ตอนที่ 23 ชักนำพลังเข้าสู่ร่าง !
ในอีกฟากของป่าเก้าวงกต เฟิ่งจิ่วที่อิ่มแปล้ไปด้วยเนื้อย่างหอมกรุ่นกลับมิได้เดินทางไปต่อ
นางนั่งอยู่ใต้ต้นไม้และครุ่นคิด แม้พิษในร่างของนางจะถูกกำจัดจนหมดสิ้นและชีวิต น้อยๆของนางก็ปลอดภัยแล้ว แต่ทว่า ถึงนางจะออกจากป่าเก้าวงกตและหวนคืนสู่คฤหาสน์ตระกูลเฟิ่ง เหล่าผู้คนในตระกูลเฟิ่งก็คงไม่เชื่อว่านางเป็นเฟิ่งชิงเกอตัวจริงเป็นแน่
ถึงนางจะคือเฟิ่งชิงเกอจริงๆ แต่หากเทียบระหว่างนางกับซูโร่วหยุน ผู้ใดจะเชื่อว่านางคือตัวจริง? ระหว่างหญิงเสียโฉมกับคุณหนูเฟิ่งชิงเกอผู้งดงามจนมิอาจหาผู้ใดเทียบเทียม เหล่าสมาชิกตระกูลเฟิ่งย่อมคิดว่า[เฟิ่งชิงเกอ]คนที่อยู่กับพวกเขาคือตัวจริง
นางคะเนว่าหากไปปรากฏตัวที่หน้าจวนตระกูลเฟิ่งแล้วบอกว่านางคือเฟิ่งชิงเกอตัวจริงและซูโร่วหยุนเป็นตัวปลอม เป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางคงไม่อาจแม้แต่จะผ่านเข้า ประตูหน้าไปได้และถูกทุบตีจนตายอยู่หน้าประตู
อีกอย่างซูโร่วหยุนนั่นก็ไม่ใช่คนโง่แม้แต่นิด! หากไม่ได้วางแผนให้ดี ไม่มีทางที่นางจะกลับไปที่ตระกูลเฟิ่งอย่างแน่นอน
“เฮ้อ! เจ้าของร่างคนเก่านี่ช่างทิ้งเรื่องยุ่งยากไว้ให้ซะจริง”
นางประสานมือไว้หลังศีรษะและเอนตัวพิงต้นไม้ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเบื้องบน
“จริงสิ! ข้าน่าจะถือโอกาสนี้ชักนำพลังเข้าสู่ร่างดู!” แววตาของนางเป็นประกายขณะพึมพัมกับตัวเอง “ถึงข้าจะไม่รู้วิธีชักนำพลัง แต่ความทรงจำในสมองนี่ต้องรู้เป็นแน่!”
เมื่อตระหนักดังนั้นนางก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา คนในมิตินี้ฝึกฝนวิถีเซียน ซึ่งผู้คนทั่วไปมักฝึกฝนพลังปราณ จะมีเพียงหนึ่งหรือสองคนจากคนนับร้อยที่จะสามารถฝึกฝนพลังปราณได้สำเร็จ
ทว่า สำหรับการฝึกฝนพลังจิตวิญญาณ กล่าวกันว่ามีโอกาสสำเร็จเพียงหนึ่งหรือสองคนจากผู้คนนับหมื่น
ความแตกต่างระหว่างพลังปราณและพลังจิตวิญญาณคือ พลังปราณการฝึกฝนกายหยาบหรือก็คือร่างเนื้อ
ขณะที่พลังจิตวิญญาณเป็นการฝึกฝนร่างเซียนซึ่งก็คือร่างวิญญาณนั่นเอง วิถีแห่งเซียน เซียนที่สามารถขี่เมฆและเดินเหินบนอากาศ เรียกลมเรียกฝนได้ดั่งใจ เคลื่อนภูเขาพลิกมหาสมุทรได้เพียงปลายนิ้ว
ทว่าบุคคลที่สามารถฝึกฝนพลังจิตวิญญาณได้นั้นมีน้อยนักและหาได้ยากยิ่ง อีกทั้งความจริงที่ว่าไม่มีผู้ตรวจสอบพลังจิตวิญญาณในแคว้นเล็กๆระดับเก้าอย่างแคว้นตะวันรุ่ง ทำให้ต่อให้เป็นชนชั้นสูงหรือกระทั่งเชื้อพระวงศ์ก็ได้รับการทดสอบเพียงแค่พลังปราณ และพวกเขาก็จะเริ่มฝึกฝนจากระดับนั้น
เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะมีพรสวรรค์อย่างยิ่งและมีโอกาสเดินทางออกไปนอกแคว้นตะวันรุ่งไปยังแคว้นอื่นที่ระดับเจ็ดขึ้นไป พวกเขาจึงจะมีโอกาสที่จะได้ทดสอบพลังจิตวิญญาณ จากความทรงจำในหัวทำให้นางทราบว่าทั่วทั้งแคว้นตะวันรุ่งมีผู้ที่สามารถฝึกฝนพลังจิตวิญญาณรวมแล้วทั้งสิ้นสามคนถ้วน
จากความทรงจำ ทั้งสามคนนั้นได้ออกจากแคว้นตะวันรุ่งไปหลายปีแล้ว แม้กระนั้นสถานะของตระกูลของทั้งสามในแคว้นตะวันรุ่งก็ยังคงสูงส่งอย่างไม่สั่นคลอน
ด้วยความกระตือรือร้น นางจัดท่าทางนั่งขัดสมาธิในทันทีและหลับตาลงทำตามวิธีในหัวเพื่อชักนำพลังเข้าสู่ร่าง….
ทว่าภาพจิตนาการมักจะสวยงามไม่เหมือนกับความเป็นจริงที่แสนโหดร้าย
เมื่อนางทำจิตให้ว่างและท่องไปตามครรลองของการฝึกฝน พยายามที่จะชักนำพลังเข้าสู่ร่าง เวลาล่วงเลยไปกว่าครึ่งวันดวงตาของนางยังคงปิดและแล้วนางก็ผลอยหลับไป…..
“บรู๋วว!”
เสียงหอนจากป่าลึกที่ดังก้องปลุกนางขึ้น
“หืม?”
นางเปิดตาอย่างง่วงๆและหาวฟอดใหญ่ ทั่วร่างรู้สึกแข็งขัดจากการนอน เมื่อนางตระหนักว่านางได้ผลอยหลับไปในระหว่างชักนำพลังเข้าสู่ร่าง นางส่ายหัวกับตัวเองอย่างจนปัญญาและหัวเราะ “การทำหัวให้ว่างแล้วหลับตานี่มันยากชะมัดที่จะไม่หลับ!”
นางนวดคอและยืนขึ้นเพื่อยืดเหยียดขา เนื่องจากเพิ่งตื่นจากงีบทำให้นางรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งขึ้นมาก นางจึงนั่งขัดสมาธิอีกครั้งที่ใต้ต้นไม้
ประสบการณ์เมื่อครู่ทำให้คราวนี้นางทำสติให้ตื่นตัวอยู่เสมอและปฏิบัติตามขั้นตอนการฝึกฝนอีกครั้ง
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ สองชั่วยามถัดมา ทั่วร่างของนางเริ่มมีแสงเรืองๆจากพลังปราณสว่างออกมาอย่างบางเบา