ตอนที่แล้วเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 100 วิญญาณกายาหยกขาว (อ่านฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 102 ใบไม้ผลิท่ามกลางลมหนาว (อ่านฟรี)

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 101 คนจะแก่เมื่อไฟในหัวใจของพวกเขาดับมอด (อ่านฟรี)


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 101 คนจะแก่เมื่อไฟในหัวใจมอดดับ 

แปลโดย iPAT 

ด้วยความสามารถของผู้ใช้วิญญาณตงถู เขาสามารถสืบหาที่อยู่ของฟางหยวนได้อย่างง่ายดาย

เขาสวมเครื่องแบบของผู้ใช้วิญญาณที่เขาไม่ได่ใส่มานาน ทุกอย่างดูสะอาดสะอ้าน เรียบร้อย และทำให้เขาดูสง่างาม

เขามองฟางหยวนที่กำลังเดินตรงเข้ามาอย่างช้าๆ ขณะที่สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ตัวเลขบนหัวเข็มขัดของฟางหยวน

'พรสวรรค์นภาที่สามแต่กลับก้าวเข้าสู่ระดับสองได้ในช่วงอายุสิบหก ข้าไม่อยากจะเชื่อจริงๆว่าเขาจะประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตามมันสมควรเป็นเพราะวิญญาณสุรา น่าเสียดายที่มันไม่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้วิญญาณระดับสอง'

หลังจากนั้นเขาเห็นรอยยิ้มบางปรากฎขึ้นบนริมฝีปากของฟางหยวน

รอยยิ้มนี้ทำให้หัวใจของตงถูกลายเป็นเย็นเยียบ

ความโกรธพุ่งเข้าสู่หัวใจของเขา 'เด็กผู้นี้ยังกล้าแสดงออกเช่นนี้ เขาคิดว่าข้าอยู่ในกำมือเขางั้นหรือ?'

ฟางหยวนเดินอย่างช้าๆ ก่อนหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าตงถู เขารู้ว่าคนผู้นี้ตั้งใจมาหาเขา

ตงถูเป็นฝ่ายเปิดปากกล่าวก่อน "ฟางหยวน ข้าคิดว่าเราต้องพูดคุยกัน"

"ต้องการพูดสิ่งใด?" ฟางหยวนกล่าวอย่างเย็นชา

ตงถูหัวเราะก่อนจะกล่าวต่อ "เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าก็เหมือนเจ้า ข้าเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสองเมื่ออายุสิบหก"

"มันเป็นจังหวะที่ฝูงสัตว์อสูรบุกโจมตีเช่นกัน ผู้คนจำนวนมากตกตาย พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องต่อสู้ ข้ามีพรสวรรค์นภาที่สอง ข้าบรรลุระดับสองขั้นต้นเมื่ออายุสิบหก ขั้นสูงเมื่ออายุสิบเจ็ด ขั้นสุดยอดเมื่ออายุสิบแปด เมื่อข้าอายุสิบเก้า ข้าพยายามทะลวงเข้าสู่ระดับสาม ในเวลานั้นข้าคิดว่าข้าสามารถก้าวเข้าสู่ระดับสามได้ในช่วงอายุยี่สิบ"

"ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าคิดว่าข้าเหนือกว่าผู้อื่นและสามารถทำสิ่งใดก็ได้ ข้ากระทั่งคิดว่าตนเองเป็นเทพเจ้า แต่ข้ากลับไม่รู้ความใหญ่โตของสวรรค์พิภพ เมื่อข้าอายุยี่สิบ ข้าออกไปปฏิบัติภารกิจและต้องต่อสู้กับผู้ใช้วิญญาณของตระกูลซ่ง ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส เคราะห์ดีที่หน่วยพยาบาลสามรถช่วยชีวิตของข้า แต่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น พรสวรรค์ของข้าตกลงมาอยู่ในนภาที่สาม ข้าไม่สามารถกู้คืนสภาพจิตใจเป็นเวลาแปดปีเต็ม"

"ในวันเกิดปีที่ยี่สิบเก้า ข้าเริ่มมองตนเองและโลกใบนี้อีกครั้ง ข้าพบว่าความแข็งแกร่งของคนผู้หนึ่งมีขีดจำกัด หากข้าสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับสามแล้วอย่างไร? การใช้ชีวิตอยู่ในสังคม สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ความแข็งแกร่งแต่มันคือสายสัมพันธ์"

"ข้าเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งเมื่ออายุสามสิบ ข้าถอยออกมาจากแนวหน้าเมื่ออายุสี่สิบห้า ผู้ใช้วิญญาณนับร้อยยื่นคำร้องให้ข้าเป็นผู้อาวุโสถึงสิบสองครั้งกระทั่งข้าจะเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับสองขั้นสุดยอดก็ตาม สุดท้ายแม้มันจะไม่สำเร็จแต่มันก็ไม่สำคัญ เพราะข้าประสบความสำเร็จแล้วที่ทำให้ผู้คนของตระกูลเรียกข้าว่า ผู้อาวุโสเงา สหายส่วนใหญ่ของข้าจากไปแล้ว แต่ข้ายังมีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบายและมีอิทธิพลต่อผู้ใช้วิญญาณหลายคน"

หลังจากเกริ่นนำมาอย่างยาวนาน เขามองฟางหยวนด้วยมุมปากที่ยกตัวขึ้นก่อนจะเริ่มกล่าวเข้าประเด็น "ฟางหยวน เจ้ายังเด็กและอ่อนประสบการณ์ เจ้าเหมือนข้าในครานั้นที่เชื่อว่าตนเองสามารถทำทุกสิ่งโดยลำพัง ฮ่าฮ่าฮ่า"

ตงถูส่ายศีรษะก่อนกล่าวต่อ "แต่เมื่อเจ้าเติบโตขึ้น เจ้าจะเข้าใจว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม บางครั้งพวกเราต้องก้มศีรษะและก้าวถอยหลัง ความหยิ่งยโสจะนำมาเพียงความโดดเดี่ยวและการทำลายตนเอง ข้าเชื่อว่าเจ้าเข้าใจมันเรียบร้อยแล้ว ไม่มีกลุ่มสนับสนุน ผู้คนถอยห่าง แม้เจ้าจะร้องขอทำภารกิจเพื่อรับมรดก แต่เจ้าจะทำมันได้งั้นหรือ? ด้วยตัวเจ้าเพียงลำพัง เจ้าไม่สามารถจบภารกิจนี้ ยอมแพ้ซะ"

ฟางหยวนมองชายชราด้วยการแสดงออกที่สงบนิ่ง

'ข้าสงสัยว่าเขาจะแสดงออกอย่างไรหากรู้ว่าข้ามีประสบการณ์ห้าร้อยปี?'

ดวงตาของฟางหยวนปรากฏร่องรอยของความขบขันเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

แท้จริงแล้ว ความคิดของตงถูก็เหมือนกับความคิดของเขาในชีวิตก่อนหน้า ดังนั้นเขาจึงก่อตั้งนิกายปีศาจกระหายเลือดขึ้นมา ด้วยการพึ่งพาระบบและความรู้สึกของมนุษย์เพื่อสร้างอิทธิพล เขามีผู้ใต้บังคับบัญชานับหมื่นที่ช่วยปล้นชิงทรัพยากรและต่อสู้กับศัตรูแทนเขา

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาบรรลุสู่ระดับหก มุมมองของเขากลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

ผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งถึงห้าถือเป็นมนุษย์ธรรมดา สำหรับระดับหก มันถือเป็นระดับอมตะ เมื่อเขายืนอยู่บนจุดสูงสุดและจ้องมองโลกใบนี้ เขาจึงเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง อิทธิพลเป็นความช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นภาระใหญ่หลวง

หลังจากทั้งหมดมีเพียงสิ่งเดียวที่เขาสามารถเชื่อ นั่นคือตัวของเขาเอง

มีเพียงคนอ่อนแอที่ไม่สามารถอดทนต่อความเหงาเท่านั้นที่จะไล่ล่าความรัก มิตรภาพ และความรู้สึกอ่อนไหวเพื่อเติมเต็มจิตวิญญาณของตนเอง คนเหล่านี้จะไล่ไปตามกระแสเพราะกลัวที่จะถูกโดดเดี่ยว

เมื่อพวกเขาพบกับความพ่ายแพ้ พวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ในกลุ่ม เรียกร้องความเห็นใจจากญาติพี่น้องและมิตรสหาย พวกเขาไม่กล้าเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวและความพ่ายแพ้ของตนเอง เมื่อพบกับความเจ็บปวด พวกเขาจะแบ่งปัน เมื่อได้รับบางสิ่งที่ดี พวกเขาจะโอ้อวด

ตงถูประสบความสำเร็จหรือไม่? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาประสบความสำเร็จ

เขาไม่สามารถเดินไปบนเส้นทางสายเดิม ดังนั้นเขาจึงเลือกเดินไปบนเส้นทางอีกสายหนึ่งเพื่อพบกับละครฉากใหม่

แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ล้มเหลว

เขายอมแพ้เพราะความปราชัยเพียงครั้งเดียว เขาไม่ได้เป็นสิ่งใดนอกจากคนขี้แพ้ แต่เขาก็พอใจกับการวิ่งหนี

ตงถูไม่รู้ว่าฟางหยวนมองเขาเป็นคนขี้แพ้ เห็นฟางหยวนไม่กล่าวสิ่งใด เขาจึงคิดว่าฟางหยวนกำลังซึมซับคำพูดของเขา

เขาเริ่มกล่าวต่อ "ฟางหยวน ข้าจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเพราะเจ้าไม่ใช่ฟางเจิ้ง หากเจ้ายอมแพ้การรับสืบทอดมรดก เจ้าจะได้รับมิตรภาพจากข้าและสามารถใช้เครือข่ายทั้งหมดของข้า ข้าจะมอบหินวิญญาณให้เจ้าหนึ่งพันก้อน ข้ารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาเงิน เจ้าจ่ายค่าเช่าบ้านล่าช้ามาสองวันแล้ว ถูกต้องหรือไม่?"

ฟางหยวนเผยรอยยิ้มไม่แยแส "ท่านลุง ท่านไม่ได้ใส่ชุดนี้มานานแล้วใช่หรือไม่?"

ตงถูตะลึง เขาไม่คิดว่าฟางหยวนจะกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ฟางหยวนกล่าวได้ถูกต้อง ตงถูเกษียณมานานแล้ว ปกติเครื่องแบบชุดนี้จะถูกเก็บไว้ในกล่อง แต่เขาตั้งใจใส่มันเพื่อมาพบฟางหยวนโดยเฉพาะเพราะมันคือการเพิ่มอำนาจในการโน้มน้าวและสะกดข่มผู้คน

ฟางหยวนถอนหายใจ "เครื่องแบบของผู้ใช้วิญญาณไม่ควรสะอาดเรียบร้อย แต่มันต้องเปรอะเปื้อนไปด้วยเหงื่อ โคลน และคราบเลือด มันควรจะมีร่องรอยของการปะเย็บด้วยเศษผ้า นั่นคือกลิ่นอายของผู้ใช้วิญญาณที่แท้จริง"

"ท่านแก่แล้ว ท่านลุง ความใฝ่ฝันและความทะเยอทะยานในวัยเยาว์ของท่านสูญหายไปหมดแล้ว ท่านใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและมีจิตใจที่เสื่อมถอย ท่านชิงทรัพย์ของครอบครัวไม่ใช่เพื่อการบ่มเพาะแต่เป็นชีวิตที่หรูหรา ด้วยความคิดเช่นนี้ ท่านจะสามารถหยุดข้าได้อย่างไร?"

ใบหน้าของตงถูเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มพร้อมกับความโกรธที่พลุ่งพล่านอยู่ในหัวใจ

มีมนุษย์ลุงมนุษย์ป้าอยู่ในโลกทุกใบ พวกเขาจะยึดตนเองเป็นที่ตั้งและชี้นำสังคมด้วยประสบการณ์ของพวกเขา พวกเขาจะคิดว่าความใฝ่ฝันของผู้อื่นเป็นเพียงภาพลวงตา ความหลงใหลของผู้อื่นเป็นเรื่องไร้สาระ ความพยายามของผู้อื่นเป็นเรื่องหยิ่งยโย พวกเขาจะทำตัวอยู่เหนือผู้อื่นโดยการอรรถาธิบายเรื่องราวต่างๆให้คนรุ่นใหม่ฟัง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตงถูเป็นคนเช่นนั้น

เขาต้องการให้ความรู้แก่ฟางหยวน แต่เขาไม่คิดว่าไม่เพียงฟางหยวนจะไม่ฟังหรือยกย่องเขา แต่ฟางหยวนกระทั่งสั่งสอนกลับ!

"ฟางหยวน!" ตงถูตะโกนเสียงดัง "ข้าต้องการแนะนำและชักชวนเจ้าด้วยความตั้งใจที่ดีในฐานะผู้อาวุโสของเจ้า แต่เจ้ากลับไม่รู้ดีชั่ว ฮืม ตั้งแต่เจ้ากล้าต่อต้านข้า เช่นนั้นก็ปล่อยให้มันเป็นไป ข้าจะบอกเจ้า ข้าล่วงรู้หัวข้อภารกิจที่เจ้าได้รับ เด็กน้อยที่ไม่รู้จักโลก ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะจบภารกิจนี้ได้อย่างไร?"

รอยยิ้มเยาะปรากฎขึ้นบนใบหน้าของฟางหยวนโดยไม่ปิดบัง เขายืนมองการแสดงที่น่าขบขันของตงถูอย่างสงบนิ่ง

อย่างไรก็ตามฟางหยวกลับเปิดจุกถุงหนังสัตว์ออกและปล่อยให้กลิ่นหอมลอยคละคลุ้งขึ้นสู่อากาศ

"ท่านคิดว่านี่คือสิ่งใด?" ฟางหยวนถาม

ใบหน้าของตงถูกลายเป็นซีดเผือด หัวใจของเขาร่วงหล่นลงทันที

"เป็นไปได้อย่างไร? เจ้านำมันมาจากที่ใด?" ตงถูกตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ

ฟางหยวนไม่ตอบ เขาเพียงปิดจุกถุงหนังสัตว์ก่อนจะเดินตรงไปยังห้องโถงภารกิจฝ่ายใน

หน้าผากของตงถูถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบ ความคิดมากมายปะทุขึ้นในใจของเขา

'เขาได้พิษผึ้งเหล่านี้มาได้อย่างไร? ข้าแน่ใจว่าตราบเท่าที่เขาเข้าร่วมกับกลุ่มอื่น ข้าจะต้องได้รับรายงานทันที เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาทำมันเพียงลำพัง? ไม่! นั่นเป็นไปไม่ได้! เขาไม่มีวิญญาณป้องกันตัว มีบางคนที่ให้ความช่วยเหลือเขางั้นหรือ? ไม่! มันไม่มีเหตุผล อย่างไรก็ตามตอนนี้เด็กนี่สามารถรวบรวมพิษผึ้งมาได้แล้ว เขากำลังจะจบภารกิจ!"

ตงถูตื่นตระหนกและไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้อีกเมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้

เขารีบวิ่งตามฟางหยวน "ฟางหยวน รอก่อน ทุกสิ่งสามารถพูดคุย!"

ฟางหยวนไม่ได้กล่าวสิ่งใด ตงถูทำได้เพียงเดินตามเขาไปอย่างใกล้ชิดเท่านั้น

"หากหินวิญญาณหนึ่งพันก้อนยังไม่เพียงพอ ข้าจะให้เจ้าสองพัน ไม่ สองพันห้าร้อยก้อน!" ผู้ใช้วิญญาณตงถูยื่นข้อเสนอ

ได้ยินข้อเสนอของตงถู ฟางหยวนยิ่งคาดหวังในมรดกของครอบครัวมากขึ้น เมื่อตงถูเพิ่มข้อเสนออย่างต่อเนื่อง นี่หมายความว่ามันย่อมเป็นมรดกก้อนโต

เห็นการแสดงออกของฟางหยวนยังไม่เปลี่ยน ตงถูกลายเป็นยิ่งโกรธและเริ่มข่มขู่ "ฟางหยวน คิดให้ดีว่ามันจบลงเช่นไรหากเจ้าต่อต้านข้า ฮืม อย่าหาว่าลุงของเจ้าเลือดเย็นหากแขนหรือขาของเจ้าจะหายไปในอนาคต!"

ฟางหยวนหัวเราะ

ตงถูผู้นี้ช่างน่าอนาถนัก เขาถูกผูกมัดด้วยกฎระเบียบ พิษผึ้งอยู่ในมือของฟางหยวน แต่เขากลับไม่กล้าคว้าไป แล้วเขาจะประสบความสำเร็จในการฉกชิงผลประโยชน์ให้กับตนเองได้อย่างไร?

ความมั่งคั่งและอันตรายเป็นสองสิ่งที่อยู่คู่กัน ไม่ว่าโลกใบใดหากคนผู้หนึ่งต้องการบางสิ่ง พวกเขาก็ต้องจ่ายด้วยบางอย่าง

"ฟางหยวน เจ้าคิดว่ามันจะดีขึ้นหลังจากเจ้าได้รับมรดกแล้วงั้นหรือ? เจ้ายังเด็กเกินไปและไม่รู้ว่าโลกใบนี้อันตรายเพียงใด?" ตงถูเย้ยหยัน

ฟางหยวนส่ายศีรษะและเดินไปยังห้องโถงภารกิจฝ่ายในด้วยดวงตาที่ส่องประกาย

ในความเป็นจริงเขาไม่ได้เกลียดแต่ก็ไม่ใยดีลุงของเขาแม้แต่น้อย

เขาเคยพบเห็นผู้คนมามากมายและเข้าใจคนประเภทนี้

หากฟางหยวนมีหินวิญญาณมากพอสำหรับการบ่มเพาะ เขาจะไม่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพย์สินของครอบครัว มันอาจจะดีกว่าหากเขามอบผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆให้กับลุงของเขา

แต่เขากำเนิดใหม่อีกครั้งเพื่อสิ่งใด?

มันไม่ใช่เพื่อช่วงเวลาชั่วคราวที่นี่ แต่มันเป็นการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด สำหรับบางคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเพียงไม่นานก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว ตราบเท่าที่พวกเขาไม่กีดขวางอยู่บนเส้นทาง เขาก็จะไม่ลดตัวลงไปเหยียบย่ำให้รองเท้าสกปรก

น่าเสียดายที่ตงถูกีดขวางอยู่บนเส้นทางของเขา

เมื่อมันเป็นเช่นนี้ เขาก็จะเหยียบย่ำอุปสรรคชิ้นนี้และก้าวต่อไปข้างหน้า

"ฟางหยวน! ฟางหยวน!" ตงถูมองฟางหยวนเดินเข้าไปยังห้องโถงภารกิจฝ่ายในด้วยร่างกายที่สั่นสะท้านและเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นบนหน้าผาก

แสงแดดที่สาดส่องลงมาสะท้อนเส้นผมที่เปลี่ยนเป็นสีขาวของเขา

เขาแก่แล้วจริงๆ

ตั้งแต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในช่วงอายุยี่สิบ ไฟในหัวใจของเขาก็มอดดับไปแล้ว