เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 104 ซื้อวิญญาณสุรา (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 104 ซื้อวิญญาณสุรา
แปลโดย iPAT
ฟางหยวนไม่ลงไป ฟางเจิ้งไม่ขึ้นมา
ทั้งสองยืนอยู่ในตำแหน่งของตนเองและขยายระยะห่างระหว่างพี่น้องออกไป
"พี่ใหญ่ ท่านทำมากเกินไปแล้ว ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะเป็นคนเช่นนี้!" ฟางเจิ้งขมวดคิ้วลึกและตะโกน
ฟางหยวนไม่โกรธแต่หัวเราะเบาๆ "โอ้ ข้าเป็นคนเช่นไรงั้นหรือ?"
"พี่ใหญ่!" ฟางเจิ้งตะโกนเสียงดัง "หลังจากท่านพ่อท่านแม่ของเราเสียชีวิต ท่านลุงกับท่านป้าดูแลพวกเรามาตลอด แต่ท่านกลับไร้หัวใจตอบแทบความเมตตาด้วยความเกลียดชัง หัวใจของท่านทำมาจากหินงั้นหรือ?"
น้ำเสียงของฟางเจิ้งสั่นเครือเล็กน้อยขณะกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมา
"ประหลาดนัก มรดกเหล่านี้เป็นของข้าอย่างถูกต้องตามกฎของตระกูล แล้วมันเกี่ยวข้องกับความเมตตาหรือความเกลียดชังอย่างไร?" ฟางหยวนตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก
ฟางเจิ้งกัดฟันยอมรับ "ถูกต้อง ข้ารู้ว่ามรดกของท่านพ่อท่านแม่เป็นของท่าน แต่ท่านไม่สามารถนำไปได้ทุกสิ่ง อย่างน้อยท่านต้องเหลือทิ้งไว้ให้ท่านลุงกับท่านป้าเพื่อให้พวกท่านสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในวัยเกษียณ การกระทำของท่านทำให้พวกเราผิดหวัง ท่านทำให้ข้ารู้สึกรังเกียจ!"
"ท่านเคยกลับไปที่บ้านดูสภาพของท่านลุงท่านป้าบ้างหรือไม่? คนรับใช้ครึ่งหนึ่งถูกเลิกจ้างเพราะพวกท่านไม่สามารถดูแล พี่ใหญ่ ท่านโหดร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร?" ดวงตาของฟางเจิ้งเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ มือของเขากำหมัดแน่น
ฟางหยวนหัวเราะเสียงเย็น เขารู้ว่าลุงกับป้าครอบครองมรดกมานานหลายปีและได้รับผลประโยชน์จำนวนมหาศาล เพียงรายได้ของโรงเตี้ยมเดือนสุดท้าย พวกเขาก็สามารถจ่ายค่าจ้างคนรับใช้ได้ทั้งหมด แต่พวกเขาแสร้งทำตัวยากจนเพราะต้องการปลุกปั่นให้ฟางเจิ้งมาสร้างปัญหาเท่านั้น
ฟางหยวนมองฟางเจิ้งก่อนกล่าว "น้องชายที่น่ารักของข้า หากข้ายืนยันว่าจะไม่คืนทรัพย์สิน เจ้าจะทำสิ่งใด? เจ้าอายุสิบหก แต่อย่าลืมว่าเจ้ายอมรับพวกเขาเป็นพ่อแม่ เจ้าหมดสิทธิ์ในกองมรดกเรียบร้อยแล้ว"
"ข้ารู้!" ดวงตาของฟางเจิ้งส่องประกายขึ้น "นั่นเป็นเหตุผลที่ข้ามาที่นี่เพื่อท้าทายท่าน มาต่อสู้กันในสนามประลอง หากข้าชนะ ท่านต้องคืนสมบัติส่วนหนึ่งให้กับท่านพ่อท่านแม่ของข้า"
การต่อสู้ระหว่างผู้ใช้วิญญาณบนโลกใบนี้เหมือนกับการต่อสู้บนโลกมนุษย์
หากสมาชิกตระกูลมีความขัดแย้งที่ไม่สามารถแก้ไข พวกเขาจะใช้วิธีนี้เพื่อแก้ปัญหา มีการต่อสู้หลากหลายรูปแบบเช่นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง สองต่อสอง ต่อสู้ด้วยทักษะยุทธ์ ต่อสู้ด้วยความแข็งแกร่ง หรือการต่อสู้แห่งชีวิตและความตาย
แน่นอนว่าระหว่างฟางหยวนกับฟางเจิ้งย่อมไม่ใช่การต่อสู้แห่งชีวิตและความตาย
เห็นการแสดงออกของฟางเจิ้ง ฟางหยวนหัวเราะขบขัน "ดูเหมือนลุงกับป้าจะบอกเจ้าเช่นนี้ใช่หรือไม่? แต่คนที่เคยพ่ายแพ้ข้ามาก่อนกลับมั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะข้างั้นหรือ?"
ฟางเจิ้งขมวดคิ้วและไม่เต็มใจที่จะคิดถึงความอัปยศที่ได้รับบนสนามประลองครั้งก่อน
ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ ความโกรธจะปะทุขึ้นในหัวใจของเขาเสมอ
เขาเกลียดตนเองที่ไร้ประโยชน์และสติแตกในช่วงเวลาวิกฤต มันทำให้เขาไม่สามารถแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมา เขาไม่สามารถใช้วิญญาณกายาหยกขาวจนถึงวินาทีสุดท้ายและพบกับความพ่ายแพ้ที่น่าสมเพช นี่ทำให้เขารู้สึกขุนเคืองเป็นอย่างมาก
สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกท้อแท้
ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงที่จะไม่คิดถึงมัน
'หากมีโอกาสอีกครั้ง ข้าต้องทำได้ดีกว่าเดิมและจะไม่แพ้ท่านอย่างแน่นอน!'
เมื่อลุงกับป้าโอดครวญเกี่ยวกับฟางหยวน ฟางเจิ้งจึงต้องการต่อสู้กับฟางหยวนเพื่อพิสูจน์ตนเองและนำสมบัติกลับไป
"ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว พี่ใหญ่!" ฟางเจิ้งมองฟางหยวนด้วยเจตจำนงแห่งการต่อสู้ "ครั้งก่อนข้าทำได้ไม่ดีจึงพบกับความพ่ายแพ้ แต่ตอนนี้ข้าประสบความสำเร็จในการหลอมรวมวิญญาณอาภรณ์แสงจันทร์ระดับสอง ท่านไม่สามารถทำลายการป้องกันของข้าได้อีกต่อไป!"
ขณะกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ แสงสีฟ้าอ่อนก็ส่องประกายขึ้นบนร่างของฟางเจิ้งทันที
'มันเป็นวิญญาณอาภรณ์แสงจันทร์จริงๆ แต่เจ้ากลับโง่เขลาพอที่จะเปิดเผยไพ่ตายของตนเองออกมาเช่นนี้' ฟางหยวนมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยดวงตาส่องประกาย
อาภรณ์แสงจันทร์เป็นวิญญาณระดับสองที่ใช้ป้องกันตัว แม้พลังป้องกันของมันจะด้อยกว่าวิญญาณกายาหยกขาวเล็กน้อย แต่มันสามารถปกป้องผู้อื่นและถือเป็นความช่วยเหลือที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่ง
ฟางหยวนไม่สามารถทำลายการป้องกันของวิญญาณดวงนี้ได้ด้วยเพียงมือเปล่า
แม้เขาจะใช้วิญญาณแสงจันทร์ก็ยังไม่สามารถทะลวงผ่านการป้องกันของมัน เว้นเพียงเขาจะมีวิญญาณจันทร์กระจ่าง ด้วยเหตุนี้ฟางเจิ้งจึงกล้าท้าทายฟางหยวน นอกจากนั้นตามกฎของตระกูล ฟางหยวนก็ไม่สามารถปฏิเสธ อีกด้านหนึ่งหากฟางหยวนไม่ต้องการเปิดเผยการคงอยู่ของวิญญาณกายาหยกขาว เขาอาจพบกับความพ่ายแพ้จริงๆ
พรสวรรค์นภาที่หนึ่งก็คือพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง ภายใต้การสั่งสอนของผู้นำตระกูล ฟางเจิ้งสามารถเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาที่อยู่ในสถานศึกษา ฟางหยวนเหนือกว่าฟางเจิ้ง แต่ตอนนี้ฟางเจิ้งเริ่มแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเขาและกลายเป็นภัยคุกคามต่อฟางหยวน
'แต่...เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ปฏิเสธงั้นหรือ?' ฟางหยวนยกมุมปากขึ้น
เขากล่าวต่อ "น้องชายที่น่ารักของข้า แน่นอนว่าเจ้าสามารถท้าทายข้า แต่เจ้าได้รับอนุญาตจากกลุ่มของเจ้าหรือยัง? หากกลุ่มของเจ้าต้องออกไปปฏิบัติภารกิจระหว่างการประลอง เจ้าจะเลือกสิ่งใด?"
ฟางเจิ้งตะลึง เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนจริงๆ
เขาต้องยอมรับว่าพี่ชายของเขากล่าวได้ถูกต้อง กลุ่มจะทำงานร่วมกัน หากสมาชิกในกลุ่มต้องการแยกตัวออกไปปฏิบัติภารกิจส่วนตัว พวกเขาต้องรายงานกลุ่มก่อนเสมอ
"เจ้าต้องกลับไปพบหัวหน้ากลุ่มของเจ้าและอธิบายสถานการณ์นี้เป็นอันดับแรก ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่โรงเตี้ยมประตูเมืองทิศเหนือ" ฟางหยวนกล่าว
ฟางเจิ้งลังเลเล็กน้อยก่อนจะกัดฟันกล่าว "ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ พี่ใหญ่ กลยุทธ์ยื้อเวลาไม่มีประโยชน์!"
จากนั้นฟางเจิ้งก็เดินทางไปยังบ้านพักของฉิงซู
ฉิงซูกำลังฝึกใช้วิญญาณ ร่างกายของเขาเคลื่อนที่ไปรอบๆสนามฝึกอย่างรวดเร็ว
"วิญญาณเถาวัลย์เขียว" เขาตะโกนเบาๆก่อนที่เถาวัลย์สีเขียวจะพุ่งออกไปจากฝ่ามือข้างขวาของเขาและฟาดฟันไปรอบๆราวกับแส้
“เพียะ เพียะ เพียะ”
แส้เถาวัลย์ฝากรอยบาดลึกเอาไว้บนพื้นหิน
"วิญญาณเข็มสน" เขาเก็บเถาวัลย์ก่อนจะสะบัดศีรษะปลดปล่อยเส้นผมสีเขียวออกไปราวกับพายุเข็ม
พายุเข็มสนสีเขียวแทงทะลุหุ่นไม้และฝากรูเล็กๆจำนวนมากเอาไว้บนร่างของมัน
"วิญญาณกงล้อจันทรา" แสงสีเขียวส่องประกายขึ้นบนฝ่ามือข้างซ้ายของเขา
ด้วยการสะบัดมือ ดาบแสงจันทร์สีเขียวพุ่งออกไปทันที
ความแตกต่างของดาบแสงจันทร์สีเขียวชนิดนี้กับดาบแสงจันทร์ทั่วไปก็คือ มันจะมีความโค้งของวงจันทร์เสี้ยวที่มากขึ้น ขณะที่มันบินอยู่ในอากาศ มันสามารถเคลื่อนที่เป็นเส้นโค้งได้ดีกว่าทำให้มันยากที่จะคาดเดาทิศทาง
‘สมกับเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองอันดับหนึ่ง ด้วยการโจมตีดังกล่าว ข้าไม่แม้แต่จะสามารถยืนอยู่ได้ถึงสิบลมหายใจ เขาแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ’ ฟางเจิ้งอ้าปากค้างและหลงลืมความตั้งใจเดิมไปจนหมดสิ้น
"โอ้ ฟางเจิ้ง เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่? ภารกิจก่อนหน้าพึ่งจบลง เจ้าควรอยู่ระหว่างการพักผ่อน เจ้าควรสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน" เมื่อฉิงซูสังเกตเห็นฟางเจิ้ง เขาจึงเก็บกลิ่นอายและเผยรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า
"ท่านหัวหน้าฉิงซู" ฟางเจิ้งคำนับอย่างสุภาพ
นี่เป็นความเคารพที่เกิดจากหัวใจที่แท้จริงของเขา ตั้งแต่ฟางเจิ้งเข้าร่วมกับกลุ่มนี้ เขาได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ในสายตาของเขา ฉิงซูเปรียบเหมือนพี่ชายแท้ๆของเขา
"เรื่องเป็นเช่นนี้..." ฟางเจิ้งเริ่มกล่าวถึงความตั้งใจของเขารวมถึงเรื่องราวทั้งหมด
ได้ยินเรื่องเล่าของฟางเจิ้ง ฉิงซูขมวดคิ้วเล็กน้อย ความจริงก็คือเขาเคยได้ยินเรื่องราวของฟางหยวนมาก่อน หากเปรียบเทียบกับฟางเจิ้ง เขายังรู้สึกสนใจฟางหยวนมากกว่า
'มันอาจจะดีหากได้พบกับเขาสักครั้ง'
ฉิงซูคิดก่อนพยักหน้า "ข้ามีเรื่องที่ต้องพูดคุยกับพี่ชายของเจ้าเช่นกัน หากเป็นกรณีนี้ข้าก็จะไปพบเขาพร้อมกันกับเจ้า"
ใบหน้าของฟางเจิ้งเต็มไปด้วยความสุข "ขอบคุณท่านหัวหน้า"
"ฮ่าฮ่า ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ พวกเราเป็นสมาชิกกลุ่มเดียวกัน" ฉิงซูวางมือลงบนไหล่ของฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจขณะที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงโดยไม่รู้ตัว
ทั้งสองเดินทางไปยังโรงเตี้ยมทางทิศเหนือ
บนโต๊ะริมหน้าต่างวางไว้ด้วยอาหารหลายจานพร้อมกับถ้วยสุราสองใบ
ฟางหยวนนั่งอยู่ด้านหนึ่ง เมื่อเขาเห็นฉิงซูและฟางเจิ้ง เขาจึงเผยรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า "เชิญนั่ง"
ฉิงซูพยักหน้าก่อนจะนั่งลงและกล่าวกับฟางเจิ้ง "ฟางเจิ้ง ไปเดินเล่นข้างนอกสักครู่ ข้าจะพูดคุยกับพี่ชายของเจ้า"
เขาเป็นคนฉลาด เมื่อเห็นถ้วยสุราเพียงสองใบ เขาเข้าใจทันทีว่าฟางหยวนต้องการพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับเขา
แท้จริงแล้วเขาก็มีความตั้งใจเช่นเดียวกัน
ฟางเจิ้งตอบรับและออกไปจากโรงเตี้ยมด้วยความไม่พอใจมากนัก
"ข้ารู้จักเจ้า ฟางหยวน" ฉิงซูยิ้มก่อนจะยกไหสุราขึ้นรินให้กับฟางหวนจากนั้นจึงรินให้กับตนเอง
"เจ้าเป็นคนที่น่าสนใจและฉลาดมาก" เขายกถ้วยสุราขึ้นต่อหน้าฟางหยวน
ฟางหยวนหัวเราะก่อนจะยกถ้วยสุราขึ้นเช่นกัน
ทั้งสองดื่มให้แก่กัน
หลังจากนั้นฉิงซูก็รินสุราอีกครั้ง
ขณะรินสุรา เขาก็เริ่มเปิดปากกล่าว "ไม่จำเป็นต้องซ่อนเร้นความตั้งใจเมื่อต้องพูดคุยกับคนฉลาด ข้าต้องการซื้อวิญญาณสุราของเจ้า เจ้าจะขายเท่าใด?"
เขาไม่ได้ถามว่าฟางหยวนจะขายหรือไม่ แต่ถามว่าจะขายเท่าใด นี่แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของเขา
เขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองอันดับหนึ่ง ตั้งแต่ยังเยาว์เขาก็บรรลุระดับสองขั้นสุดยอดและสามารถเอาชนะซื่อซานกับโม่เยี่ยนที่เป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับสองขั้นสูง
เมื่อเขาปรากฎตัวขึ้นต่อหน้าฟางหยวน เขายังรินสุราให้กับฟางหยวนโดยปราศจากความหยิ่งยโส
ความมั่นใจและรอยยิ้มที่อ่อนโยนของเขาก่อให้เกิดกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ มันไม่ใช่ทั้งการสะกดข่มหรือพลังอำนาจที่ทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจ แต่มันทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความดื้อรั้นและเอาแต่ใจของเขา
เส้นผมสีเขียวที่ทิ้งตัวยาวลงไปด้านหลัง แสงแดดอ่อนๆในฤดูหนาวเผยให้เห็นริ้วรอยเล็กๆบนใบหน้าของเขา ฟางหยวนสามารถมองเห็นความงดงามของฤดูใบไม้ผลิบนใบหน้าของคนผู้นี้ได้อย่างชัดเจน
'เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง น่าเสียดาย...' ฟางหยวนคิด