บทที่ 62 หลินเชียน
หลัวหลีทั้งภาคภูมิใจ ทั้งเศร้าเสียดายอยู่บ้าง ขณะที่ส่ายศีรษะ “นี่หาใช่เคล็ดกระบี่สุญตาที่แท้จริงไม่ คิดสรรค์สร้างเคล็ดกระบี่สุญตาขึ้นมาอีกครั้ง ไหนเลยง่ายดายดั่งใจนึก”
ฉินเฉิงค่อยคลายความตระหนกลง พลางทอดถอนชมเชย “แม้จะยังไม่สมบูรณ์ก็ร้ายกาจปานนี้ ไม่ทราบเคล็ดกระบี่สุญตาสมบูรณ์แบบจะร้ายกาจถึงเพียงไหน?” มันอดไม่ได้ต้องมองไปยังตำแหน่งที่กระบี่สายฟ้าอันตรธานไป เวลานี้ทั้งรอยแยกมิติทั้งกระบี่สายฟ้า ล้วนหายไปหมดสิ้นโดยไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย
“ปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งพลังฝีมือลึกล้ำสุดหยั่งคาดจริงๆ” แม้กระทั่งบุคคลทระนงถือดีเช่นหลัวหลี ยังหวาดหวั่นต่อยอดคนผู้สร้างสำนักกระบี่สุญตา
“ศิษย์น้องอย่าได้ประเมินตนเองต่ำเกินไป เพียงแค่สามเดือน ศิษย์น้องก็มีความสำเร็จถึงขั้นนี้ ศิษย์พี่อย่างข้านับว่ามองคนไม่ผิดจริงๆ” ฉินเฉิงดวงตาเต็มไปด้วยประกายพึงพอใจ “ที่จริงข้าแทบอดใจรอชมไม่ไหว อ้า! หากเหวยเสิ้งต้องเผชิญกับศิษย์น้อง ไม่ทราบจะมีโอกาสเอาชัยสักเท่าใด?”
หลัวหลีกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาเย็นชาของมันลุกไหม้ด้วยเปลวไฟที่แทบจะมองไม่เห็น “เพียงแค่ข้ารับใช้กระบี่ผู้หนึ่ง ต้องการจะขี่อยู่เหนือศีรษะข้า มันไม่ทราบว่ากำลังตอแยผู้ใด!”
“ฮ่าฮ่า อีกไม่กี่วันก็จะถึงการทดสอบของสำนักแล้ว ศิษย์น้องต้องทวงถามความยุติธรรมให้แก่ศิษย์น้องหญิงด้วย จนกระทั่งถึงวันนี้ข้าเห็นว่าศิษย์น้องหญิงยังอารมณ์ไม่ดีขึ้นเลย” ฉินเฉิงกล่าวยิ้มๆ “น่าเสียดายที่เหวยเสิ้งไม่เข้าร่วมการทดสอบของสำนัก มิเช่นนั้นคงน่าดูชมไม่น้อย”
หลัวหลีไม่เคยให้ความสำคัญกับจั่วม่อ เป้าหมายของมันมีเพียงเหวยเสิ้ง กล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “สุดท้ายแล้วมันก็ต้องออกมา”
ฉินเฉิงออกจากบ้านของหลัวหลีอย่างอิ่มเอมใจ ขณะที่มันกำลังกลับไปยังที่พำนักของมัน พลันพบเห็นศิษย์ฝ่ายนอกหลายคนเร่งรุดมาด้วยสีหน้าแตกต่าง เมื่อเหล่าศิษย์ฝ่ายนอกพบเห็นฉินเฉิง พวกมันรีบหยุด ค้อมกายคารวะอย่างลนลาน “ศิษย์พี่ใหญ่!”
“เรื่องอันใดรีบร้อนถึงเพียงนี้?” ฉินเฉิงถาม
เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกสบตากับวูบหนึ่ง อึดใจต่อมา คนผู้หนึ่งตอบว่า “ศิษย์พี่จั่วม่อฝึกกระบี่ในแม่น้ำ และบังเอิญถูกน้ำพัดพาหายไป ท่านเจ้าสำนักมีคำสั่งให้พวกเราเสาะหาไปตามแม่น้ำ”
ได้ฟังดังนั้น ฉินเฉิงหัวร่อกระหึ่ม พลางโบกมือ “อืม ไปทำในสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำเถอะ”
เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกราวกับได้รับการละเว้นโทษประหาร รีบพากันจากไปในทันใด พวกมันไม่ได้โง่ ดังนั้นไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับการประลองกำลังกันของเหล่าศิษย์ฝ่ายใน
ฉินเฉิงเดินทอดน่องไปอย่างเอื่อยเฉื่อย ยิ่งคิดเท่าใดยิ่งรู้สึกขบขันมากขึ้นเท่านั้น ฝึกกระบี่ในแม่น้ำจนถูกน้ำพัดพาหายไป ช่างน่าหัวร่อกระไรปานนี้ มันไม่เคยได้ยินเรื่องเหลวไหลเช่นนี้มาก่อน จั่วม่อผู้นี้น่าสนุกจริงๆ ! มันโยนเรื่องราวนี้ทิ้งไว้ด้านหลังจิตใจอย่างไม่แยแส จั่วม่อไม่เคยมีตำแหน่งแห่งที่ใดๆ ในใจมัน ในความเห็นของมัน เกษตรกรปราณอาจจะมีความสำคัญ แต่ในยุคสมัยที่เซียนกระบี่ครองอำนาจ เฉพาะผู้ที่ไม่มีปณิธาน ไร้ความทะเยอทะยานเท่านั้น จึงจะหันไปทำการเกษตร
บุคคลที่มันหวาดระแวงอย่างแท้จริงคือเหวยเสิ้งต่างหาก มีเพียงคนผู้นี้เท่านั้นที่สามารถคุกคามสถานะของมัน!
ก่อนที่เหวยเสิ้งจะปรากฏตัวขึ้น สถานะของมันมั่นคงดุจหินผา ตั้งแต่เริ่มแรกมันก็ได้รับการยกย่องในฐานะว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไปแห่งสำนักกระบี่สุญตา แต่มันไม่เคยคาดคิดเลย ว่าจะมีเหวยเสิ้งผู้หนึ่งปรากฏขึ้นจากที่ใดไม่ทราบ ซ้ำยังทรงพลังมากพอที่จะคุกคามตำแหน่งของมันอย่างง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ
ฉินเฉิงเจนจัดมากประสบการณ์ เต็มไปด้วยเหลี่ยมคู มันทราบว่ากับการผงาดขึ้นของเหวยเสิ้ง มีใครบางคนที่ไม่พึงใจเสียยิ่งกว่ามัน นั่นคือหลัวหลี สำหรับบุคคลอันทระนงถือดีเช่นศิษย์น้องหลัวหลี ไฉนจะยอมอดทนอดกลั้นต่อผู้ที่เคยเป็นเพียงข้ารับใช้กระบี่ของมันซึ่งจู่ๆ ก็ปีนป่ายขึ้นไปเหยียบอยู่เหนือศีรษะมัน นี่ทำให้มันรู้สึกย่ำแย่กว่าฆ่ามันทิ้งโดยตรงเสียอีก
รอยยิ้มเยาะหยันเย็นชาลอยขึ้นบนใบหน้าฉินเฉิง ไม่ใช่แค่มันเพียงคนเดียว เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกที่ตะกายขึ้นมาเป็นศิษย์ฝ่ายในกลุ่มนี้ ส่งผลคุกคามโดยตรงต่อผลประโยชน์ของศิษย์ฝ่ายในกลุ่มดั้งเดิม ดังนั้นไม่ใช่มีแค่มันที่มีความเห็น
และแม้แต่ท่านเจ้าสำนักยังต้องคำนึงถึงความเห็นของพวกมัน
จั่วม่อเดินไปตามถนนใหญ่ ร่างท่อนบนเปลือยอก ส่วนท่อนล่างเหลือติดร่างแค่เพียงกางเกงตัวเดียว กระทั่งสองเท้าก็ยังเปลือยเปล่าอีกด้วย เมื่อผู้คนบนท้องถนนพบเห็นมัน พวกมันล้วนมีสีหน้าแปลกๆ แต่เมื่อเหลือบมองกระบี่ผลึกน้ำแข็งที่มันถือติดมือ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าหัวร่อ
จั่วม่อไม่ทราบว่าสถานที่นี้อยู่ตำแหน่งใดกันแน่ หลังจากสอบถามผู้คนค่อยทราบว่าอยู่ห่างจากตงฝูเกือบห้าร้อยหลี่ จั่วม่อฝืนยิ้มในใจ ไม่เคยคิดเลยว่าจะถูกกระแสน้ำกวาดซัดมาไกลถึงห้าร้อยหลี่ โชคยังดีที่สำหรับมันระยะทางห้าร้อยหลี่ไม่ได้ไกลเกินไปนัก ด้วยพลังบำเพ็ญเพียรที่พุ่งทะยานขึ้น ความเร็วในการเดินทางก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
มันตั้งใจว่าเมื่อบรรลุถึงด่านจู้จีขั้นที่ห้า มันจะต้องร่ำเรียนเวทวิชาเหินฟ้าให้จงได้ หากต่อไปต้องเผชิญสถานการณ์เช่นนี้อีก คงไม่อาจพึ่งพาแค่สองขาเท่านั้น
แต่จั่วม่อยังไม่เร่งร้อนอันใด ระหว่างทางยังสอบถามผู้คนอีกสองสามคน พวกมันล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ตราบเท่าที่มันเดินตรงไปตามถนน มันก็จะไปถึงตงฝู และเมื่อไปถึงตงฝู นั่นก็เท่ากับใกล้เคียงทางกลับบ้านของมันที่ภูเขาสุญตามากแล้ว
ขณะเดินทาง มันก็ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เรียนรู้มาในวันนี้ไปพลาง ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด จั่วม่อเพิ่งสำเร็จวิชา มีหลายแห่งที่ยังไม่ค่อยกระจ่างนัก ทั้งยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องสะสางทำความเข้าใจเสียใหม่ แม้ว่าจะเดินทางเพียงลำพัง จั่วม่อก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายแม้แต่น้อย
“พี่ชายท่านนี้ ขอรบกวนถามสักเล็กน้อย ไม่ทราบว่าถนนเส้นนี้นำไปยังที่ใด?”
จั่วม่อผู้กำลังจมอยู่ในภวังค์ความคิด พลันถูกขัดจังหวะด้วยสุ้มเสียงไม่คุ้นหู ต้องเงยหน้าขึ้นมองอย่างขุ่นเคือง
แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นก็ตะลึงลาน
ในโลกบัดซบนี้...ไฉนถึงกับมีคนหล่อเหลากว่าเกอ?
ความคิดนี้วาบขึ้นมาในใจโดยไม่รู้ตัว
หล่อเหลา หล่อเหลากระไรปานนี้!
บุรุษตรงหน้ามีส่วนสูงไล่เลี่ยกับมัน คิ้วหนาพาดเฉียงดุจกระบี่ ดวงตาแหลมคมสุกใส สง่าผ่าเผยถึงที่สุด สวมชุดขาว ท่วงท่าสบายๆ คล้ายไม่อินังขังขอบต่อสิ่งใด หากกล่าวว่าผูเยาหมดจดงดงามเหนือกว่าบุรุษ สะคราญกว่าสตรี เช่นนั้นความหล่อเหลาของคนผู้นี้ สมควรบอกว่าองอาจเลิศล้ำกว่าบุรุษทั้งปวง นี่เป็นครั้งแรกที่จั่วม่อพบเห็นผู้คนที่สามารถเปรียบเทียบกับผูเยาได้ในเรื่องรูปลักษณ์หน้าตา
จั่วมองหันมามองตัวเอง ร่างผอมเกร็งประหนึ่งโครงกระดูก กางเกงขาดวิ่น หน้าผีดิบ......
จู่ๆ มันก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง!
“เจ้าเป็นใคร? มาทำอะไรที่นี่?” จั่วม่อลากเสียง ชายตามองอีกฝ่ายด้วยหางตา ราวกับว่าสถานที่นี้เป็นสวนหลังบ้านมันกระนั้น
คนผู้นั้นประสานมือคำนับ “น้องชายผู้นี้เรียกว่าหลินเชียน* เดินทางเที่ยวเล่นชมทิวทัศน์มาจนถึงที่นี่ แต่ข้าไม่รู้เส้นทาง ท่านพี่โปรดชี้แนะด้วย”
หลินเชียน?* วิญญูชนจอมปลอมสิไม่ว่า! จั่วม่อลอบนินทาในใจ
(*แปลว่าถ่อมตัวแซ่หลิน จั่วม่อแอบด่าก็เพราะหล่อเด่นเท่าผูเยา ดันชื่อถ่อมตน)
“เที่ยวเล่นชมทิวทัศน์?” จั่วม่อทวนคำ ลอบมองประเมินอีกฝ่าย จากนั้นยื่นมือขวา ทำทีเป็นถูนิ้วกลางกับนิ้วหัวแม่มือเข้าหากัน ใบหน้าผีดิบซึ่งไม่แสดงอารมณ์ตลอดชั่วฟ้าดินสลาย แท้ที่จริงกำลังส่งสัญญาณว่า ‘เจ้าเข้าใจความหมายแล้วหรือไม่’ อย่างเงียบๆ
หลินเชียนชะงักกึก มองนิ้วของจั่วม่อ ถามอย่างงุนงงว่า “มือของพี่ท่านเป็นอะไรไป?”
จั่วม่อแทบกระอักเลือด กล่าวอย่างขุ่นเคือง “แม้แต่นกเปลวเพลิงนำทางยังต้องการจิงสือ การถามทางเป็นบริการที่ต้องใช้เงิน เข้าใจหรือไม่?”
“อ้อ” หลินเชียนอุทานคล้ายเพิ่งเข้าใจจริงๆ จากนั้นหยิบจิงสือชิ้นหนึ่งออกมาส่งให้จั่วม่ออย่างเชื่อฟัง
จั่วม่อดวงตาเบิกกว้างเท่าไข่ห่าน ฉกจิงสือจากมืออีกฝ่ายอย่างว่องไวปานสายฟ้า
โอ โอ้! จิงสือระดับสาม! สิ่งที่คนผู้นี้เอาออกมาถึงกับเป็นจิงสือระดับสามชิ้นหนึ่ง!
คุณชายร่ำรวย! แพะอ้วน! ลูกหลานล้างผลาญ!
จั่วม่อตราหน้าให้คำนิยามแก่หลินเชียนทันที ควักจิงสือระดับสามออกมาถามทาง มีแต่คุณชายร่ำรวยผู้ไม่ล่วงรู้เรื่องราวทางโลกเท่านั้น จึงจะกระทำการโง่เขลาเยี่ยงนี้ ความคิดหมุนเร็วรี่อยู่ในหัว จั่วม่อน้ำเสียงเป็นกันเองขึ้นมาในทันใด “อ้อ โอ้! การช่วยเหลือผู้คนเป็นภาระของคนรุ่นข้าอยู่แล้ว พี่หลิน อย่าได้กังวล ข้าชำนาญพื้นที่แถบนี้อย่างยิ่ง”
“อ้อ” หลินเชียนคล้ายเข้าใจ ผงกศีรษะรับรู้ แสดงสีหน้าโล่งใจ
“จากที่นี่ เดินตรงไปจะเป็นตงฝู” จั่วม่อแสดงภูมิทุกอย่างที่มันทราบ จากนั้นแสร้งทำเป็นลึกลับ ถามว่า “พี่หลินทราบหรือไม่ว่าตงฝูเป็นสถานที่เยี่ยงไร?”
“ข้าไม่ทราบ” หลินเชียนถามด้วยสีหน้าสนอกสนใจ
ช่างเป็นคุณชายน้อยผู้หนึ่งจริงๆ ! จั่วม่อทั้งริษยาทั้งดูแคลน ทุกวันนี้ นอกจากคุณชายร่ำรวยแล้ว ผู้ใดจะมีเวลาว่างเที่ยวเล่นชมทิวทัศน์ไปทั่วทุกหนแห่งได้?
ในใจลอบนินทาว่าร้าย แต่ปากก็กล่าว “ตงฝูแห่งนี้ เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของอาณาจักรนภาจันทร์ของเรา มันมี... ...” ทันใดนั้นมันพลันตระหนักว่าคุณชายผู้นี้บางทีอาจมาจากอาณาจักรที่ใหญ่โตกว่านี้ และสิ่งเหล่านี้ย่อมไม่กระตุ้นความสนใจของอีกฝ่าย จึงรีบเปลี่ยนแนวทาง “กล่าวถึงตงฝู ย่อมต้องกล่าวถึงตงฝูเจินเหรินตัดยอดเขาในกระบี่เดียว แล้วใช้ภูเขาครึ่งที่เหลือสร้างเมืองขึ้นมา”
“น่าประทับใจ น่าประทับใจ!” หลินเชียนยกย่องครั้งแล้วครั้งเล่า สีหน้าจริงใจยิ่ง
มันดูอย่างไรก็คล้ายคุณชายที่ใช้การไม่ได้ผู้หนึ่ง!
จั่วม่อในใจผ่อนคลายลงเล็กน้อย กล่าวต่อ “หากพี่หลินต้องการเที่ยวเล่นชมทิวทัศน์ ในตงฝูมีสถานที่น่าสนใจอยู่สองสามแห่ง”
“พี่ท่านโปรดชี้แนะ”
จั่วม่อปะติดปะต่อสิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังมา กล่าวว่า “หากเป็นทิวทัศน์ ที่งามล้ำที่สุดคือยอดเขาดอกเหมยแห่งสำนักกระบี่ตงฉี และหากเป็นแม่น้ำ แม่น้ำตั่งเทียนก็ไม่เลวเลย สายน้ำเร็วรี่ นี่ข้ากล้ายืนยันด้วยตัวเองเลยทีเดียว ทิวทัศน์สองฟากข้างน่าตื่นตาตื่นใจ......”
ที่มันกล่าวล้วนเหลวไหลไร้สาระ แต่หลินเชียนคล้ายรับฟังอย่างระมัดระวังยิ่ง
“ถึงแม้ตงฝูจะอยู่ห่างไกล แต่ยังนับว่ามียอดฝีมืออยู่ไม่น้อย หลายวันก่อนข้าพบเห็นเรือพันปีกด้วย จุ๊ จุ๊ น่าสะพรึงกลัวจริงๆ”
“เรือพันปีก?” หลินเชียนถามอย่างฉับพลัน
“ใช่แล้ว เป็นตำหนักเคลื่อนที่ของชื่อเหย่เจินเหริน”
เมื่อมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน ทั้งสองจึงร่วมทางไปด้วยกัน ได้รับจิงสือระดับสามมาชิ้นหนึ่ง จั่วม่อพึงพอใจมาก หลินเชียนผู้นี้พลังบำเพ็ญเพียรไม่สูงนัก เพียงเหนือกว่ามันเล็กน้อย ดังนั้นจั่วม่อไม่กลัวว่ามันจะประสงค์ร้าย
สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ทิวาหรือราตรีก็มิได้แตกต่างกันเท่าใด แม้รัตติกาลย่างกรายมาเยือน พวกมันทั้งสองก็ไม่ได้หยุดเดินทาง สำหรับจั่วม่อแล้ว แม้ว่าในระหว่างทางมันไม่มีโอกาสได้ทบทวนตรึกตรองเพลงกระบี่อีก แต่ก็ไม่ได้เบื่อหน่ายที่มีสหายร่วมสนทนา ในไม่ช้าด้วยประสบการณ์เล็กน้อยเท่าหางอึ่งของจั่วม่อ ก็หมดเรื่องจะกล่าวอย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนเป็นหลินเชียนเป็นฝ่ายกล่าววาจาแทน
เวลานี้เอง จั่วม่อค่อยค้นพบว่าคุณชายแพะอ้วนผู้นี้ ที่แท้รอบรู้ลึกล้ำถึงเพียงนี้ มันฟังไปฟังไป ก็ยิ่งนับถือเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นครั้งแรกที่มันพบพานผู้ที่กอรปด้วยภูมิความรอบรู้กว้างขวางดุจดั่งมหาสมุทร รอบกายมันหากไม่ใช่คนที่คร่ำเคร่งฝึกปรือกระบี่ ก็เป็นพวกที่ยุ่งอยู่กับภาระงานการผลิต มันไม่เคยพบเคยเห็นคนที่รอบรู้ทุกเรื่องราวในใต้หล้าเหมือนเช่นหลินเชียนผู้นี้มาก่อน
ไม่ทราบว่าหลินเชียนในที่สุดก็เพิ่งได้พบกับคนที่ตั้งอกตั้งใจฟังมันถึงเพียงนี้หรือไร มันก็พร่ำพูดไม่ขาดตอน กล่าวถึงเรื่องราวน่าสนใจทั้งมวล ดึงดูดให้จั่วม่อรับฟังอย่างหลงใหลสุดใจ
แม้จะเดินไปพลาง สนทนาอย่างออกรสไปพลาง แต่ความเร็วของพวกมันก็ไม่ได้ชักช้าแต่อย่างใด ไม่นานก็เข้าใกล้เขตตงฝู
“ศิษย์พี่จั่ว! ศิษย์พี่จั่ว!”
จั่วม่อได้ยินคนเรียกหามัน จึงเงยหน้าขึ้น เห็นศิษย์ฝ่ายนอกสองสามคนพุ่งตรงมายังมัน พวกมันล้วนพากันระบายลมหายใจอย่างโล่งอก “ในที่สุดก็หาศิษย์พี่จั่วพบแล้ว! ท่านเจ้าสำนักวิตกกังวลกับศิษย์พี่ไม่น้อย มีคำสั่งให้พวกเราติดตามค้นหาศิษย์พี่โดยเฉพาะ!”
ยังไม่ทันจะกล่าวจบ สีหน้าพวกมันเปลี่ยนเป็นแปลกพิกลอยู่บ้าง เบื้องหน้าพวกมัน จั่วม่อกับหลินเชียนยืนเคียงข้างกัน กลับสร้างความแตกต่างอย่างพิสดาร ข้างบุรุษหล่อเหลาถึงที่สุดผู้หนึ่ง ยืนไว้ด้วยโครงกระดูกเปลือยท่อนบนถือกระบี่ผู้หนึ่ง ภาพนี้ช่าง... ...
จั่วม่อไม่แยแสสนใจสีหน้าของศิษย์ฝ่ายนอกเหล่านี้ มันหมุนตัวไปยังหลินเชียน ยื่นส่งจิงสือระดับสามชิ้นนั้นคืนไปให้ กล่าวอย่างจริงจังว่า “ภูมิความรู้ของพี่หลินลึกล้ำดุจห้วงสมุทร จั่วม่อเลื่อมใสยิ่ง จิงสือชิ้นนี้ผู้น้องไม่กล้ารับไว้ หนึ่งวันหนึ่งคืนมานี้ผู้น้องได้เรียนรู้มหาศาล เพียงพอจะใช้เป็นแนวทาง แต่น่าเสียดายที่ผู้น้องต้องรับการทดสอบของสำนักในทันที ไม่มีเวลาเที่ยวเล่นชมทิวทัศน์เป็นเพื่อนพี่หลินแล้ว หวังว่าพี่หลินจะเที่ยวเล่นอย่างสาสมใจ!”
กล่าวจบคำ มันก็ยัดจิงสือระดับสามชิ้นนั้นใส่มือหลินเชียน
ที่ด้านข้าง เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกเบิ่งตาแทบถลน จ้องมองจิงสือระดับสามอย่างโง่งม
โบกมืออำลาหลินเชียน จั่วม่อเริ่มวิ่งตรงลิ่วไปยังภูเขาสุญตา เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกคล้ายสติเพิ่งกลับเข้าร่าง หักห้ามสายตาจากจิงสือ รีบวิ่งไล่ตามจั่วม่อไป