ตอนที่ 02 ทักษะ [การทำบะหมี่]
ตอนที่ 02 ทักษะ [การทำบะหมี่]
ผู้แปล : ThreeSwords
ปรับสำนวน : ThreeSwords
“นายฟื้นแล้วเหรอ?”
เมื่อฉินฟางได้สติก็มีเสียงดังก้องใกล้หูเขา เสียงนั้นเป็นของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งฟังแล้วคุ้นมากๆ เหมือนกับของ...
“ถังเฟยเฟยงั้นหรือ?”
ขณะที่เขากำลังปรับสายตาให้เข้ากับความสว่างโดยรอบ สุดท้ายฉินฟางก็รู้ว่าใครเป็นเจ้าของเสียงนั่น ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นประธานนักเรียนชั้นมอปลาย เธอคือสาวงามที่เลื่องชื่อด้วยรูปโฉมอันเฉิดฉายเป็นอย่างมากราวกับว่าเธอเป็นเจ้าหญิงโดยแท้จริง
และแน่นอนว่าหลังจากนี้ครึ่งเดือน เธอก็จะกลายเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนกับฉินฟางอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเขารวบรวมค่าเล่าเรียนได้เป็นผลสำเร็จ
ฉินฟางกับถังเฟยเฟยมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างดีและก็มีผลการเรียนที่ดีเหมือนๆ กัน ระหว่างที่เรียนปีสุดท้ายของระดับชั้นมอปลาย พวกเขามักจะถกโจทย์ปัญหาที่ยุ่งยากด้วยกัน ก็เลยมี็บางคนแซวพวกเขาว่ากำลังเป็นแฟนกัน อย่างไรก็ตามตัวฉินฟางเองกลับมุ่งเน้นไปในเรื่องการศึกษาและไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งอื่น
“ในที่สุดนายก็ฟื้น! ตอนนี้ฉันก็วางใจได้แล้ว!”
ตอนที่เสียงของถังเฟยเฟยดังขึ้นอีกครั้ง ฉินฟางที่เพิ่งรู้สึกตัวก็ฟื้นคืนสติกลับมาเต็มที่ ดังนั้นจึงได้เห็นภาพถังเฟยเฟยที่น่ารักและมีเสน่ห์กำลังเอามือที่ขาวสะอาดและอ่อนนุ่มของเธอตบเบาๆ ที่หน้าอกขนาดพอเหมาะด้วยท่าทางโล่งอก ถึงแม้หน้าอกคู่นั้นจะไม่ได้สั่นไหวมากนักแต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ฉินฟางรู้สึกวอกแวกและลมหายใจกลายเป็นไม่สม่ำเสมอ
ฉินฟางรู้สึกประหลาดใจกับปฏิกิริยาตอบสนองและหน้าที่แดงของเขาก่อนที่จะรีบร้อนหันหน้าหนี หลังจากมองดูสถานที่ที่อยู่ในตอนนี้ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกว่าตัวเองอยู่ในห้องที่เช่าไว้ไม่ใช่โรงพยาบาล
ได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องหนึ่งแต่ถ้าเขาต้องเข้าโรงพยาบาลแล้ว ค่าแรงเดือนหนึ่งของเขาคงไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ และแน่นอนว่าตัวเขาเองก็ไม่ต้องการให้ถังเฟยเฟยจ่ายแทนด้วย
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่ต้องกังวลกับค่ารักษาพยาบาล เขารีบเอามือยัดเข้าไปในกระเป๋าและพบว่าซองใส่เงินยังอยู่จึงถอนหายใจโล่งอกในทันที ในขณะเดียวกันเขาก็ลุกออกจากเตียงและน่าแปลกที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่เขาถูกซ้อมภายใต้เงื้อมมือของพวกอันธพาลก่อนหน้านี้
ตอนที่ถังเฟยเฟยเห็นฉินฟางกำลังลุกขึ้นจากที่นอน เธอก็พูดในทันทีว่า
“นายเพิ่งจะฟื้นไข้ ต้องนอนพักให้มากกว่านี้!”
“ผมสบายดีแล้ว...”
ฉินฟางรู้สึกงุนงงเล็กน้อยว่าเขาน่าจะได้รับบาดเจ็บ แต่ร่างกายของเขากลับสมบูรณ์ดีและหลังจากที่เดินไปสองสามก้าวก็ไม่พบความผิดปกติของร่างกาย หลังจากนั้นจู่ๆ เขาก็นึกอะไรได้บางอย่างและถามด้วยท่าทางแปลกใจสงสัยว่า “เธอเป็นคนช่วยผมไว้งั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ฉันหรอก...”
ถังเฟยเฟยส่ายหน้า “เซี่ยวหนิงเจียเป็นคนช่วยไว้ตอนที่เห็นนายนอนหมดสติอยู่ในซอย บังเอิญว่าพี่เค้าเคยเห็นรูปนายที่บ้านฉันก่อนหน้านี้เลยจำได้ว่าเป็นเพื่อนที่โรงเรียน จากนั้นก็โทรเรียกฉันมาให้คอยช่วยดูแล...”
“ขอบใจนะ!”
ถึงแม้ว่าฉินฟางจะตะลึงงันอยู่บ้าง แต่ก็ยังเอ่ยปากขอบคุณและยกมือขึ้นไปแตะที่หน้าผากของเขา ไม่มีร่องรอยการบาดเจ็บ... ตอนที่ถูกกระแทกตรงด้านหลังศีรษะและมีสติแค่ครึ่งเดียว เขารู้สึกได้รางๆ ว่าตรงหน้าผากของเขาเจ็บมากและน่าจะมีบาดแผล อย่างไรก็ตามในตอนนี้เขาไม่รู้สึกถึงร่องรอยของบาดแผลและหน้าผากของเขาก็ยังคงเรียบเนียนและไร้มลทินเหมือนก่อน
“หรือว่าผมจำผิดไปนะ? น่าจะใช่ล่ะมั้ง!”
ฉินฟางเองก็ไม่แน่ใจในช่วงเวลานั้น เพราะเขาอยู่ในสภาพที่มึนงงและแทบจะไม่ได้สติ ดังนั้นภาพหลอนที่เกิดขึ้นอาจเป็นผลอันเนื่องมาจากถูกฟาดด้วยแท่งไม้ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นอีกรอบเพื่อทำการสัมผัสที่ด้านหลังของศีรษะ.... ไม่มีความเจ็บปวด!
ฉินฟางรู้สึกสับสนงุนงงมากขึ้น หน้าผากของเขาไม่มีบาดแผลยังพออธิบายได้ แต่เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่าถูกตีที่ด้านหลังศีรษะ เพราะถ้าไม่ใช่อย่างนั้นแล้วเขาก็ไม่น่าจะนอนหมดสติในคราวแรก ทว่าในตอนนี้ไม่มีแม้กระทั่งเสี้ยวของความรู้สึกเจ็บปวด!
*จ๊อกๆ จ๊อกๆ ~*
ขณะที่ฉินฟางกำลังตกใจเรื่องความเจ็บปวดที่หายไป เสียงร้องแปลกๆ ก็ดังขึ้นมาเป็นชุดแต่มันก็ถูกฉินฟางสังเกตเห็นได้ในทันที และเมื่อเขาตามหาแหล่งที่มาของเสียงก็เจอถังเฟยเฟยที่หน้าแดงก่ำ ใบหน้านวลขาวนั้นแดงราวกับผลแอบเปิ้ลที่สุกงอม กระตุ้นให้ผู้คนอดรนทนไม่ได้ที่จะขม้ำ
“ฉินฟาง มันค่อนข้างเย็นมากแล้ว ฉันควรที่จะกลับ...”
ใบหน้าของถังเฟยเฟยแดงสดใสด้วยความอับอาย เธอมาอยู่ดูแลฉินฟางตั้งแต่เช้าจนกระทั่งไม่มีเวลาทานข้าวเที่ยง และตอนนี้ก็เกือบที่จะเย็นแล้วแสดงว่าเธอไม่ได้กินอะไรเลยมานานกว่าครึ่งวัน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะรู้สึกหิว แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิง การแสดงกิริยาที่น่ากระอักกระอ่วนเช่นนี้ต่อหน้าเด็กผู้ชายทำให้เธอรู้สึกเคอะเขินมาก
“ถังเฟยเฟย เธอมาอยู่ดูแลผมตลอดทั้งวันแต่ผมยังไม่รู้ว่าจะแสดงความขอบคุณเธอได้ยังไงเลย ทำไมไม่อยู่ทานข้าวที่นี่ก่อนกลับไปล่ะ?”
ถึงแม้ว่าฉินฟางจะไม่ใช่คนประเภทที่มีความช่ำชองในการเอาอกเอาใจสาวๆ แต่ก็ไม่ใช่คนที่หยาบกระด้างด้วยเช่นกัน เขาจึงเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในทันทีและได้เชื้อเชิญเธอให้อยู่ทานข้าวด้วยกันสักมื้อเพื่อเบี่ยงประเด็น
“ทานข้าวที่นี่?”
พอถังเฟยเฟยได้ยินก็แปลกใจไปชั่วขณะและจากนั้นเธอก็มองสำรวจห้องของฉินฟาง ถึงแม้มันจะสะอาดแต่ก็มีของอยู่ไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับห้องพักโดยทั่วไป มีแค่เพียงเตียงหลังเล็กกับโต๊ะอ่านหนังสืออยู่เท่านั้น
ฉินฟางไม่ได้รู้สึกอับอายอะไร เพราะเคยชินกับสภาพความเป็นอยู่แบบนี้มานานแล้วและก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า
“ห้องของผมค่อนข้างเรียบง่ายแต่ก็มีห้องครัวส่วนกลางให้ใช้งาน คิดว่ามันน่าจะยังมีผักเหลืออยู่บ้าง ผมว่าจะทำอะไรสักอย่างให้เธอทาน!”
“นายรู้วิธีการทำอาหารด้วย?”
ถังเฟยเฟยรู้สึกประหลาดใจแต่ก็ยิ้มและพูดในทันทีว่า “ถ้ายังงั้นฉันต้องลองชิมมันด้วยตัวเองซะแล้ว อย่าทำให้ผิดหวังเชียวนะ!”
“อืม ฝีมือการทำอาหารของผมถือว่าพอใช้ได้เลยล่ะ!”
ฉินฟางพยักหน้าจากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องตรงไปที่ห้องครัวในทันที ถังเฟยเฟยจ้องมองอยู่สักพักก่อนตัดสินใจที่จะรออยู่ในห้อง
ห้องที่ฉินฟางเช่าอยู่แน่นอนว่าเป็นเพิงที่ราคาถูกที่สุด ในเมืองที่มีความเจริญเช่นนี้บริเวณที่ฉินฟางอาศัยอยู่ถือว่าเป็นสลัม สำหรับที่นี่พวกบ้านชั้นเดียวหรืออพาร์ทเมนท์ล้าสมัยหลายแห่งล้วนมีห้องครัวร่วมกัน
ตอนที่ฉินฟางเข้าไปในห้องครัว เขาเห็นฟ่านเจี่ยเจียซึ่งเป็นเพื่อนบ้านกำลังทำอาหารอยู่ เมื่อเธอเห็นเขาเดินเข้ามาก็กระทำตัวราวกับหนูเจอแมว กระทั่งร่างกายที่อวบอ้วนก็สั่นเล็กน้อย ขณะที่ฉินฟางกำลังเดินตรงไปที่ตู้กับข้าว สีหน้าของฟ่านเจี่ยเจียดูเหมือนจะซีดลงและกัดฟันพูดออกมาว่า
“เสี่ยวฉิน ขอฉันบอกอะไรเธอหน่อย!”
“อะไรหรือครับ ฟ่านเจี่ยเจีย?”
สำหรับน้าผู้หญิงวัยสามสิบกว่าปีคนนี้ ฉินฟางไม่ค่อยคุ้นเคยกับเธอเท่าไหร่นัก อย่างไรก็ตามเธอมีชื่อเสียงที่ไม่ดีในเรื่องชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านและเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ดังนั้นทุกคนจึงได้พยายามหลีกเลี่ยงราวกับเธอเป็นโรคระบาดเพราะกลัวว่าเธอจะหาประโยชน์จากพวกเขา มีข่าวลือว่าสามีของเธอก็ทนพฤติกรรมไม่ไหวซึ่งนั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงหย่าขาดกับเธอ
อย่างไรก็ตามเธอทำตัวเป็นมิตรกับฉินฟาง ทุกครั้งที่เจอกันเธอก็จะทักทายฉินฟางด้วยรอยยิ้ม ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ในหอพักที่ทำหน้าเย็นชาใส่เขา
“คือว่า...... พี่ลืมไปซื้อผักเมื่อเช้านี้ ตอนเที่ยงก็เลยเอาผักของเธอมาใช้.......”
ฟ่านเจี่ยเจียพูดด้วยน้ำเสียงลุแก่โทษ ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความเสียใจและตาเรียวเล็กของเธอก็หยีเพิ่มขึ้นจนแทบจะมองไม่เห็น แต่ก็ยังปรากฏแววตาที่ประหลาดพิกลขึ้นมาแวบหนึ่ง
ฉินฟางรู้สึกตกใจเล็กน้อยในทีแรกแต่จากนั้นก็หัวเราะอย่างขมขื่น เขารู้ว่าเธอนั้นชอบที่จะเอาเปรียบคนอื่น แต่เป็นเพราะว่าเธอไม่เคยฉวยโอกาสกับเขามาก่อน จึงทำให้ไม่คาดคิดว่าเธอจะเอารัดเอาเปรียบเขาในครั้งนี้
“ถ้าใช้ไปแล้วก็ช่างมันเถอะครับ เรื่องเล็กน้อย!”
อย่างไรก็ตามฉินฟางก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเธอต่อดี ทำได้เพียงแต่ฝืนยิ้มและเตรียมที่จะหันหลังเดินกลับไป
“เอ่อ เสี่ยวฉิน......”
ขณะที่ฉินฟางกำลังหันหลังเดินจากไป ฟ่านเจี่ยเจียก็ร้องเรียกเขาในทันทีว่า “ถึงจะไม่มีผักเหลือเลยแต่เนื่องจากวันนี้พี่ทำเกี๊ยวเป็นอาหาร ก็เลยมีแป้งโดว์ที่ผสมไว้สำหรับทำเกี๊ยวเหลืออยู่ และถ้าเธอไม่เกี่ยงว่าผักพวกนั้นได้ถูกทำเป็นไส้เกี๊ยวไปแล้ว......ก็นำมันไปใช้ได้เลย!”
บางทีเธออาจจะรู้สึกเสียใจจริงๆ ก็ได้ เพราะเธอที่ปกติแล้วเป็นคนขี้เหนียวได้กลับกลายมาเป็นคนใจกว้าง เหมือนกับพระจันทร์เต็มดวงที่จะเกิดขึ้นเดือนละหนึ่งครั้ง ได้มอบแป้งโดว์ที่ใช้ทำเกี๊ยวก้อนใหญ่ให้กับฉินฟาง
“ขอบคุณมากครับ!”
หลังจากลังเลอยู่สักพักสุดท้ายฉินฟางก็รับแป้งโดว์ก้อนใหญ่เอาไว้ เพราะในเวลานี้การออกไปซื้อผักเพื่อมาทำอาหารก็ดูจะเป็นไปไม่ได้อีกด้วย ด้วยแป้งโดว์ก้อนใหญ่กับไส้เกี๊ยวที่ฟ่านเจี่ยเจียให้ไว้นั้นการปรุงเกี๊ยวมารับประทานน่าจะทำได้ง่าย
หลังจากให้วัตถุดิบในการปรุงอาหารกับเขาแล้ว ฟ่านเจี่ยเจียน่าจะรู้สึกกระดากอายจริงๆ ถึงได้รีบเร่งจากไป จนเหลือฉินฟางอยู่ในห้องครัวเพียงคนเดียว
ถ้าคุณต้องการทำเกี๊ยวแล้วเป็นธรรมดาที่จำเป็นต้องมีแป้งห่อเกี๊ยว ซึ่งคนส่วนใหญ่ในเมืองจะซื้อแป้งห่อเกี๊ยวแบบสำเร็จรูปมาใช้ แต่ฉินฟางไม่ชอบแบบนั้นเพราะเขาชอบที่จะทำมันด้วยตัวเองมากกว่า หลังจากทำการนวดแป้งโดว์อีกรอบและรีดให้บางจากนั้นก็พันทบเป็นชั้นๆ แล้วจึงหั่นมันเป็นเส้นแบนยาวจำนวนมากด้วยมีด การเตรียมแป้งโดว์ที่ใช้ทำแป้งห่อเกี๊ยวถือว่าเสร็จสิ้น
จากนั้นเขาก็หยิบแป้งโดว์เส้นแบนยาวขึ้นมาหนึ่งเส้นเพื่อคลี่มันออก เตรียมที่จะตัดมันออกเป็นชิ้นเล็กๆ
======
ทักษะที่เรียนรู้ : การทำบะหมี่
ทักษะความชำนาญ : ขั้นเริ่มต้น
ค่าประสบการณ์ : 0.1%
======
ขณะที่ทำการคลี่แผ่นแป้งโดว์ออกเป็นเส้นยาว ข้อความหนึ่งก็ปรากฏขึ้นภายในจิตใจของฉินฟาง ถึงแม้ว่าจะข้อความเหล่านั้นจะไม่มีเสียงประกอบ แต่ฉินฟางก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครบางคนพูดตรงเข้ามาที่สมองของเขา
-----------------------------------