บทที่ 61 ความคิดเพื่ออนาคต
จั่วม่อปาดเช็ดน้ำออกจากใบหน้า พลางโขยกเขยกปีนไต่ขึ้นไปยังริมฝั่งแม่น้ำ มันไม่เคยคิดเลยว่าเพลิงธาราผลาญฟ้าจะกลับกลายเป็นน้ำป่าไหลบ่า ซัดพามันซึ่งหมดเรี่ยวแรงมาไกลลิบลับร่วมสองร้อยสามร้อยหลี่ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเพลิงธาราผลาญฟ้าสูบพลังปราณของมันไปจนเกลี้ยงฉาด ในเวลานั้นมันไม่เหลือพลังกระทั่งจะหายใจผ่านเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิด นับประสาอะไรกับถูกโถมทับด้วยมวลน้ำมหาศาล ได้แต่พยายามประคองตัวให้ลอยเหนือน้ำราวกับกิ่งไม้สักท่อนหนึ่ง
เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด ในแม่น้ำตั่งเทียนยังดารดาษไปด้วยก้อนหินระเกะระกะ จั่วม่อต้องทนทุกข์ทรมานกับการปะทะชนกับก้อนหินเหล่านั้นมาตลอดทาง ไม่มีส่วนใดในร่างกายไม่ได้รับบาดเจ็บ
ระยะทางสองร้อยสามร้อยหลี่ อันที่จริงไม่ถือว่าห่างไกลกระไรนัก แต่จั่วม่อเวลานี้ไม่มีแม้แต่นกกระเรียนกระดาษสักตัว นางห่านจะงอยเทาตัวเมียนั่นก็ไม่ใช่ว่าจะพึ่งพาอาศัยได้ ที่สำคัญคือทั้งเนื้อทั้งตัว มันเพียงสวมกางเกงตัวเดียว ไม่มีจิงสือติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว
ฟุบลงบนก้อนหินริมฝั่งน้ำ จั่วม่อหอบหายใจระทดระทวย แต่ในดวงตาทอประกายลิงโลดยินดี
เจตจำนงกระบี่ เจตจำนงกระบี่เพลิงธารา! ในที่สุดมันก็ก่อกำเนิดเจตจำนงกระบี่เพลิงธาราสำเร็จ!
ถึงแม้ว่ามันเพิ่งแตะถูกเจตจำนงกระบี่เพลิงธาราเพียงผิวเผิน ยังไม่ได้บรรลุขั้นลึกซึ้งแต่อย่างใด แต่ตราบใดที่มันยังมุ่งมั่นฝึกปรือ เพลงกระบี่เพลิงธาราของมันก็ยิ่งจะรุดหน้าขึ้นตามธรรมชาติ
สิ่งที่น่าชื่นชมยินดีกว่านั้น คือหยดแก่นสารน้ำภายในกระบี่ผลึกน้ำแข็งไม่ได้สูญสลายไป แต่อันที่จริงถึงกับใหญ่โตขึ้นอีกเล็กน้อย ยามนี้มีขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยแล้ว
จั่วม่อไม่รีรอลังเล ฝืนขยับขานั่งขัดสมาธิ เข้าสู่ห้วงฌานในทันที
สองชั่วยามให้หลัง มันก็ลืมตาขึ้น กระโดดผลุงขึ้นจากพื้น
ควบคุมกระบี่ผลึกน้ำแข็งโบยบินขึ้นฟ้า จั่วม่อเริ่มต้นร่ายรำกระบวนท่าเคล็ดกระบี่เพลิงธารา ก่อนหน้านี้แต่ละกระบวนท่าไหลลื่น สอดประสานเรียงร้อยเข้าด้วยกัน ปราศจากอาการสะดุดติดขัด แต่ยามนี้คล้ายรุดหน้าไปอีกขั้น บรรลุถึงขั้นหลอมรวมเป็นเนื้อเดียว ไร้ร่องรอยให้สืบสาวอีกต่อไป ทั้งยังปรากฏเจตจำนงกระบี่คล้ายเปลวไฟอันเบาบางแผ่กระจายออกมา อุณหภูมิรอบข้างเพิ่มสูงขึ้นอย่างฉับพลัน
โลกใบใหม่เห็นแจ่มชัดอยู่เบื้องหน้ามันนี่เอง
หนึ่งกระบวนท่าหลังจากผ่านไปหนึ่งรอบ จั่วม่อท่วงทีเคร่งขรึมจริงจัง กระบวนท่าใช้ออกตามความคิด มันสามารถรู้สึกได้ว่าในแต่ละกระบวนท่า ด้วยกระบี่ผลึกน้ำแข็งเป็นศูนย์กลาง จะปรากฏม่านน้ำจางๆ แผ่ออกไปรอบด้าน หากเพ่งดูใกล้ๆ อาจเห็นได้ว่าม่านน้ำนี้ก่อตัวขึ้นจากบุปผาเพลิงที่คล้ายหยดน้ำขนาดเล็กจิ๋วจำนวนมาก
ภายในทะเลแห่งจิตสำนึกของจั่วม่อ แม่น้ำธารน้ำแข็งตรงแน่วก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตรงกลางแม่น้ำแบ่งแม่น้ำออกเป็นสองซีก ด้านหนึ่งเต็มไปด้วยผลึกน้ำแข็งกระเพื่อมไหวไม่หยุดยั้ง ส่วนอีกด้านเป็นเพลิงธาราเหลือคณานับลุกไหม้อย่างเงียบงัน
จั่วม่อรู้สึกว่าพลังฝีมือรุดหน้ากว่าเดิม เจตจำนงกระบี่เพลิงธาราที่มันเพิ่งบรรลุถึง แตกต่างจากเจตจำนงกระบี่กระแสธารที่มันครอบครองมาแต่เดิมอย่างสิ้นเชิง สำหรับเจตจำนงกระบี่กระแสธาร แทนที่จะกล่าวว่ามันบรรลุความเข้าใจ น่าจะเรียกว่าลอกเลียนมาตรงๆ เสียมากกว่า ส่วนเจตจำนงกระบี่เพลิงธารา แม้ว่าผูเยาจะชี้แนะและอรรถาธิบายให้ แต่มันก็ผ่านกระบวนการทั้งหมดมาทีละขั้นทีละตอนด้วยตัวมันเอง ประโยชน์ที่ได้รับย่อมเหนือกว่าก่อนหน้านี้อย่างเทียบกันไม่ติด
กระบี่ผลึกน้ำแข็งฉกลงแล้วเหินขึ้น วิถีกระบี่ไปมาไร้ร่องรอย เจตจำนงกระบี่เสมือนไฟลุกไหม้ร้อนแรง
แต่จั่วม่อค่อยๆ รู้สึกถึงบางอย่าง อดขมวดคิ้วนิ่วหน้าไม่ได้ เจตจำนงกระบี่เพลิงธาราเป็นเสมือนไฟ พลังความร้อนที่ปลดปล่อยออกมาแม้ว่าจะทำให้เพลงกระบี่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับกระบี่ผลึกน้ำแข็งแล้ว กลับก่อให้เกิดความเสียหายชนิดหนึ่ง
กระบี่ผลึกน้ำแข็งสังกัดหยิน คุณสมบัติเย็นเยือก แรกเริ่มเดิมทีเหมาะสมกับเพลงกระบี่ธาตุน้ำเป็นที่สุด แต่เพลงกระบี่ที่จั่วม่อเลือกกลับเป็นเคล็ดกระบี่เพลิงธารา ซึ่งเรียกให้ควบคุมบังคับใช้น้ำเสมือนไฟ หากฝืนใช้งานเยี่ยงนี้ต่อไป คุณภาพของกระบี่บินเล่มนี้อาจลดต่ำลงเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่ามันจำเป็นต้องมีกระบี่บินที่เหมาะสมกับมันมากกว่านี้ จั่วม่อรำพึงในใจ แต่ก็รีบโยนปัญหาไปทางด้านข้างก่อน กระบี่บินมีราคาแพง ไม่ใช่สิ่งของที่มันจะเลือกซื้อหาได้ในเวลานี้ แต่จะอย่างไรในเมื่อเวลานี้มันบรรลุเจตจำนงกระบี่ สำนักสมควรมอบกระบี่บินแก่มันสักเล่ม ด้วยขุมสมบัติของสำนัก เลือกกระบี่บินที่เหมาะสมกับมันสักเล่มไม่ควรเป็นเรื่องยาก
บังคับใช้กระบี่ร่ายกระบวนท่าเพียงเท่านี้ จั่วม่อไม่ทันได้เหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกคึกคักกระปรี้กระเปร่ามากกว่า แม้ว่ามันจะผอมแห้งจนแทบมีแต่กระดูก ทั้งยังสวมเพียงกางเกงตัวเดียว แต่ยืนอยู่ตรงนั้นถึงกับแฝงไว้ด้วยพลังสภาวะข่มขวัญชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ปัญหาเร่งด่วนที่สุดที่มันเผชิญอยู่ตอนนี้ คือการกลับไปยังสำนัก โชคดีที่ไม่ไกลเท่าใด แม้ว่าจะต้องเดินเท้า แต่เวลาเพียงวันเดียวสมควรพอแล้ว
สำนักกระบี่สุญตาช่วงนี้สับสนวุ่นวายอยู่บ้าง ในโถงสุญตา ผู้คนเดินเข้าออกไม่ขาดสาย พวกมันล้วนกำลังตระเตรียมสำหรับการทดสอบของสำนักในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ด้านในโถงสุญตา สือฟ่งหรงจ้องหน้าซินหยานอย่างขุ่นเคือง “จริงๆ แล้วท่านก็ยืนดูมันถูกน้ำพัดหายไปเฉยๆ เช่นนั้นหรือ?”
ใบหน้าของซินหยานไม่มีความเย็นเยียบดังเช่นปกติ มันกล่าวอย่างระมัดระวัง “สถานการณ์ยามนั้นเกินกว่าที่ข้าคาดไว้ ข้าไม่ทันคิดว่ามันจะถูกน้ำพัดหายไปในทันที รอจนข้าฉุกคิด มันก็หายไปแล้ว”
“มันเป็นแค่เกษตรกรปราณผู้หนึ่ง หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น... ...ฮึ่ม!” สือฟ่งหรงขุ่นข้องไม่คลาย แค่นเสียงอย่างเย็นชา
“ศิษย์น้องหญิงอย่าได้วิตกมากเกินไป” ซินหยานหัวร่อสบายใจ “ยามนี้มันเมื่อบรรลุเจตจำนงกระบี่ ในอาณาเขตรอบตงฝู ผู้ใดสามารถสร้างปัญหาแก่มันได้?”
ได้ยินเช่นนั้น สือฟ่งหรงโทสะค่อยบรรเทาลงบ้าง นางหมุนตัวกลับมา “มันบรรลุเจตจำนงกระบี่จริงๆ หรือ? สามเดือนเท่านั้นเอง พรสวรรค์ไม่เลวเลย มันเลือกเคล็ดวิชาใด? เคล็ดกระบี่เวิ้งว้างหรือเคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์?”
ซินหยานเห็นสีหน้าสือฟ่งหรงผ่อนคลายลง ค่อยลอบระบายลมหายใจอย่างโล่งอก มันตอบอย่างยิ้มแย้มว่า “มันเพิ่งเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายใน จะเลือกเคล็ดกระบี่เวิ้งว้างหรือเคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์ได้อย่างไรเล่า? สิ่งที่มันฝึกปรือคือเคล็ดกระบี่เพลิงธารา อันที่จริงทีแรกข้าก็ไม่ทันตระหนักด้วยซ้ำ”
สือฟ่งหรงพอได้ยินดังนั้น ก็หน้าคว่ำอีกครา “เพิ่งเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในแล้วเป็นไร? เหวยเสิ้งเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในนานกว่ามันนักหรือ? ฮึ่ม ในเมื่อเหวยเสิ้งสามารถเข้าสู่ถ้ำกระบี่ ไฉนจั่วม่อไม่สามารถฝึกปรือเคล็ดกระบี่เวิ้งว้างหรือเคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์”
ซินหยานฝืนยิ้ม แอบบ่นในใจ แต่ดันปากไวตอบไปว่า “เหวยเสิ้งมีพรสวรรค์โดดเด่น... ...”
สือฟ่งหรงทะลุกลางปล้องทันควัน “จั่วม่อไม่มีความสามารถเพียงพอ? พรสวรรค์ของมันไม่ดีพอเช่นนั้นหรือ? ภายในระยะเวลาเพียงสามเดือน ไม่มีผู้ใดคอยชี้แนะ มันยังสามารถบรรลุเจตจำนงกระบี่ได้เอง! ท่านลองไปหาดูมีผู้ใดทำได้หรือไม่ จนกระทั่งถึงยามนี้ หลัวหลียังไม่เข้าใจเจตจำนงกระบี่เลย!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ใช่แล้ว! ศิษย์น้องหญิงกล่าวถูกต้อง!” ซินหยานสำนึกเสียใจจนลำไส้เป็นสีเขียว*
(*หมายความประมาณว่า เสียใจแทบตายแล้ว)
ทันใดนั้น ทั้งสองคนได้ยินเสียงผู้คนใกล้เข้ามา พวกมันกลับมาทำสีหน้าเย็นชาเช่นดังปกติ
เผยเหยียนหรานเดินเข้ามา พอพบเห็นทั้งคู่ มุมปากก็ลอบยิ้มบางๆ แต่ต่อมาก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว กล่าวทักทาย “ศิษย์น้องรอง ศิษย์น้องหญิง สนทนาเรื่องอันใดกัน?”
“ไม่มีใด เพียงศิษย์ของศิษย์น้องหญิง จั่วม่อ สำเร็จเจตจำนงกระบี่แล้ว” ซินหยานตอบด้วยสีหน้าเย็นเยียบ ไม่หลงเหลือร่องรอยระมัดระวังลุกลี้ลุกลนเหมือนเช่นเมื่อครู่
“อ้อ” เผยเหยียนหรานประหลาดใจอยู่บ้าง “มันบรรลุเจตจำนงกระบี่แล้ว? ข้าไม่คิดว่ามันจะมีพรสวรรค์ทางกระบี่ด้วย ไม่เลว ไม่เลว เช่นนั้นตอนนี้มันไปยังที่ใด? ข้าจะตบรางวัลให้เสียหน่อย”
“มันฝึกกระบี่อยู่ใต้น้ำ แต่พอบรรลุถึงเจตจำนงกระบี่ ก็เผลอถูกน้ำพัดพาไป ทีแรกข้าไม่ได้ให้ความสนใจนัก จึงไม่ทันช่วยเหลือมัน” ซินหยานเล่าอย่างรวบรัด
“ไม่เป็นไร จั่วม่อเมื่อบรรลุเจตจำนงกระบี่ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของมันในเขตตงฝู” เผยเหยียนหรานพึมพำ จากนั้นเสริมว่า “อืม จัดให้ศิษย์ฝ่ายนอกจำนวนหนึ่งค้นหาลงไปตามแม่น้ำ ให้แน่ใจว่ามันจะไม่พลาดเวลาการทดสอบของสำนัก”
“เข้าใจแล้ว” ซินหยานรับคำ
“ศิษย์พี่เจ้าสำนัก” สือฟ่งหรงเปิดประเด็นเสียงเย็น
“มีเรื่องใด?” เผยเหยียนหรานถามอย่างยิ้มแย้ม
“จั่วม่อสามารถบรรลุเจตจำนงกระบี่ในสามเดือน เป็นที่แน่ชัดว่ามันมีพรสวรรค์ด้านกระบี่” สือฟ่งหรงกล่าวพลางจ้องหน้าเผยเหยียนหรานเขม็ง “ด้วยเหตุนี้ ข้าคิดว่าสำนักสมควรให้โอกาสมันฝึกปรือเพลงกระบี่ชั้นสูงกว่านี้”
เผยเหยียนหราตอบว่า “ไม่ต้องรีบร้อน เรื่องนี้ค่อยหารือกันภายหลัง”
“ไฉนต้องภายหลัง?” สือฟ่งหรงก้าวไปข้างหน้า ถามเสียงกร้าว
ซินหยานที่ด้านข้าง มองเผยเหยียนหรานถูกกดดัน ดวงตาทอแววเห็นอกเห็นใจ
“อืม” เผยเหยียนหรานกล่าวอย่างจนปัญญา “ศิษย์น้องหญิงไม่กังวลเรื่องชาติกำเนิดของมันแล้ว?”
สือฟ่งหรงงันไปวูบหนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้น กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ยามที่มันเข้าเป็นศิษย์ฝ่ายใน ข้าเฝ้าวิตกกังวลเรื่องประวัติความเป็นมาและชาติกำเนิดของมัน แต่ยามนี้มันเมื่อเป็นศิษย์ของข้า ไม่ว่าก่อนหน้านี้มันจะเป็นอะไร ข้าก็จะชี้นำมันให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้”
เผยเหยียนหรานกับซินหยานสบตากันวูบ พวกมันล้วนอับจนปัญญาอย่างแท้จริง
“ศิษย์น้องหญิงกล่าวได้ดี” เผยเหยียนหรานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ที่จริงนี่ยังไม่ใช่เวลามาหารือเรื่องนี้ ข้าหาพวกเจ้าวันนี้เพื่อปรึกษาอีกเรื่องหนึ่ง”
สือฟ่งหรงกับซินหยานรอให้มันกล่าวต่อ
“พวกเจ้าล้วนล่วงรู้เรื่องราวของงานชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝูแล้ว” เผยเหยียนหรานสีหน้าหนักใจ “ที่ผ่านมาข้าไม่เคยคาดหวังในตัวจั่วม่อมาก่อน แต่เวลานี้มันเมื่อบรรลุเจตจำนงกระบี่ เราย่อมสมควรส่งเสริมมัน ส่วนอีกเรื่องหนึ่ง เทียนซงจื่อแจ้งมาว่า ซิวเจ่อยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งจะเข้ามายังอาณาจักรนภาจันทร์ของเรา เพื่อตรวจสอบเรื่องดาวพร่างกลางทิวา ตงฝูเป็นหนึ่งในสิบสามเมืองใหญ่แห่งอาณาจักรนภาจันทร์ เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงยอดฝีมือกลุ่มนี้ได้ ฉะนั้นต้องควบคุมเหล่าศิษย์ในสำนักให้ดี คอยยับยั้งพวกมันไว้ อย่าให้ก่อปัญหาอันใดขึ้นในช่วงเวลานี้”
“พวกมันมากันกี่คน?” ซินหยานพอฟังว่าจะได้พบยอดฝีมือ ม่านตาของมันก็หดแคบเท่าปลายเข็ม เจตจำนงกระบี่ของมันสั่นสะเทือน
“ศิษย์น้อง อย่าได้วุ่นวายไป ยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนมาจากเบื้องบน” เผยเหยียนหรานเตือนอย่างเคร่งขรึม
ซินหยานสะท้านขึ้นคราหนึ่ง “มาจากเบื้องบน?” มันฝืนยิ้ม “ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะโด่งดังไม่น้อย”
“ทุกผู้คนล้วนล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” เผยเหยียนหรานกล่าว “สิ่งที่เทียนซงจื่อมองเห็น เกรงว่าผู้อื่นอีกมากมายยิ่งสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เวลานี้ อสูรปิศาจกำลังเข้มแข็งขึ้นทุกขณะ ผู้ใดหาญแตะต้องก่อน ผู้นั้นก็โชคร้ายแล้ว” กล่าวไปกล่าวไป น้ำเสียงก็กลับกลายเป็นหนาวเหน็บ
หลัวหลียืนอย่างสงบ ท่วงท่าไม่แยแส เบื้องหน้ามัน ฉินเฉิงตั้งท่าเตรียมพร้อม สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง กล่าวว่า “ศิษย์น้อง ระมัดระวังด้วย”
เพียงกล่าวจบคำ ฉินเฉิงผนึกปางมือ แสงสีดำสายหนึ่งพวยพุ่งตรงเข้าหาหลัวหลี เห็นเศษเสี้ยวสายฟ้าผสานอยู่ในลำแสงสีดำ เต็มไปด้วยกลิ่นอายข่มขวัญ เสียงฟ้าคำรนสนั่นกึกก้อง! วิชาที่ฉินเฉิงฝึกปรือเรียกว่า [เคล็ดกระบี่วายุอสนีบาต] กระบี่เช่นสายลม ประดุจสายฟ้า ทรงพลังอำนาจอย่างน่าเหลือเชื่อ ฉินเฉิงแม้ไม่ได้เปี่ยมพรสวรรค์อันเด่นล้ำเช่นหลัวหลี แต่เมื่อคร่ำเคร่งฝึกปรือมายาวนาน ย่อมเข้มแข็งแกร่งกร้าวเหนือธรรมดา เมื่อกระบี่ของมันจู่โจมออกมา วายุอัสนีก่อเกิดประสาน สำแดงฤทธานุภาพสยบโลกหล้า!
กระบี่บินของมันเป็นกระบี่บินระดับสาม นามว่ากระบี่อัสนีนิลกาฬ ตัวกระบี่หนาหนัก ประกอบขึ้นจากสินแร่สายฟ้า เหมาะเจาะพอดีกับเคล็ดกระบี่วายุอสนีบาตถึงที่สุด เนื่องจากน้ำหนักของกระบี่บิน ทำให้เคล็ดกระบี่วายุอสนีบาตของฉินเฉิงสูญเสียความว่องไวไปบ้าง แต่เมื่อเพิ่มน้ำหนักและความหนักหน่วงเข้าไป ผสานกับสายฟ้าแปลบปลาบ พลังอำนาจมีแต่เพิ่มขึ้นไม่มีลดลง
หลัวหลีจ้องมองลำแสงสีดำอย่างเย็นชา ไม่คิดหลบเลี่ยง สองตาวาบประกายดุจสายฟ้า
ติ้ง!
เสียงปะทะกระจ่างใสชัดเจน กระบี่อัสนีนิลกาฬหนักร่วมพันจิน ชะงักค้างกลางอากาศในบัดดล!
ไม่มีเค้าลางล่วงหน้า ไม่มีช่วงระยะที่ชะลอความเร็ว ราวกับว่าใครบางคนร่ายคำสาปอัมพาตใส่กระบี่อัสนีนิลกาฬ ตรึงมันไว้ที่กลางเวหาในพริบตา!
ฉินเฉิงสีหน้าแปรเปลี่ยน มันแค่นเสียงอย่างเย็นชา กระบี่อัสนีนิลกาฬที่หยุดนิ่งทันใดนั้นก็กระโจนขึ้นราวกับมัจฉาทะยานพ้นสายนที พายุสายฟ้าคะนองที่ล้อมรอบตัวกระบี่หลอมรวมกันในฉับพลัน กลายเป็นลูกกลมสายฟ้าพวยพุ่งออกจากกระบี่ ทันทีที่ลูกกลมสายฟ้าหลุดพ้นจากปลายกระบี่อัสนีนิลกาฬ มันก็แปรสภาพเป็นกระบี่สายฟ้าเล่มหนึ่ง กระบี่สายฟ้าขยายใหญ่ขึ้นกลางอากาศในทันทีทันใด แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่สายฟ้าเล่มยักษ์ขนาดหลายจั้ง ฟาดฟันใส่หลัวหลีอย่างดุดัน!
หลัวหลีสีหน้าเยือกเย็น ประกบดรรชนีเป็นกระบี่ จี้ใส่กลางอากาศอย่างแผ่วเบา
เห็นพื้นที่ว่างเบื้องหน้ากระบี่สายฟ้าเล่มยักษ์ ทันใดนั้นปรากฏรอยแตกขึ้นบนความว่างเปล่า ราวกับว่าท่วงท่าของหลัวหลีตัดผ่านช่องว่าง ผ่าแยกท้องฟ้า! ไม่มีเวลาให้ปรับเปลี่ยนกระบวนท่า กระบี่สายฟ้าพุ่งใส่รอยแยก ฉินเฉิงสีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน มันสูญเสียการเชื่อมโยงกับกระบี่สายฟ้าเล่มยักษ์อย่างสิ้นเชิง!
ฉินเฉิงเหม่อมองอย่างโง่งม ชั่วขณะหนึ่งค่อยฟื้นคืนสติ มันไม่อาจรักษาความเยือกเย็นไว้ได้อีกต่อไป ถามเสียงสั่นพร่า “เคล็ดกระบี่สุญตา...นี่...นี่ใช่เคล็ดกระบี่สุญตาหรือไม่?”