดฝีเท้าและยืนอยู่ที่ประตูโรงเตี้ยมด้วยความหวาดกลัว ผู้คนที่สัญจรไปมาด้านนอกเริ่มสังเกตเห็นละครฉากนี้และหยุดยืนชมการแสดงอยู่หน้าโรงเตี้ยม
'ชัดเจนว่ามาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา' เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใบหน้าของฟางหยวนยังคงไร้อารมณ์ แต่ดวงตาของเขากลับเย็นเยียบ
ม่านซื่อเห็นเขาในที่สุด
"โอ้ เจ้าคือฟางหยวนถูกต้องหรือไม่? น้องชาย สุราของเจ้าทำให้ข้าเสียเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์ เมื่อเจ้าเป็นเด็กใหม่ ข้าก็จะให้โอกาสเจ้ากลับตัวกลับใจและขอโทษข้าต่อหน้าทุกคน มิฉะนั้นก็อย่าหาว่าข้า ม่านซื่อ กลั่นแกล้งเด็กใหม่ด้วยสถานะของข้า ฮ่าฮ่าฮ่า"
ม่านซื่อหัวเราะเสียงดัง "ตราบเท่าที่เจ้าขอโทษและก้มศีรษะให้ข้า ทุกอย่างจะจบ ข้าจะจากไป ข้าให้สัญญา"
เขาตบหน้าอกของตนเองและเปิดเผยให้เห็นถึงความใจกว้าง แต่เจตนาที่แท้จริงของเขาไม่สามารถหลุดรอดจากสายตาของผู้ใช้วิญญาณที่อยู่รอบๆ
"เป็นการกระทำที่ชั่วร้ายมาก!"
"ถูกต้อง หากฟางหยวนขอโทษ เขาจะไม่สามารถเงยศีรษะขึ้นมาได้อีก ผู้คนจะมาที่นี่และกลั่นแกล้งเขา หากเขาไม่ขอโทษ นั่นหมายความว่าเขาไม่ให้ความเคารพต่อรุ่นพี่ ด้วยทัศนคตินี้ สังคมจะผลักเขาออกไป"
"ถูกต้อง เขากำลังพบกับทางเลือกที่ยากลำบาก...โอ้ สวรรค์!"
ทันใดนั้นผู้คนกลับเบิกตาโตและอ้าปากค้างอย่างกะทันหัน
บางคนจ้องมองด้วยดวงตาที่แทบจะหลุดออกมาจากเบ้า
บางคนกลายเป็นแข็งค้างราวกับรูปปั้น
บางคนกระทั่งพ่นสุราออกมาจากปาก
ทุกคนที่อยู่ที่นี่กำลังรับชมการแสดงที่น่าตกใจบางอย่าง
ฟางหยวนไม่เพียงเติมเต็มความคาดหวังของพวกเขาแต่ยังทำให้พวกเขาประหลาดใจอย่างที่สุดเมื่อเด็กหนุ่มสะบัดมือยิงดาบแสงจันทร์ออกไป
“ฟิ้ว!”
วิญญาณจันทร์กระจ่าง!
จันทร์เสี้ยวสีฟ้าขนาดเท่าใบหน้าตัดแยกโต๊ะด้านหน้าออกเป็นสองส่วนราวกับตัดเต้าหู้
"อา..." ม่านซื่อตกตะลึงเมื่อดาบแสงจันทร์ขนาดใหญ่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา
เผชิญหน้ากับความตาย ในที่สุดม่านซื่อก็ตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก "วิญญาณหินผา!"
ร่างของเขาส่องแสงสีเทาเข้มออกมาก่อนที่ผิวของเขาจะเปลี่ยนเป็นหิน
แต่ก่อนที่มันจะปรากฎขึ้นอย่างสมบูรณ์ ดาบแสงจันทร์ก็ปะทะเข้ากับหน้าอกของเขาเรียบร้อยแล้ว
ผิวหินถูกตัดผ่า หน้าอกของม่านซื่อปรากฎบาดแผลขนาดใหญ่พร้อมกับเลือดที่ไหลทะลักออกมา
"อา..." เสียงแห่งความเจ็บปวดทุกข์ทรมานดังขึ้น มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อและตื่นตระหนก
เขาไม่คาดหวังว่าฟางหยวนจะโจมตีเขาโดยไม่แม้แต่จะกล่าวสิ่งใดออกมา
เขากล้าโจมตี!
ในหมู่บ้าน เขากล้าใช้วิญญาณโจมตีสมาชิกตระกูลโดยตรง!
ไม่เพียงม่านซื่อ แต่ผู้คนทั้งหมดต่างรู้สึกพูดไม่ออก
"นี่...บ้าคลั่งเกินไปหรือไม่?"
"ไม่พูดคุยแต่โจมตีทันที เขาไม่กลัวว่าม่านซื่อจะตายและถูกลงโทษโดยห้องโถงพิพากษางั้นหรือ?"
"เด็กหนุ่มมักใจร้อนเสมอ"
"พวกเจ้าเห็นหรือไม่? มันไม่ใช่วิญญาณแสงจันทร์แต่มันเป็นวิญญาณจันทร์กระจ่าง ฟางหยวนประสบความสำเร็จในการหลอมรวมวิญญาณจันทร์กระจ่าง!"
"ฟางหยวน เจ้ากำลังทำสิ่งใด?" ม่านซื่อยืนอยู่บนโต๊ะและกรีดร้องออกมาด้วยใบหน้าที่ดุร้าย
ร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้ม บาดแผลของเขาถูกปกคลุมด้วยหิน แต่เลือดยังไหลออกมาราวกับสายน้ำ
ใบหน้าของฟางหยวนยังสงบนิ่งขณะที่เขาเดินหน้าต่อโดยไม่พูดสิ่งใด
เขาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
ดาบแสงจันทร์อีกเล่ม!
“ฟิ้ว!”
"เจ้า!" ในระยะประชิด ม่านซื่อไม่มีเวลากล่าวสิ่งใด เขาเร่งยกมือขึ้นปิดใบหน้ากับหน้าอกของตนเองเอาไว้
ดาบแสงจันทร์ปะทะแขนของม่านซื่อและฝากรอยกรีดลึกเอาไว้ขณะที่เศษหินร่วงหล่นลงบนพื้น
แรงปะทะยังส่งร่างของม่านซื่อให้ลอยกลับหลังไปอย่างไม่สามารถควบคุม
ร่างกายของม่านซื่อถูกปกคลุมด้วยหินที่หนาหนัก โต๊ะไม้ไม่สามารถอดทนต่อแรงปะทะ นั่นทำให้เขาร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรง
ฟางหยวนเดินตรงเข้าไปหาม่านซื่ออย่างช้าๆด้วยดวงตาที่เย็นเยียบ จากนั้นดาบแสงจันทร์ก็โบยบินออกไปอีกครั้ง
ม่านซื่อเร่งยกมือขึ้นแต่เขาประเมินประสบการณ์การต่อสู้ของฟางหยวนต่ำเกินไป ดาบแสงจันทร์พุ่งเป็นเส้นโค้งเข้าปะทะหน้าอกของเขาอย่างแม่นยำ
ปรากฏบาดแผลอีกรอยขึ้นบนหน้าอกของม่านซื่อและทำให้เขาสูญเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก
"เขากำลังจะฆ่าม่านซื่องั้นหรือ?" ผู้ใช้วิญญาณในบริเวณนั้นผุดลุกขึ้นยืน
มนุษย์ธรรมดาไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงใดๆออกมาและเพียงเฝ้ามองด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น
ม่านซื่อหอบหายใจอย่างหนักหน่วง อาการบาดเจ็บของเขาทำให้เขาไม่สามารถลุกขึ้นจากพื้นได้อีก
ฟางหยวนเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
ใบหน้าของม่านซื่อเปลี่ยนเป็นซีดขาวจากการเสียเลือด เขามองฟางหยวนด้วยความหวาดกลัว ด้วยวิธีการเดินเข้ามาอย่างช้าๆของฟางหยวนและการแสดงออกที่เย็นชาอย่างที่สุด มันยิ่งสร้างแรงกดดันให้กับเขามากขึ้นเรื่อยๆ
"ฟางหยวน เจ้าไม่สามารถฆ่าข้า เจ้าจะถูกลงโทษโดยห้องโถงพิพากษา" ม่านซื่อพยายามคืบคลานถอยหลังไปตามพื้นอย่างยากลำบาก
ฉากละครกลายเป็นเงียบงัน
ทุกคนถูกสะกดข่มด้วยกลิ่นอายอันเย็นเยียบของฟางหยวนและต้องกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ไม่มีผู้ใดคิดว่าม่านซื่ออ่อนแอ นั่นยิ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถรักษาความสงบ ทั้งหมดก็คือพวกเขาล้วนอ่อนแอกว่าม่านซื่อทั้งสิ้น
ฟางหยวนเดินเข้าไปหาม่านซื่อก่อนจะยกเท้าขึ้นและกระทืบบาดแผลบนหน้าอกของม่านซื่อ
ความเจ็บปวดทำให้ม่านซื่อต้องสูดหายใจลึก
ฟางหยวนเหยียบลงบนแผ่นอกของม่านซื่อและทำให้ม่านซื่อรู้สึกราวกับถูกเหยียบโดยหมูป่า
ม่านซื่อไม่สามารถทนได้และต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แม้จะมีเกราะหินคุ้มกาย แต่เขายังรู้สึกถึงแรงกระแทกจากฟางหยวนขณะที่เลือดยังคงไหลริน
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือฝ่ามือของฟางหยวนยังส่องแสงสีฟ้าออกมาตลอดเวลา
ม่านซื่อไม่กล้าแม้แต่จะขยับร่างกาย
"เจ้า...เจ้าไม่สามารถฆ่าข้า..." ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ม่านซื่อกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก
"ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า" ฟางหยวนเปิดปากกล่าวในที่สุด
น้ำเสียงที่ราบเรียบของเขาดังขึ้นอย่างแผ่วเบา แต่ในโรงเตี้ยมที่เงียบสงัด ทุกคนสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
"แต่ข้าสามารถตัดแขนหรือขาของเจ้าออกมา ตามกฎของตระกูล ข้าต้องจ่ายค่าชดเชยด้วยหินวิญญาณจำนวนหนึ่งและอาจถูกกักขังเป็นการชั่วคราว แต่สำหรับเจ้า? ชีวิตที่เหลือทั้งหมดของเจ้าจะต้องนอนอยู่บนเตียง ด้วยความสามารถในการต่อสู้ที่ถดถอย เจ้าจะไม่สามารถปฏิบัติภารกิจ เจ้าคิดว่าจะสามารถรับผลลัพธ์เช่นนั้นได้หรือไม่?" ฟางหยวนมองม่านซื่อที่นอนอยู่บนพื้นและกล่าวอย่างช้าๆ
น้ำเสียงที่ไร้อารมณ์ของฟางหยวนทำให้หัวใจของม่านซื่อแทบหยุดเต้น ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างไม่หยุดยั้ง
เขาเปิดปากหายใจอย่างหนักหน่วง สมองของเขากลายเป็นมึนงง ขณะที่เท้าของฟางหยวนยังบดขยี้บาดแผลบนหน้าอกของเขาอย่างไร้ปรานี
“บัดซบ! หากข้ามีเวลาป้องกันตัว ข้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วเจ้าจะ...อา...”
เสียงของม่านซื่อหยุดลงอย่างกะทันหันเมื่อเขามองเข้าไปในดวงตาของฟางหยวน
หากดวงตาของฟางหยวนเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร เขาจะไม่รู้สึกหวาดกลัว แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยความไม่แยแส
มันคือความเย่อหยิ่งและดูแคลนผู้คนทั้งโลกหล้า เขาสามารถเหยียบย่ำชีวิตและละทิ้งกฎเกณฑ์ทั้งหมดได้อย่างไม่แยแส
"ดวงตาคู่นั้น...ดวงตาคู่นั้น..." รูม่านตาขาของม่านซื่อหดเล็กลง ความทรงจำที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขาปะทุขึ้นอีกครั้ง
มันเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิตของเขา
สองปีก่อนในป่าไผ่ยามค่ำคืน
ชายหนุ่มชุดขาวเหยียบเขาเอาไว้ใต้ฝ่าเท้า
"บัดซบ! หากข้าสามารถหลอมรวมวิญญาณหินผา เจ้าจะสามารถทำลายการป้องกันของข้าได้อย่างไร?" เมื่อความตายกำลังใกล้เข้ามา ม่านซื่อโอดครวญด้วยความเสียใจ
"โอ้ หากเป็นกรณีนี้ ข้าก็ไม่ควรฆ่าเจ้า" ชายชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้ม "กลับไปหมู่บ้านของเจ้าและหลอมรวมวิญญาณหินผา จากนั้นค่อยมาต่อสู้กับข้าอีกครั้ง ข้าหวังว่าในอนาคตเจ้าจะสามารถมอบความตื่นเต้นให้ข้าได้บ้าง ฮ่าฮ่าฮ่า"
ชายชุดขาวยกฝ่าเท้าออกไป
ม่านซื่อไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ เขามองชายชุดขาวด้วยความตกตะลึง
ชายชุดขาวมองเขาราวกับมองมดปลวกและกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส "เหตุใดเจ้าไม่กรีดร้อง?"
ร่างของม่านซื่อสั่นสะท้านขณะที่เขารนรานหลบหนี
ชายชุดขาวไม่ใช่ผู้ใดนอกจากไป่หนิงปิง อัจฉริยะอันดับหนึ่งของหมู่บ้านตระกูลไป่ แม้เขาจะยังเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองในเวลานั้น แต่เขากลับสามารถสังหารผู้อาวุโสผู้ใช้วิญญาณระดับสามของตระกูลแสงจันทร์ได้อย่างง่ายดาย
ม่านซื่อสามารถหลบหนีมาจากไป่หนิงปิง นั่นทำให้เขามีชื่อเสียง
สองปีที่ผ่านมา ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นพร่าเลือน สิ่งเดียวที่เขาจดจำได้เป็นอย่างดีก็คือดวงตาคู่นั้น
ดวงตาที่ไม่แยแสต่อโลกหล้า สูงส่ง ยิ่งใหญ่ และไม่สามารถหยั่งถึง
แต่โดยไม่คาดคิด เขากลับพบสายตาเช่นนี้อีกครั้งในหมู่บ้านของเขาเอง
หัวใจของม่านซื่อเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาสูญเสียจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ไปอย่างสมบูรณ์
การแสดงออกของม่านซื่อทำให้ฟางหยวนประหลาดใจเล็กน้อย
เขาไม่คิดว่าม่านซื่อจะขี้ขลาดถึงเพียงนี้
เมื่อฟางหยวนบรรลุเป้าหมาย เขาจึงยกเท้าออก "เหตุใดเจ้าไม่กรีดร้อง?"
ม่านซื่อรู้สึกราวกับได้ยินประโยคเดิมอีกครั้ง เขารีบวิ่งออกจากโรงเตี้ยมอย่างทุลักทุเลด้วยใบหน้าที่ขาวซีดและความหวาดกลัวที่เกาะกุมอยู่ในหัวใจ
ผู้ชมทั้งหมดตกตะลึง
ฟางหยวนยืนอยู่ที่เดิมและกวาดตามองไปรอบๆ
ผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งและผู้ใช้วิญญาณระดับสองทั้งหมดเร่งหลบสายตาของฟางหยวน
ผู้ดูแลโรงเตี้ยมและเสี่ยวเอ้อเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและยกย่องบูชาฟางหยวน ผู้ใดจะไม่ต้องการผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งเช่นนี้?
ด้านหลัง เจียงหยาเฝ้ามองด้วยความตกตะลึง
เขาเดินออกมาด้วยความกังวล แต่สิ่งที่เขาได้เห็นกลับเป็นฉากเหตุการณ์ที่ม่านซื่อถูกขับไล่ออกไปโดยฟางหยวน
นั่นคือม่านซื่อ! ผู้ที่สามารถหลบหนีมาจากไป่หนิงปิง!
หัวใจของเจียงหยาร่วงหล่นลง สายตาที่เขามองฟางหยวนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เจียงหยาตระหนักได้ในที่สุดว่าเพราะเหตุใดฟางหยวนถึงประสบความสำเร็จ
‘เพราะเขาไม่เคยเป็นคนเช่นเดียวกับข้า’