ตอนที่ 01 โชคดีกลายเป็นร้าย แล้วก็กลับตาลปัตร
ตอนที่ 01 โชคดีกลายเป็นร้าย แล้วก็กลับตาลปัตร
ผู้แปล : ThreeSwords
ปรับสำนวน : ThreeSwords
“นี่ค่าจ้างเดือนนี้ของแก ฉินฟาง ตอนนี้แกก็ไปได้แล้ว...”
หลี่เฟิงพูดพร้อมกับโบกซองใส่เงินค่าจ้างของฉินฟางที่อยู่ในมือ และกำลังมองดูฉินฟางซึ่งมีรูปร่างผอมแห้งเล็กน้อยที่อยู่ตรงหน้า บนใบหน้าของหลี่เฟิงจากที่เห็นนั้นสีหน้าเต็มไปด้วยการเยาะเย้ยถากถาง และดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงความรู้สึกพึงพอใจอย่างเลือนราง แสดงว่าเขามีความสุขมากกับการไล่ฉินฟางออก
“หลี่เฟิง ทำไมแกถึงต้องสร้างความลำบากให้กับฉันอย่างนี้ล่ะ?”
ฉินฟางถามพร้อมใบหน้าที่แดงด้วยความโกรธ ขณะกำลังจ้องมองหลี่เฟิงที่อยู่ตรงหน้าเขา
มองไปยังใบหน้าที่หนุ่มและหล่อเหลาของหลี่เฟิงกับเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่เขากำลังสวมใส่ ความโกรธของฉินฟางในตอนนี้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สนิทชิดเชื้อแต่อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนเดียวกัน กระทั่งอาจเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยเดียวกันในอนาคต แต่มันเห็นได้ชัดสำหรับทุกคนว่าหลี่เฟิงไม่ชอบหน้าฉินฟาง และจงใจสร้างความลำบากให้กับฉินฟางในครั้งนี้
“ทำไมน่ะเหรอ? ตัวแกเองก็น่าจะรู้ดี......”
หลี่เฟิงหัวเราะ บางทีอาจเป็นเพราะที่โรงผลิตยังมีคนอื่นอยู่และคงไม่ใช่ความคิดที่ดีนักในการที่จะพูดจาด้วยถ้อยคำที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นหลี่เฟิงจึงทำเพียงเอ่ยคำพูดเย็นชาหนึ่งประโยคก่อนที่หันหลังและเดินจากไป โดยมีผู้จัดการโรงผลิตแห่งนี้เดินตามเขาไปอย่างระรี้ระริกราวกับสุนัชเดินตามเจ้าของ
“ขอโทษนะฉินฟาง พี่.....”
ซุนปิงเป็นผู้ควบคุมการฝึกอบรมและหัวหน้าคนงานของโรงผลิตแห่งนี้ ความสัมพันธ์ของเขากับฉินฟางนั้นค่อนข้างดี เขาชื่นชมฉินฟางซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานราวกับว่าชีวิตขึ้นอยู่กับมัน พอรู้ว่าฉินฟางต้องประหยัดอดออมเป็นอย่างมาก เขาก็มักจะหาข้ออ้างเพื่อเลี้ยงข้าวฉินฟางด้วยอาหารดีๆ เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉินฟางถูกเพื่อนร่วมงานรังแกซุนปิงก็จะช่วยปกป้องเสมอ แต่โชคร้ายว่าครั้งนี้ซุนปิงไม่มีทางเลือกและก็ไม่สามารถทำอะไรได้ มิฉะนั้นเขาเองก็จะสูญเสียงานที่จ่ายค่าแรงดีนี้ไป
“ซุนเกอ ไม่ต้องพูดอะไรหรอกครับ ผมเข้าใจดี”
ฉินฟางพยายามพูดปลอบใจซุนปิงพร้อมกับฝืนยิ้ม ตอนหลี่เฟิงเดินจากไปใบหน้าที่โกรธขึ้งของฉินเฟิงก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง เขาเข้าใจถึงภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของซุนปิงที่กำลังเผชิญและยังเคารพในซุนเกอผู้ซึ่งคอยใส่ใจดูแลเขาเสมอ
“ตอนนี้มีแผนที่จะทำอะไรต่อไปล่ะฉินฟาง? วันเปิดเรียนของมหาวิทยาลัยใกล้เข้ามาแล้วนะ เดิมพี่คาดว่าเธอจะมีเงินลงเรียนพอหลังเสร็จงานนี้ ใครล่ะจะคิดว่า... เจ้าสารเลวนั่นจะจงใจสร้างความลำบากให้เธอแบบนี้”
ซุนปิงรู้ถึงสถานการณ์ของฉินฟางในเวลานี้ ทันทีหลังจากที่เขาเสร็จสิ้นการสอบเข้าชั้นอุดมศึกษา ฉินฟางก็มาเข้าทำงานที่โรงผลิตแห่งนี้ ในขณะที่การทำงานสิบสองชั่วโมงก็ถือได้ว่าเป็นการทำงานที่ชีวิตของคนๆ หนึ่งถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายแต่ฉินฟางกลับยืนยันที่จะทำงานวันละยี่สิบชั่วโมงในทุกๆ วัน ส่วนเวลาที่เหลือนั้นถูกใช้ไปกับการกินนอนและทำธุระส่วนตัว พูดง่ายๆ ว่าเวลาส่วนใหญ่ของเขาถูกใช้ไปกับการทำงาน
แม้ในช่วงเวลาที่เขาควรจะต้องทำการยื่นเอกสารเพื่อทำการเลือกมหาวิทยาลัยต่างๆ ถ้าไม่ใช่เพราะซุนปิงช่วยเตือนความจำ เขาก็คงจะลืมเรื่องนั้นไปแล้วจริงๆ
เพราะฉะนั้นเป็นธรรมดาที่ผลตอบแทนของฉินฟางจะสูงที่สุดจากตารางการทำงานอันบ้าคลั่งของเขา เพียงแค่เดือนแรกค่าตอบแทนในการทำงานของเขาที่เป็นแรงงานไร้ฝีมือก็สูงจนเทียบได้กับคนงานที่มีผลงานยอดเยี่ยม เพราะเหตุนี้ซุนปิงจึงได้เตรียมงานพิเศษที่มีผลตอบแทนสูงมาให้ ถ้าฉินฟางทำมันได้สำเร็จก็จะได้ค่าตอบแทนที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียนของเขาทั้งหมด แต่เงื่อนไขของงานนี้ค่อนข้างประหลาดอยู่บ้างเพราะจะได้รับเงินหลังจากทำงานครบตามสัญญาเท่านั้น ถ้ายกเลิกกลางทางก็จะไม่ได้รับเงินแม้นเพียงเฟินเดียว
การทำงานเป็นไปอย่างราบลื่นตลอดทั้งขบวนการ เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้นฉินฟางก็ทำงานเสร็จไปมากกว่าครึ่งของสัญญาแล้ว แต่ก็ไม่มีใครคิดเลยว่าหลี่เฟิงจะเข้ามายังที่ทำงานของฉินฟางและทำการร้องขอผู้จัดการโรงผลิตให้ไล่ฉินฟางออก
โรงผลิตที่ตั้งโดยไม่ถูกต้องตามกฏหมายแบบนี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีหลักประกันใดๆ ถ้าเจ้านายขอให้ไปคุณก็ต้องไป อันที่จริงแล้วที่นี่ก็ถือว่าไม่เลวร้ายเพราะยังจ่ายค่าจ้างให้เต็มจำนวน
“ลืมมันไปซะ ไม่ต้องพูดอะไรเกี่ยวกับมันอีกแล้ว พี่ไม่เชื่อว่าคนเป็นจะสามารถกลั้นปัสสาวะจนตายได้” (เป็นสุภาษิตจีนที่มีความหมายว่า ปัญหาทั้งหมดนั้นถ้าคิดหาหนทางและไม่ยอมสิ้นหวังก็ย่อมมีวิธีการแก้ไข)
ฉินฟางรู้สึกสะท้อนใจเบาๆ งานนี้เป็นทางหาเงินได้เร็วที่สุดเท่าที่เขาคิดออก พอนึกถึงว่าตัวเขานั้นเพิ่งเรียนจบมอปลาย ซึ่งตามมาตรฐานของสังคมแล้วยังถือว่าเป็นเยาวชนอยู่ ทำให้ยากที่จะหางานที่ทำเงินได้เร็วกว่านี้อย่างไรก็ตามฉินฟางไม่เคยลดตัวลงไปก่ออาชญากรรมอย่างเช่นการลักเล็กขโมยน้อย แต่เขาก็รู้ว่าวันนี้จะต้องมาถึงและด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่มีทางเลือกได้แต่หาวิธีอื่นที่สามารถทำเงินได้เร็วๆ แทน
หลังจากที่ทั้งสองยืนคิดใคร่ครวญกันอยู่สักพัก ซุนปิงก็ดันฉินฟางไปด้านข้างและพูดเบาๆ ว่า
“ฉินฟาง เอาอย่างนี้ไหม... พี่มีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเก่าที่สามารถเอากลับไปใช้ได้ เธอเองก็เพิ่งจะทำไปได้ครึ่งทางของเวลางาน คิดดูแล้วยังพอมีเวลาเหลืออยู่แต่เธอคงรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง แต่ด้วยความสามารถของเธอแล้วน่าจะทำมันให้สำเร็จได้”
“เรื่องนี้...”
ฉินฟางรู้สึกลังเลในทันทีหลังจากได้ยินคำแนะนำของซุนปิง ความคิดของซุนปิงไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าระดับความยากจะค่อนข้างสูง ฉินฟางก็เชื่อมั่นว่าสามารถทำมันได้สำเร็จ เขาต้องฟันฝ่าด้วยตัวเอง
ตอนที่การสอบเข้าชั้นอุดมศึกษาสิ้นสุดลง เขามาพร้อมกับข้ออ้างที่ว่าพ่อของเพื่อนร่วมชั้นหางานให้ซึ่งจะช่วยทำเงินได้หลายพันหยวน และต่อให้เงินที่ได้ไม่เพียงพอกับค่าเล่าเรียนอย่างน้อยมันก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว เพียงแค่ใช้ข้ออ้างนี้ฉินฟางก็จัดการกล่อมแม่ของเขาให้ยอมปล่อยออกมาทำงานข้างนอก
ถ้านี่เป็นเวลาที่เขาต้องกลับบ้าน แม่ของเขาที่ไม่ได้รู้เรื่องราวก็จะพบเห็นความผิดปกติ ฉินฟางไม่อยากให้แม่กังวลเกี่ยวกับตัวเขามากเกินไป เพราะฉะนั้นแล้วเขาจะต้องทำตามคำแนะนำของซุนปิงให้สำเร็จ ซึ่งแน่นอนว่ามันยากลำบากกว่างานปกติที่เขาทำก่อนหน้านี้
ซุนปิงตบไหล่ฉินฟางเบาๆ แล้วพูดว่า
“เธอตัดสินใจด้วยตัวเองล่ะกัน แต่พี่คิดว่านี่เป็นหนทางเดียวที่เป็นไปได้ในตอนนี้!”
ซุนปิงเข้าใจความยากลำบากของฉินฟาง จึงคอยดูแลเอาใจใส่ลูกน้องคนนี้ของเขาจริงๆ ดังนั้นเป็นธรรมดาที่คำแนะนำของเขาจะเป็นที่สนใจของฉินฟางมาก
“ได้ครับ ผมจะลองคิดดู”
หลังจากใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นหนทางเดียวในการหาเงินค่าเล่าเรียนของเขาได้จริงๆ และด้วยการช่วยเหลือเป็นการภายในของซุนปิง เขาก็ถือเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าที่ผ่านการใช้งานมาแล้วหลายรุ่นออกจากที่ทำงานตรงไปยังห้องพักที่เช่าอยู่เป็นการชั่วคราว
***********
เพียงแต่ไม่ไกลจากโรงผลิตมีรถเมอร์เซเดส-เบนซ์สีดำกับรถมินิบัสจอดอยู่ข้างกัน ซึ่งภายในรถมินิบัสมีคนอยู่สองสามคนที่คุณสามารถบอกได้ว่าเป็นพวกเด็กแก๊งค์โดยแค่ชำเลืองมอง ข้างในรถเมอร์เซเดส-เบนซ์จะพบว่ามีคนอยู่สองคน คนแรกคือหลี่เฟิงที่ทำให้ฉินฟางถูกไล่ออกได้สำเร็จ ส่วนคนที่สองเป็นผู้ชายท่าทางดุร้ายและมีใบหน้าอันป่าเถื่อนที่แขนมีรอยสักเป็นรูปมังกรสีน้ำเงิน
ขณะที่พวกเขากำลังมองร่างของฉินฟางที่แบกเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าเดินลับไปไกล ดวงตาของหลี่เฟิงก็เปล่งประกายมุ่งร้ายและพูดกับชายร่างกำยำดุร้ายที่อยู่ข้างเขาในทันที
“หลงเกอ เห็นเจ้าเด็กนั่นไหม? กระทืบมันให้ผมหน่อย มันจะดีมากถ้าพี่หักแขนหรือขาของมัน ตราบเท่าที่พี่ไม่ได้ฆ่ามัน”
“ใจเย็นไว้นายน้อยเฟิง ไม่ว่าอะไรที่คุณขอให้ผมทำ แน่นอนว่าหลงเกอคนนี้จะสนองให้อย่างสาสม เป็นที่น่าพึงพอใจ...”
ชายร่างกำยำยิ้มกว้างและหัวเราะด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้ายเกินพรรณนา ต่อหน้าการแสดงเช่นนี้หลี่เฟิงจึงเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจสุดจะบรรยาย
“ลองมาดูกันว่าแกจะต่อต้านข้าต่อไปยังไง ฉินฟาง......”
ขณะที่หลี่เฟิงมองดูหลงเกอนำสมุนแอบตามฉินฟางที่กำลังถือของไปอย่างช้าๆ เขาก็สั่งให้คนขับรถค่อยๆ ขับตามไปโดยจงใจรักษาระยะห่างด้วย
กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเบื้องหลังฉินฟางไม่ทันได้รู้ตัวโดยสิ้นเชิง อารมณ์ของเขาไม่ค่อยจะดีนักแต่พอคิดว่าสถานการณ์ยังไม่ได้ถูกบีบบังคับจนไม่มีทางไปจึงได้ทุเลาลง ตอนนี้เขากำลังเดินผ่านซอยเล็กๆ ซึ่งเป็นทางลัดกลับไปยังที่พักก็เลยเดินเลี้ยวเข้าไปโดยไม่ลังเล
นี่เป็นโอกาสทองที่ชายร่างกำยำและเหล่าสมุนรอคอยมาตลอดเวลา แม้ว่าพวกมันจะเป็นพวกอันธพาลและการทะเลาะวิวาทเช่นนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้น มันก็คงไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะทำเรื่องพวกนั้นบนท้องถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกมันวางแผนที่หักแขนหักขาทั้งสองข้างของฉินฟาง ซอยเล็กๆ สายนี้จึงเป็นสถานที่เหมาะสมมากที่สุดในการลงมือ
ตอนแรกพวกมันวางแผนบีบบังคับให้ฉินฟางเข้าไปในซอยเพื่อลงมือ แต่ไม่คาดว่าฉินฟางจะเดินเข้าไปในนั้นด้วยตัวเอง หลงเกอส่งสัญญาณผ่านทางสายตาไปยังเหล่าสมุนที่อยู่ด้านข้างให้เริ่มเข้าขนาบฉินฟางในทันที
จังหวะก้าวเดินของฉินฟางไม่ได้รีบร้อน เครื่องคอมพิวเตอร์ในมือเขาไม่ได้หนักแต่ก็ไม่ได้เบาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างเหนื่อยหลังจากเดินมาเป็นเวลานาน ไม่คาดคิดว่าจะมีคนมาปิดทางเดินข้างหน้า แต่พิจารณาจากลักษณะภายนอกของสองคนที่มาขวางทางเขาแล้ว เสื้อเชิ้ตตารางสี่เหลี่ยมดอกไม้ ย้อมผมสีเขียว จึงสามารถ บอกได้จากที่เห็นว่าเป็นพวกอันธพาล แม้ว่าพวกมันจะหอบหายใจแต่ท่าทางที่มีต่อฉินฟางนั้นไม่เป็นมิตรเลย
แทบจะเป็นสัญชาตญาณ ฉินฟางแอบบีบซองจดหมายที่อยู่ในกระเป๋าซึ่งข้างในซองมีเงินค่าจ้างของเดือนนี้ ถ้าถูกใครบางคนแย่งมันไปแล้วล่ะก็... ฉินฟางไม่กล้าที่จะคิดตามอีกต่อไป เขาดันร่างไปติดกำแพงตั้งใจที่จะผ่านคนที่มาปิดล้อมโดยแนบไปกับผนัง
อย่างไรก็ตามหลังจากหอบหายใจอยู่สักพัก พวกอันธพาลก็ฟื้นตัวเล็กน้อยและเห็นฉินฟางกำลังพยายามไถลผ่านโดยแนบไปกับกำแพง พวกมันเข้ามาพิงที่ผนังในทันทีและยิ้มให้กับฉินฟาง ในขณะเดียวกันก็หยิบแท่งไม้จากข้างทางและลองเหวี่ยงไปมาอยู่สองสามครั้งเพื่อแสดงอาการข่มขู่
ท่าจะไม่ดีแล้ว!
หัวใจของฉินฟางเต้นแรงในทันที
เขาก้มหัวลงตามสัญชาตญาณและพยายามเดินกลับไปทางที่เดินมา แต่เมื่อเขาหันหลังกลับไปก็เห็นชายร่างกำยำใบหน้าดุร้ายพาลูกสมุนสองคนเดินตรงมาที่เขา ชายร่างกำยำมามือเปล่าแต่คนของเขาถืออาวุธอยู่มือ
“พวกแก... ต้องการอะไร?”
ท้ายที่สุดแล้วฉินฟางก็ยังเป็นเด็กที่เพิ่งเรียนจบมอปลาย และด้วยผลการเรียนกับความประพฤติที่ดีของเขาจึงไม่เคยได้พบปะกับพวกอันธพาลมาก่อน เมื่อรู้สึกว่าถูกข่มขู่จึงรู้สึกกลัว เสียงของเขาสั่นสะท้านและสีหน้าก็แสดงถึงความหวาดกลัว
“ข้าต้องการอะไรน่ะเหรอ?”
ชายร่างกำยำยิ้มเยาะและโบกมือพร้อมกับตะโกนว่า “อัดมัน!”
*ผัวะ*
ยังไม่ทันมีโอกาสได้ตอบสนอง หลังของฉินฟางก็ถูกฟาดด้วยแท่งไม้จนทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน เขาโยนของที่อยู่ในมือลงบนพื้นและในเวลาเดียวกันนั้นก็ทำการเอียงไหล่ พยายามลดแรงปะทะของแท่งไม้
*ผัวะ*
แต่โชคร้ายที่ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพวกอันธพาลที่จะจบลงด้วยการตีแค่หนึ่งที แท่งไม้อีกอันหนึ่งได้ฟาดลงบนร่างของฉินฟางทำให้เขาเจ็บปวดเหลือคณาอีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้นด้วยการนำของหลงเกอ พวกลูกสมุนที่เหลือจึงได้เริ่มทำการซ้อมฉินฟางทั้งชกทั้งเตะ
“แมร่งเอ้ย!”
ต่อให้เป็นพระพุทธองค์ก็คงจะพิโรธถ้าถูกยั่วยุมากพอ แล้วนับประสาอะไรกับปุถุชนคนธรรมดาล่ะ? ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำหรับฉินฟางเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ตัวเองถูกซ้อมโดยไม่ขัดขืน เขากู่ร้องขึ้นมาในทันทีและใช้มือทั้งสองข้างยกเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเหวี่ยงตรงไปที่หัวของหลงเกอที่ยืนอยู่ใกล้ตัวเขามากที่สุด ซึ่งถ้ามันกระทบถูกแล้วแน่นอนว่าหัวของหลงเกอน่าจะแตกในทันที
“หลงเกอ......”
อันธพาลคนหนึ่งที่มีสายตาเฉียบแหลมตะโกนเตือนหลงเกอ และในขณะเดียวกันก็เหวี่ยงแท่งไม้ในมือของมันตรงไปยังฉินฟางโดยไม่ทันได้ยั้งคิด ซึ่งแรงที่ใช้หวดในครั้งนี้รุนแรงมากเกินกว่าที่มันจะควบคุมได้
*ผัวะ*
ฉินฟางที่กำลังจะฟาดใครบางคนด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์เกิดอาการเซ แท่งไม้ที่มาจากทางด้านหลังนั้นตรงเข้าไปปะทะที่หลังศีรษะของเขาอย่างรุนแรง จู่ๆ ฉินฟางก็รู้สึกว่าท้องฟ้ากับแผ่นดินกำลังปั่นป่วนและในทันทีหลังจากนั้นเขาก็หมดสติ เครื่องคอมพิวเตอร์ในมือและศีรษะของฉินฟางกระแทกลงกับพื้นดิน เลือดไหลรินออกมาจากบาดแผลเหมือนกับสายน้ำ........
“พวกเราฆ่าคนตาย!”
เมื่อเผชิญกับภาพเหตุการณ์เช่นนี้ พวกอันธพาลสะดุ้งตกใจเป็นอย่างมาก หนึ่งในพวกมันที่มีขวัญกล้าเข้าไปตรวจลมหายใจของฉินฟาง และเมื่อพบว่าเขาไม่หายใจแล้วมันจึงหันกลับมาพูดด้วยใบหน้าที่ซีดและตกใจว่า
“เจ้าเด็กนี่ตายแล้ว?” มันแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่พูด
กระทั่งหลงเกอก็ตกใจสุดขีดจนดูไม่เหมือนคนที่สั่งลงมือ ให้ซ้อมผู้คนงั้นเหรอ? ด้วยความยินดี แต่ให้ฆ่าคน? เขาไม่ได้มีความกล้ามากขนาดนั้นจริงๆ
เมื่อหลงเกอมองไปรอบๆ ซอยยกเว้นบริเวณที่ลูกสมุนสองคนยืนเฝ้าตรงทางเข้า พบว่ายังไม่มีใครสังเกตเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี้ ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้วว่าจะได้หักแขนหักขาของฉินฟางหรือไม่ หลงเกอรีบออกคำสั่งในทันทีด้วยเสียงแผ่วๆ ว่า “รีบไปกันเร็ว... เอาเจ้าเด็กนั่นไปด้วย”
เป็นธรรมดาที่ไม่มีเสียงคัดค้านจากเหล่าลูกสมุน การฆาตกรรมเปรียบเทียบไม่ได้กับการก่ออาชญากรรมเล็กๆ น้อยๆ เช่น การลักขโมยหรือทะเลาะวิวาท ในช่วงพริบตาพวกมันก็วิ่งหนีออกไปจากพื้นที่เกิดเหตุ และทิ้ง ‘ศพ’ ของฉินฟางไว้ในซอยที่สงบเงียบและไม่มีผู้คน
แม้ว่าหลงเกอกับพวกจะหลบหนีไปด้วยความตื่นตระหนก แต่หลี่เฟิงซึ่งนั่งอยู่ในรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่จอดตรงทางเข้าซอยก็ยิ้มสะใจไปยังทิศทางที่มีร่างของฉินฟางนอนอยู่ ตอนที่เห็นพวกหลงเกอรีบวิ่งจากไปเขาก็รู้แล้วว่าเหตุการณ์นั้นบานปลาย ถึงขนาดพวกอันธพาลอย่างหลงเกอไม่กล้าทำอะไรอีกต่อไป
เลือดยังคงไหลริน
และไหลไปรอบๆ เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะจากนั้นลอดผ่านเข้าไปในเคสซิ่ง เลือดสีแดงสดใสของฉินฟางค่อยๆ ทำให้เมนบอร์ด ฮาร์ดไดรฟ์ การ์ดจอ... เปียกชุ่ม
ทันใดนั้นประกายแสงสีฟ้าอ่อนก็ปรากฏขึ้นจากองค์ประกอบหนึ่งภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ราวกับว่ามันมีชีวิต ประกายแสงเริ่มจากเครื่องคอมฯ ไปยังสมองของฉินฟางผ่านทางรอยเลือดก่อนที่มันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยในที่สุด
และในเวลาเดียวกันนั้น ลมหายใจของฉินฟางที่ได้หยุดนิ่งไปแล้วก็เริ่มฟื้นคืนมาอย่างช้าๆ .....
-----------------------------------