ตอนที่ 4 ตำนานวิวาห์ของเทพเจ้าหุบเขา
ตอนที่ 4 ตำนานวิวาห์ของเทพเจ้าหุบเขา
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ ขอบคุณครับ
ภาพที่ฉันเห็นมันทำให้หัวใจของฉันแทบหลุดออกมานอกอก มันน่ากลัวและสยดสยองอย่างบอกไม่ถูก ถ้าหลงถิงไม่ได้ยึดร่างฉันอยู่ ฉันคงล้มหงายคาพื้นไปแล้วแหล่ะ ใครจะทนกับสิ่งที่เห็นได้..
ฉันและเจียวเหมยประสานตามองกัน เพียงแค่แวบเดียวใบหน้าของเธอเปลี่ยนป็นใบหน้าของวิญญาณสาวที่เกาะร่างเธออยู่ รีบลุกลงจากเตียงวิ่งหนีไปที่มุมห้อง และแน่นอนว่าหลงถิงไม่มีทางยอมให้วิญญาณชั่วร้ายตนหนีรอดพ้นไปได้ หลงถิงในร่างฉันจึงรีบพุ่งไปที่เจียวเหมย เขาท่องคาถาบางอย่างออกมาแล้วตบลงไปที่กำแพงห้องอย่างดัง ราวกับจะทำลายกำแพงห้อง ทันใดนั้นเองร่างของเจียวเหมยก็กระเด็นออกมาจากมุมห้อง กระแทกลงไปที่พื้นทันที แต่วิญญาณสาวที่สิงสู่ร่างเจียวเหมย ใช่ว่าจะยอมแพ้ง่ายๆ มันรีบกางเล็บอันแหลมคมและสกปรกโสโครกออกมา และรีบไต่กำแพงห้องขึ้นไป เมื่อเล็บของเธอที่ขูดกับกำแพงห้องทำให้เกิดเสียงแหลมคนทำให้โสตประสาทหูของฉันแทบจะระเบิด มันแสบแก้วหูไปหมด วิญญาณตัวนี้ไต่ไปทั่วกำแพงห้องเพื่อหลบหลีกหลงถิง
นอกจากวิญญาณหญิงสาวผู้นั้นแล้ว ยังมีเงาดำจำนวนหนึ่งเกาะอยู่ที่ร่างของเจียวเหมยไปทุกฝีก้าว แต่ไม่ว่าจะเยอะมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถทนต่อมนต์สะกดของหลงถิงได้ เมื่อหลงถิงเปล่งคาถาออกมา วิญญาณเหล่านั้นต่างโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ต่อมนต์ของหลงถิง พวกมันต้องการที่จะเอาชีวิตของเจียวเหมยไปให้ได้ แม้จะเก่งกาจแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถทนต่ออำนาจของหลงถิงได้!
หลงถิงมองไปที่พวกวิญญาณเหล่านั้นอยู่สักพัก แล้วออกจากร่างของฉัน เขาเอ่ยกับฉันว่า “เหล่าวิญญาณอันชั่วร้ายเหล่านั้นถูกเนรเทศไปแล้ว ยกเว้นแต่....”
“ถูกเนรเทศ? นายหมายความว่ายังไงกัน แล้วยกเว้นแต่อะไรของนาย” ฉันถามหลงถิง ณ ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในร่างของฉันมันเลยทำให้ฉันไม่สามารถมองเห็นเหล่าวิญญาณนั้นได้สักตน ทันใดนั้นเองร่างของเจียวเหมยก็ร่วงลงจากเพดานห้องสู่เตียงของเธอ
“วิญญาณเหล่านั้นต่างไม่หลุดพ้นจากโลกใบนี้ พวกมันยังคงวนเวียนอยู่กับความทรงจำในอดีตในตอนที่พวกนั้นยังมีชีวิตอยู่ ความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขาเหล่านั้น เป็นดั่งโซ่ตรวนที่ทำให้ไม่สามารถหลุดพ้นได้ แต่ตอนนี้ฉันได้เนรเทศพวกนั้นกลับยังที่ๆควรอยู่แล้ว ไม่ให้มาระรานครอบครัวนี้หรือผู้อื่นอีก วิญญาณเด็กที่เป็นเงาดำทั้งหลายที่เธอเห็นในตอนแรกนั้นไม่ได้มีอานุภาพหรืออำนาจชั่วร้ายอะไรมากนัก ฉันสามารถต่อกรได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับวิญญาณหญิงสาวผู้นั้นเขามีอำนาจพอตัว และฉันรับรู้ได้ถึงพลังอันโกรธเกรี้ยวของเธอผู้นั้น วิญญาณตนนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนชั้นต่ำเท่านั้น แต่เจียวเหมยดันบังเอิญไปปะทะเข้ากับเธอผู้นั้น แล้วเป็นเพราะตอนนี้เจียวเหมยกำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วยจึงทำวิญญาณชั่วร้ายทั้งหลายสามารถสิงสู่เธอได้อย่างง่ายดาย” หลงถิงมองไปร่างของเจียวเหมยที่นอนอยู่บนเตียง พร้อมอธิบายเหตุผลให้ฉันฟัง
“แล้วเราต้องทำอย่างไรต่อไปล่ะหลงถิง วิญญาณผู้หญิงคนนั้นจะกำจัดเธอยังไงดี”
“ไปเอากระดาษและพู่กันมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!” หลงถิงหันมาบอกฉันด้วยสีหน้าจริงจัง
ฉันรีบเดินออกจากห้องแล้วไปบอกหวังหงให้เอาพู่กันและกระดาษมาเดี๋ยวนี้! นี่หลงถิงจะทำอะไรของเขานะ ยิ่งพูดยิ่งดูมีปริศนาแล้วเจียวเหมยจะเป็นยังไงกันนะ เมื่อหวังหงได้ยินฉันพูดเช่นนั้นเขาจึงรีบเดินไปทั่วบ้านเพื่อหาพู่กันและกระดาษ แต่ก็เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง แม้เป็นเพียงของเล็กน้อย แต่มันช่างหายากเย็นยิ่งนัก....
“เดี๋ยวนะจื้อเหว่ย ฉันได้ยินเธอคุยกันใครสักคนในห้อง เธอสื่อสารกับเจียวเหมยงั้นหรอ?” หวังหงถามด้วยความสงสัย เพราะแน่นอนว่านอกจากฉันก็ไม่มีใครมองเห็นหลงถิงทั้งนั้น
ฉันไม่ตอบคำถามใดๆกับเขา เพราะตอนนี้ชีวิตของเจียวเหมยและลูกกำลังตกอยู่ในอันตราย! ฉันรีบเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูลงกลอนทันที แล้วนำกระดาษพร้อมพู่กันไปให้หลงถิงทันที
เมื่อได้พู่กันกับกระดาษหลงถิงก็เขียนออกมาเป็นคำว่า “หยูเถียงซิน” คำสามคำนี้....มันเป็นชื่อคนนี่! แล้วชื่อใครกันล่ะ
ฉันรีบดึงกระดาษมาดู “นี่มันชื่อใครกันน่ะ”
“หยูเทียงซิน เป็นชื่อนักรบในสมัยห้าร้อยกว่าปีก่อน ด้วยพื้นฐานดวงเกิดของเขาถือกำเนิดจากดาววู่ฉี่ ซึ่งคือดาวปราบมาร ฉะนั้นแล้วไม่ว่าปีศาจ วิญญาณร้ายแค่ไหนก็เกรงกลัวบารมีของเขา แค่เพียงเขาแตะตัวผู้ที่ถูกวิญญาณสิงสู่ วิญญาณดวงนั้นก็จะถูกขับไล่กลับสู่ภพภูมิเดิมทันที และนี่คือเหตุผลที่ฉันทำแบบนี้!” หลงถิงนำกระดาษที่เขียนชื่อหยูเทียงซิน ทาบไปที่หน้าผากของเจียวเหมย พร้อมท่องคาถา.....
“เอาออกไปๆๆๆ ม่ายยยยยยยยยยยย.......” เจียวเหมยเปล่งเสียงออกมาด้วยความทรมาน แล้วสักพักเสียงนั้นก็เงียบลง
“แก!! ตายซะเถอะ”วิญญาณหญิงสาวผู้นั้นจะพุ่งเข้ามาทำร้ายฉัน แต่หลงถิงรีบเอาตัวเข้ามาบัง แล้วท่องมนต์คาถา จนวิญญาณสาวคนนั้นแตกหลายกลายเป็นเสี่ยงๆ
“ฉันไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายภรรยาของฉันหรอกนะ เจ้าวิญญาณชั้นต่ำ!”
เดี๋ยววว นี่หลงถิงเป็นห่วงฉันหรอ ได้ยินแบบนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ ><
หลงถิงบีบมือฉัน ทำสีหน้าด้วยความกังวล.....
“เธอไม่เป็นไรใช่มั้ย?” สักพักเขาเอาหน้ายื่นมาที่ข้างหูฉันแล้วกระซอบเบาๆด้วยเสียงออดอ้อนว่า....
“เธอโอเคใช่มั้ย ฉันเหนื่อยมากเลย...เดี๋ยวคืนนี้ฉันไปหาเธอนะ รอฉันก่อนอย่าเพิ่งรีบหลับล่ะ”
นายจะมาทำอะไร มาหาฉันทำไม ฉันพยายามแกะมือหลงถิงออกจากมือฉัน แต่ยิ่งฉันพยายามแกะ เขาก็ยิ่งบีบแน่นขึ้น ฉันมึนงงกับสิ่งที่ได้ยิน ที่นายต้องการอะไรจากฉันกัน เขาดึงมือฉันขึ้นมาหอม โอ้โห! ยังกับหนังรักโรแมนติกที่ฉัน เคยดู
“ปล่อยมือฉันนะ! ใครอนุญาตให้นายมาหา ออกไปไกลๆฉันเลยนะ!” หลงถิงปล่อยมือฉัน แล้วก้มลงมองมาที่ฉัน แอบยิ้มที่มุมปากให้ฉัน นี่เขากำลังโปรยเสน่ห์ใส่ฉันงั้นหรือ ดวงตาของเขาจ้องมองมาในตาฉันอย่างลึกซึ้ง ฉันไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นมันจริงหรือโกหก แต่มันจดจำอยู่ในสมองฉันแล้ว แม้ภายนอกฉันต้องปิดบังความรู้สึกตัวเองทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด แต่ในใจลึกๆแล้วฉันกลับรู้สึกบางอย่างกับเขา...รู้สึกอะไรกันนะ...
ผ่านไปสักพักหวังหงก็เปิดประตูเข้ามา....
หวังหงเดินเข้ามาอย่างกระวนกระวายใจ โดยไม่สนใจอะไรฉันเลยเดินผ่านไปอย่างหน้าตาเฉย แล้วมุ่งเดินไปหาที่เจียวเหมยภรรยาของเขาทันที เมื่อเขามองไปที่หน้าของเจียวเหมยด้วยความรักและห่วงใย เขาก็ตะโกนออกมาด้วยความดีใจว่า....
“จื้อเหว่ยๆ เขาตื่นแล้วๆ ภรรยาของฉันตื่นแล้ว” เจียวเหมยค่อยๆลืมตาและผงกหัวขึ้นมาอย่างช้าๆ
“ที่รัก...ไม่อยากกอดฉันหน่อยหรอ” เจียวเหมยพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา
“อยากสิ ฉันอยากกอดเธอมากๆเลยนะ แต่ตอนนี้เธอเพิ่งตื่น เธอต้องพักผ่อนก่อนนะที่รัก” สีหน้าของเขาทั้งคู่ดูมึความสุขมาก เปี่ยมล้นไปด้วยความรักที่มีให้ต่อกัน...ฉันอิจฉาพวกเขาจัง
“ที่รักคะ ตอนฉันหลับไป ฉันฝันเห็นผู้หญิงคนนึงอยู่ข้างถนนแล้วยื่นเอา พวกตับไตไส้พุงสดๆมาให้ฉันกิน แล้วบอกว่ามันช่วยให้ลูกของเราแข็งแรง... มันฟังดูเป็นฝันที่แปลกประหลาดนะคะ ว่ามั้ยคะที่รัก” เจียวเหมยพูดด้วยความใสซื่อเพราะตัวของเธอเองย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับตัวเธอบ้าง
ตอนนี้เจียวเหมยก็ฟื้นและปลอดภัยแล้ว มันคงหมดหน้าที่ของฉันแล้วสินะ ฉันกำลังเดินออกจากห้องไป หลงถิงก็มากระซิบบอกฉันว่า แม่ของเจียวเหมยคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน เขาใกล้หมดอายุขัยแล้ว...
ภรรยาของหวังหงฟื้นขึ้นแล้ว เขาคงจะดีใจมากอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ เขาคงไม่วสามารถมีชีวิตต่อไปได้หากภภรยาของเขาจากไป สักพักหวังหงหยิบซองสีขาวหนาๆมาใส่ไว้ในมือฉัน มันหนักมากและฉันรู้ว่าสิ่งที่อยู่ในซองนั้นต้องเป็นเงินจำนวนมาก
“รับไปเถอะนะ จื้อเหว่ย นี่เป็นของเล็กๆน้อยๆที่ฉันสามารถตอบแทนในสิ่งที่เธอทำให้กับครอบครัวของฉัน” เขายิ้มเล็กน้อยและเอาซองยัดใส่มือฉัน เขาบอกว่าสิ่งที่ฉันทำในวันนี้มันคือเส้นทางที่สวรรค์กำหนดมาให้ฉันทำ
หวังหงชวนฉันทานข้าวเย็นด้วย หลังจากทานข้าวเสร็จฉันก็กลับบ้านถึงประมาณ 2 ทุ่ม พอไปถึงคุณย่าก็หลับไปก่อนแล้ว..
ฉันไม่คิดเลยว่าแค่คำพูดไม่กี่คำของหลงถิงมันจะทำให้ฉันว้าวุ่นใจได้ขนาดนี้ ตอนเกิดเหตุการณ์ที่บ้านของหวังหง มันทำให้ฉันกลัวและกังวลอย่างบอกไม่ถูก แต่สิ่งที่หลงถิงแสดงและพูดออกมา มันทำให้ฉันรู้สึกอะไรบางอย่างกับเขาในใจ รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดว่าคนใจร้ายอย่างเขาก็จะมีมุมอ่อนโยนกับฉันด้วยเหมือนกัน
หลังจากเสร็จภารกิจที่บ้านของหวังหง หลงถิงก็ไม่ปรากฏตัวออกมาให้ฉันเห็นเลย การที่ฉันไม่ได้เห็นเขา มันทำให้รู้สึกเหงาจัง ฉันได้แต่ถามตัวเองว่าทำไมต้องมาคิดถึงงูบ้าอย่างเขาด้วย หลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน ฉันก็เตรียมตัวอาบน้ำและเข้านอนในที่สุด...
พอเวลาประมาณ 5 ทุ่ม ฉันรู้สึกง่วงนอนอย่างบอกไม่ถูก สักพักร่างกายก็รับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างมาทับบนตัวฉันจนรู้สึกหนักอึ้ง แม้ร่างกายฉันยังไม่หลับ แต่ดวงตาก็ไม่สามารถลืมขึ้นมาได้เลย นี่ร่างกายฉันเป็นอะไรกันนี่
แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรับรู้ได้อย่างชัดเจน คือมีบางสิ่งบางอย่างงับลงบนที่หน้าอกของฉันอย่างแรง สักพักก็รับรู้ได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่ากำลังเคลื่อนตัวขึ้นลงอยู่บนร่างกายของฉันอย่างช้าๆ
ด้วยความที่ฉันง่วงมาก ฉันไม่สนว่าจะมีตัวอะไรหรือสิ่งใดกำลังเคลื่อนตัวอยู่บนร่างกายฉัน ฉันไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ฉันจะนอน เข้าใจมั้ย!! ฉันหันหัวหนีเพื่อบ่ายเบี่ยงสื่งที่กำลังรุกเร้าบนร่างกายของฉัน...
เช้าวันต่อมา เสียงคุณย่าเรียกให้ฉันลงไปทานมื้อเช้าดังขึ้นมาบนห้อง พอฉันลืมตาขึ้นมา แสงแดดแรงจ้าลอดผ่านเข้ามาในห้องกระจายไปตามพื้นห้อง สักพักฉันได้กลิ่นสาปงูขึ้นมา ทำไมห้องฉันมีกลิ่นแบบนี้ได้เนี่ย เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อได้กลิ่นสาปงู มันทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันกันแน่ แม้ภายในใจจะปฏิเสธความคิดตัวเองไม่ให้เป็นหลงถิงที่มาอยู่บนร่างกายของฉัน แล้วถ้าเป็นหลงถิงจริงๆ เมื่อคืนเขาทำอะไรกับตัวของฉัน
เมื่อคุณย่านำอาหารมาเตรียมไว้บนโต๊ะ ท่านนั่งลงและถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับหวังหง เมื่อท่านได้ฟังก็แสดงสีหน้าตกใจมาก เพราะฉันไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างนี้มาก่อนในชีวิต แต่แล้วคุณย่าจู่ก็ถามฉันขึ้นมาว่า
“จื้อเหว่ย หนูเคยได้ยินเรื่องเล่าตำนานวิวาห์ของเทพเจ้าขุนเขามาก่อนหรือเปล่า?”
......ตำนานวิวาห์ของเทพเจ้าขุนเขางั้นหรอ มันคืออะไรกัน แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับฉันกันนะ