ตอนที่ 5 เครื่องบรรณาการแห่งเทพเจ้า
ตอนที่ 5 เครื่องบรรณาการแห่งเทพเจ้า
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
“ตำนานวิวาห์แห่งเทพเจ้าขุนเขาอย่างงั้นหรอ?”
มันไม่ใช่ซีรีย์บนทีวี หรือเรื่องเล่าปรัมปราเทพนิยายในจินตนาการใช่มั้ย แล้วมันเกี่ยวกับอะไรกันล่ะนี่
“เมื่อวานย่าลงไปที่ชั้นใต้ดินบ้านเรา แล้วคุณทวดของเราเขามาบอกย่าถึงเรื่องๆนึงว่าที่บ้านเกิดเราทุกๆสิบปีจะมีการเลือกเด็กสาวบริสุทธิ์ที่อายุน้อยกว่า 13 ปี เพื่อไปแต่งงานกับเทพเจ้าแห่งขุนเขา แล้วจะทำให้บรรดาพืชผลของเราเจริญงอกงามดี ปราศจากภัยพิบัติต่างๆ”
เดี๋ยวนี้มันสมัยไหนแล้วคุณย่ายังเชื่อเรื่องพวกนี้อยู่อีกหรอนี่ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณย่าจะงมงายกับเรื่องพวกนี้ด้วย ฉันก็เข้าใจนะว่าบางทีคนโบร่ำโบราณก็มักงมงายกับเรื่องราวตำนานพวกนี้ แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่อ่ะ ฉันยิ้มเล็กน้อยและบอกคุณย่าไปทันทีว่า
“ คุณย่าคะ หนูว่าเรื่องสภาพภูมิอากาศฟ้าฝนเนี่ย มันเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์มากกว่าเรื่องเรื่องไสยศาสตร์นะคะ แล้วถ้ามันเป็นอย่างที่คุณย่าพูดจริงๆ หนูขอถามหน่อยค่ะว่าเทพเจ้าแห่งขุนเขาที่คุณย่าพูดถึงเนี่ย เขาเก่งกาจขนาดสั่งฟ้าสั่งฝนได้เลยหรอคะ?”
“ จริงอยู่ที่ปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์ทั้งหลายต่างก้าวหน้าแล้ว จึงทำให้เหล่าพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งหลายเมื่อเติบโตขึ้นก็จะถูกเก็บเกี่ยวไปเป็นผลผลิตที่สร้างมูลค่าและกำไรให้กับผู้ปลูก แต่อย่าลืมนะจื้อเหว่ยสมัยอดีตมันยังไม่มีวิทยาศาสตร์ที่ล้ำสมัย เด็กๆที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนเขาก็ต้องขาดโอกาสหลายๆอย่างในชีวิตซึ่งต่างกับเด็กที่เติบโตมาพร้อมไปซะทุกอย่าง ฉะนั้นเมื่อการนำลูกสาวของตนไปแต่งงานกับเทพเจ้าแห่งขุนเขาก็เป็นอีกทางเลือกที่พวกเขาเหล่านั้นสามารถทำได้ แม้ไม่รู้ว่าทำแบบนั้นแล้วมันจะมีผลดีหรือผลร้าย แต่สิ่งที่ผู้คนเหล่านั้นทำได้คือการพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ครอบครัวของตนมีชีวิตรอดต่อไป...”
“ สำหรับหนูการไปแต่งงานกับเทพเจ้าแห่งขุนเขา มันไม่ใช่หนทางสำหรับการอุทิศตนให้กับพระเจ้าเลยนะคะ นี่มันเรื่องไร้สาระจริงๆ”
ฉันไม่คิดเลยว่าสมัยก่อนคนเราจะยอมเสียลูกแท้ๆไปเพื่อให้พืชผลและครอบครัวเจริญขึ้นเนี่ยนะ นี่พวกเขาคิดอะไรกันอยู่???
“ จื้อเหว่ยเอ้ยย มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการนำเด็กสาวไปแต่งงานกับเทพเจ้าแห่งขุนเขาอีกแล้ว คุณทวดของหนูตอนที่เขาฝันย่าน่ะ เขาบอกอีกนะว่าถ้าไม่นำเด็กสาวไปแต่งงานด้วยล่ะก็ คนในหมู่บ้านจะต้องอดอยาก ล้มตายกัน ในบางครั้งก็มีการรวบรวมเงินในหมู่บ้านเพื่อไปซื้อเด็กสาวมากจาพ่อค้าทาส เพื่อไปแต่งงานกับเทพเจ้าแห่งขุนเขา... และคุณทวดของเธอก็ตายเพราะเรื่องนี้นั่นแหล่ะ...”
สิ่งที่ฉันได้ฟังจากคุณย่าว่ามีการซื้อขายเด็กที่เป็นทาสมาเพื่อไปเป็นเจ้าสาวให้กับเทพเจ้าแห่งขุนเขา แล้วหมู่บ้านจะมีแต่ความโชคดี พืชผลเจริญงอกงาม ปราศจากโรคภัย ดูเหมือนคุณย่าและคุณทวดคงจะคิดว่าเทพเจ้าบ้าบอนั่นคงเป็นผู้รักษาความปลอดภัยของหมู่บ้านมั้ง เอาจริงๆแล้วมันไม่มีใครในหมู่บ้านที่จะแย้งเรื่องบ้าๆแบบนี้มั่งเลยหรอ หรือหาหมอผีไปกำจัดเทพเจ้าแห่งขุนเขานั่นก็ได้ จะได้ไม่ต้องเอาชีวิตเด็กสาวไปสังเวยในทุกๆสิบปี
แม้เรื่องที่คุณย่าเล่ามันอาจฟังดูไร้สาระสำหรับฉันแต่หากกคิดทบทวนดูตอนนี้ชีวิตของฉันมันก็เวียนวนอยู่กับเรื่องเหนือธรรมชาติ ที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถได้เหมือนกัน อย่างเรื่องของหลงถิงหรือเจียวเหมยที่ถูกผีเข้า ถ้าเล่าให้คนอื่นฟังมันก็คงไม่มีใครเชื่ออยู่แล้ว ฉันเริ่มอยากรู้เรื่องราวของเทพเจ้าแห่งขุนเขาบ้าบอนี้ให้มากขึ้นแล้วล่ะสิ ถ้าไปถามหลงถิงเขาจะรู้เรื่องพวกนี้ก็ได้นะ เพราะเขาก็...ไม่ใช่คนแบบเราเหมือนกัน เขาอาจจะรู้จักกับเทพเจ้าแห่งขุนเขาที่คุณย่าเล่าก็ได้
คุณย่ามองหน้าฉันที่เคร่งเครียดเพราะกำลังคิดเรื่องหลงถิงอยู่ว่าเขาอาจมีคอนเนคชั่นไปทั่วถึงก็ได้นะ ^^
“ เอ้าๆๆ รีบกินข้าวกันดีกว่านะจื้อเหว่ย” ฉันรีบกินข้าวอย่างรวดเร็วด้วยความหิวโหย
พอทานข้าวเสร็จฉันก็ขึ้นไปบนห้องเพื่อจุดธูปบูชาหลงถิง หลงถิงในร่างงูขาวตัวใหญ่ก็ค่อยๆเลื้อยมา แล้วกลายร่างเป็นมนุษย์ หลงถิงรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่จึงถามฉันว่า
“ จื้อเหว่ย จริงๆแล้วฉันสามารถสื่อสารกับเทพเจ้าแห่งขุนเขาที่เธอตามหาให้ได้นะ ถ้าเธออยากจะรู้เรื่องราวที่เธอสงสัย”
เอาจริงๆ ตอนนี้ฉันไม่อยากคุยอะไรกับหลงถิง แต่ตอนนี้มันก็มีแค่หลงถิงที่จะช่วยให้ฉันรู้เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับเทพเจ้าแห่งขุนเขาได้ หลงถิงรับรู้สิ่งที่ฉันกับคุณย่าพูดกันทั้งหมด เขาเลื้อยขึ้นมาบนแขนของฉันแล้วค่อยๆเลื้อยขึ้นมาบนคอ ดวงตาทั้งสองจ้องมองฉันแล้วพูดว่า
“ เธอคิดว่าฉันไม่รู้หรอว่าเธอคุยอะไรกับคุณย่าของเธอ ฉันได้ยินหมด และรู้ว่าเธอต้องการอะไร”
ฉันได้แต่ยืนนิ่งด้วยความกลัว มองดูหลงถิงเลื้อยไปมาอยู่ที่คอของฉันอย่างไม่สนใจอะไร
“ ใช่ ใครจะไปคิดว่าเธอจะได้ยิน แต่ฉันอยากรู้ว่าเธอจะสื่อสารกับเทพเจ้าแห่งขุนเขาอย่างไร เพราะจากที่ฉันรู้มา ท่าทางเทพเจ้าแห่งขุนเขาจะมีพลังอำนาจอยู่พอตัวนะ”
ฉันพูดแล้วก็เอามือค่อยมาแตะที่หัวของหลงถิงอย่างเบาๆ หลงถิงก็ไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด กลับเอาหัวมาถูไถฉันกลับด้วย ฉันรู้สึกว่าการพูดคุยกับเขาในร่างงูมันทำให้ไม่สะดวกในการคุยยังไงก็ไม่รู้ ฉันเลยบอกเขาว่าให้กลายร่างเป็นคนดีกว่า จะได้คุยกันสะดวก ทันใดนั้นเองเขาก็เลื้อยลงจากร่างกายของฉันแล้วค่อยๆแปลงกายเป็นมนุษย์ ปรากฏตัวขึ้นอยู่เบื้องหน้าของฉัน จากนั้นเขาจูงมือฉันไปที่หน้าต่างแล้วให้มองออกไปที่หน้าต่าง
“ ฉันจะบอกอะไรให้เธอรู้อย่างนึงนะ เทพเจ้าบางตนที่ต้องมาอาศัยและดำรงอยู่บนโลกมนุษย์นั้นมันคือการลิขิตจากสวรรค์ และเมื่อเขาสร้างคุณงามความดีจนทำให้ผู้คนบนโลกหลงเชื่อในพลังของเขาแล้วนั้น พลังอำนาจของเทพเจ้าตนนั้นก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆตามแรงศรัทธาและความเชื่อของชาวบ้าน แต่ถ้าหากวันนึงเขาเกิดทำให้ชาวบ้านไม่พอใจขึ้นมาและกล่าวหาว่าเทพเจ้าตนนั้นเป็นปีศาจชั่วร้าย เขาก็จะกลายเป็นที่เข้าใจว่าเป็นปีศาจที่ชั่วร้าย และในกรณีของเทพเจ้าแห่งขุนเขาที่เธอพูดถึงนั้น ภายหลังผู้คนในหมู่บ้านไม่ได้ให้ความนับถือเฉกเช่นเทพเจ้าทั่วไป จึงทำให้เขาถูกถอดถอนจากการเป็นพระเจ้า และตอนนี้ทั้งเทพเจ้าแห่งขุนเขาและฉันต่างก็ตกอยู่ในสถานะของปีศาจฝึกหัดกันทั้งคู่… .”
เมื่อฉันได้ยินเช่นนั้น ฉันไม่รู้เลยว่าพลานุภาพพลังของหลงถิงมันมากมายสักแค่ไหน และจะเทียบเท่ากับเทพเจ้าแห่งขุนเขาได้รึเปล่า....
“ ตัวฉันน่ะฝึกฝนมากกว่า 700 กว่าปีแล้ว...”
พอหลงถิงพูดจบ เขาก็มองที่ฉัน แสงแดดที่ลอดผ่านมาจากกระจก สะท้อนมาที่ตัวเขา มันทำให้ฉันเห็นว่า ตัวเขาระยิบระยับราวกับมีกากเพชรตามตัวเลยก็ว่าได้ แสงแดดที่สะท้อนมามันทำให้เขาดูหล่อขึ้นมากเลยทีเดียว ในใจฉันก็อยากจะจับหน้าเขาแล้วถามว่าทำไมเขาถึงต้องหล่อได้ขนาดนี้นะ แต่ถึงอย่างไรก็ตามมันยังมีคำถามนึงที่ติดค้างในหัวฉันอยู่...
“ เมื่อคืนเธอมาหาฉันอย่างงั้นหรอ?”
“ หืมมม ทำไมหรอ อยากถามฉันล่ะสิว่าเมื่อคืนฉันทำอะไรเธอไว้น่ะ ” หลงถิงตอบแล้วยักคิ้วขึ้นเหมือนพวกชอบทำตัวเก๊กหล่อ แล้วเอามือมาจับที่คางฉันอย่างเบาๆ
โอ๊ย ให้ตายเถอะ ฉันแค่จะถามว่าเขามาหาฉันเมื่อคืนหรอ แต่สิ่งที่เขาตอบฉันนี่.... ทุเรศจริง -///- มันทำให้ฉันรู้สึกอายมาก แต่ก็พยายามเก็บความรู้สึกไว้ พอฉันได้ยินคำตอบจากเขา มันทำให้ฉันพูดไม่ออกเลย
หลงถิงมองที่ปากฉันแล้วค่อยๆยื่นหน้ามาใกล้เรื่อยๆ ฉันทำไรไม่ถูกไปหมดแล้วนะ หลับตาดีกว่า .... แต่พอลืมตา เขาหายตัวไปซะแล้วล่ะ ไอ่เราก็อุตส่าห์หลับตานึกว่าจะ.....
ก่อนจะคิดเพ้อเจ้อไปเรื่อย ฉันเลยรีบไปบอกคุณย่าในสิ่งที่หลงถิงบอกมา คุณย่าก็รีบไปบอกคุณทวดที่ฉันใต้ดินทันที (รูปคุณทวดตั้งอยู่ชั้นใต้ดินของบ้าน เวลาคุณย่าต้องการคุยกับคุณทวดก็จะลงไปชั้นใต้ดิน) ตอนแรกคุณย่าไม่อยากเล่าเรื่องของคุณทวดและเทพเจ้าแห่งขุนเขาให้ฉันฟังหรอก เพราะท่านคิดว่าฉันเป็นสมัยใหม่ อาจไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว และฉันก็อยากจะช่วยคุณทวดของฉันให้หลุดพ้นสักที นอกจากนั้นหากฉันติดต่อสื่อสารกับเทพเจ้าแห่งขุนเขาได้ ฉันก็จะช่วยเด็กสาวอีกหลายชีวิตให้ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับคุณทวดของฉัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันและวิญญาณคุณทวดก็พากันกลับไปบ้านเกิดของท่าน เพื่อสะสางเรื่องราวทั้งหลายให้จบสิ้น ระหว่างทางฉันก็ถามคุณทวด ว่าทำไมท่านต้องไปทำตามพิธีกรรมบ้าบออะไรแบบนี้ด้วย เพราะผลสุดท้ายวิญญาณก็ต้องถูกจองจำอยู่เช่นนี้ ไม่ได้ไปเกิดอย่างวิญญาณทั่วไปสักที
เมื่อฉันถามเรื่องนั้นขึ้นมา คุณทวดก็หลั่งน้ำตาออกมาทันที
“ ทวดหนีไม่ได้ ทวดหนีไม่ได้จริงๆ คนในหมู่บ้านของเรากำลังดื่มฉลองให้กับฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาถึง พวกเขาเหล่านั้นเลือกพี่สาวของทวดไปเป็นเจ้าสาวให้กับเทพเจ้าแห่งขุนเขา และลากพี่สาวของทวดเข้าไปในป่าลึก จากนั้นก็ปล่อยไว้ที่วัด จน...จน...พี่สาวของทวดต้องอดตายในที่สุด ”
นี่มันอะไรกัน ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าสิ่งแบบนี้จะเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของฉัน การดำรงชีวิตที่มาพร้อมกับเชื่อในอดีตช่างเป็นสิ่งที่น่ากลัวเหลือเกิน ทำไมคนในอดีตถึงได้ใจร้ายกันขนาดนี้นะ ทิ้งให้เด็กสาวต้องอดตายอยู่ในวัดกลางป่าลึกเพื่อให้เป็นแต่งงานกับเทพเจ้าแห่งขุนเขา?อย่างงั้นหรอ? ฉันนั่งมองหน้าคุณทวดที่เศร้าหมองและหดหู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบโยนท่านอย่างไรดี
บ้านของคุณทวดห่างไกลจากตัวเมืองมาก พอลงจากรถประจำทางก็ต้องต่อรถไฟ พอลงจากรถไฟก็ต้องต่อรถประจำทางไปอีก เห้อ หนทางนี้แม้ดูยาวไกล แต่ในที่สุด.....เราก็ได้นั่งรถประจำทางยาวไปเป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร นั่งกันจนเมื่อยเลยล่ะรถประจำทางเข้าไปยังเส้นทางบนหุบเขาที่ลึกและเงียบมาก จนพบเข้ากับหมู่บ้านที่คุณทวดเคยอาศัยอยู่นั่นก็คือ หมู่บ้านหมื่นภูผา ภายหลังของหมู่บ้านเต็มไปด้วยภูเขาจำนวนมากมายสูงตระหง่านอยู่ สมควรแล้วที่ได้รับชื่อว่า หมู่บ้านหมื่นภูผา...
หมู่บ้านที่ฉันเห็นอยู่นี่มันช่างแตกต่างไปจากสิ่งที่ฉันเคยคิดไว้มาก ถนนทางเดินในหมู่บ้านขรุขระ ไม่เป็นรูปเป็นร่าง ผู้คนในหมู่บ้านก็เป็นคนในวัย 80-90 ซะส่วนใหญ่ หลายคนที่เคยอาศัยอยู่ก็ย้ายออกจากหมู่บ้านนี้ไปเมื่อหลายปีมาแล้ว เช่นเดียวกับคุณทวดของฉัน ด้วยเหตุผลของความงมงายที่ต้องให้เด็กสาวแต่งงานกับเทพเจ้าแห่งขุนเขานั่นแหล่ะ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้คนต่างย้ายหนีออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ คุณทวดก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ต้องรีบออกมาจากหมู่บ้านแห่งนี้
หัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้เป็นชายแก่ผู้หนึ่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยย่นราวกับรอยแยกของผืนดินเลยก็ว่าได้ ในมือเขาถือท่อน้ำสนิมเขรอะอยู่อันนึง พอฉันพูดว่ามีคนที่สามารถจัดการและสื่อสารกับเทพเจ้าแห่งขุนเขาได้แล้ว ชายผู้นั้นทำหน้างวยงง แต่ก็ตกลงที่จะยินดีช่วยอีกแรง
เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านฉันก็เดินไปยังบ้านคุณทวด ในระหว่างทางคุณทวดและหลงถิงก็คุยกันว่าจะจัดการกับเทพเจ้าแห่งขุนเขานี่อย่างไรกันดี เพื่อจะได้ขจัดปัญหานี้ให้สิ้นไปจากหมู่บ้านแห่งนี้
สีหน้าหลงถิงไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย และแล้วเขาก็มายืนตรงหน้าฉัน มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพินิจพิจารณา นี่เขารู้มั้ยเนี่ยว่ามองแบบนี้มันเสียมารยาทมากเลยนะ !! แต่แล้วเขาก็พูดขึ้นมา
“ ฉันรู้ละ ใช้เธอเนี่ยแหล่ะ เป็นเครื่องบรรณาการให้กับเทพเจ้าแห่งขุนเขา!”
เดี๋ยววว นี่นายรู้ตัวมั้ยเนี่ยว่าพูดอะไรออกมา!!!! แล้วชีวิตฉันจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ ฉันจะต้องเป็นทั้งภรรยาของพญางูขาวและของเทพเจ้าแห่งขุนเขาด้วยหรอเนี่ย ......