บทที่ 57 เสมือนไฟ
ห้าพันเก้าร้อยยี่สิบสาม!
จั่วม่ออ้าปากกว้าง หอบหายใจอย่างหนักหน่วง ดวงตาพองเหมือนปลาทองใกล้สิ้นใจ เบิ่งมองไปยังกระบี่ผลึกน้ำแข็งที่ลอยอยู่เบื้องหน้า มันราวกับต้นไม้แกว่งไกวกลางสายลม ร่างสั่นสะท้าน เสื้อผ้าอาภรณ์ชุ่มโชก แนบลู่ไปกับผิว เผยให้เห็นร่างผอมเกร็งของมัน
ฟุบ! จั่วม่อล้มฟาดลง สูญเสียการควบคุมกระบี่ผลึกน้ำแข็งกลางอากาศ กระบี่ร่วงหล่นลงพื้นเสียงดังเคร้ง
มองท้องฟ้าด้วยดวงตาแทบลืมไม่ขึ้น จั่วม่อสมองขาวโล่งเวิ้งว้าง พลังปราณเส้นสายสุดท้ายถูกรีดเค้นออกจากร่างจนเกลี้ยงฉาด
ห้าพันเก้าร้อยยี่สิบสามกระบี่!
หากมันฟาดฟันอีกสี่พันกว่ากระบี่ มันจะไปถึงจำนวนหนึ่งหมื่นกระบี่... ...
การสับฟันตลอดห้าพันเก้าร้อยยี่สิบสามกระบี่ของมันไม่ได้สูญเปล่า ทุกท่วงท่าในเคล็ดกระบี่เพลิงธารา ยามนี้มันสามารถใช้ออกได้ลุล่วงดั่งใจภายในลมหายใจเดียว ไม่ชะงักขาดตอน ไม่สะดุดติดขัด แต่จะอย่างไรนี่ก็ยังจำกัดแค่เพียงกระบวนท่าเท่านั้น
กระบวนท่ากระบี่คือรูปโฉมภายนอก เจตจำนงกระบี่จึงจะเป็นกระดูก
เพียงกระบวนท่าแต่ปราศจากเจตจำนงกระบี่ ไม่ต่างอันใดจากเสือกระดาษตัวหนึ่ง น่ากลัวแต่ภายนอกทว่าไร้พลังอำนาจที่แท้จริง
เคล็ดวิชากระบี่แต่ละวิชามีเจตจำนงกระบี่ที่เฉพาะเจาะจง ล้วนแล้วแต่แตกต่างกันไป แม้แต่เคล็ดวิชาเดียวกัน ผู้ฝึกตนแต่ละคนยังฝึกปรือออกมาเป็นเจตจำนงกระบี่ที่แตกต่างกัน สิ่งที่จั่วม่อบรรลุถึงเป็นเจตจำนงกระบี่กระแสธาราของอาจารย์ลุงซินหยาน หาใช่เจตจำนงกระบี่ของเคล็ดกระบี่เพลิงธาราไม่!
มีเพียงเจตจำนงกระบี่ที่เข้ากันได้กับกระบวนท่ากระบี่เท่านั้น จึงสามารถหลอมรวมผสานเป็นหนึ่งเดียวได้
เมื่อมันฟาดฟันไปได้สี่พันกว่ากระบี่ จั่วม่อก็ตระหนักซึ้งถึงความจริงข้อนี้ เจตจำนงกระบี่กระแสธาราเป็นมันลอบร่ำเรียนจากอาจารย์ลุงซินหยานอย่างลับๆ จะสามารถสำแดงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ได้ด้วยกระบวนท่ากระบี่เฉพาะตัวเท่านั้น มันอาจเคยใช้ปราณกระบี่จากแหวนกระบี่ทองสร้างเจตจำนงกระบี่กระแสธาราขึ้นมาได้สำเร็จ แต่จั่วม่อคาดคะเนว่า หากไม่ใช่เพราะปราณกระบี่จากแหวนกระบี่ทองนั้นพลังน้อยจนไม่เป็นอุปสรรคต่อเจตจำนงกระบี่ ก็คงเป็นยามนั้นตัวมันแสดงพลังฝีมือออกมามากเกินกว่าระดับปกตินั่นเอง
มันพากเพียรพยายามนับครั้งไม่ถ้วน แต่ยังคงไม่มีปัญญาผสานเจตจำนงกระบี่กระแสธาราลงในกระบวนท่าของเคล็ดกระบี่เพลิงธาราได้ ทั้งคู่เป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถเข้ากันได้เลย
อันที่จริงหากจั่วม่อยังไม่บรรลุถึงเจตจำนงกระบี่ ยามนี้กลับไม่มีปัญหา แต่หลังจากประสบการณ์ถูกผ่าครึ่งหลายพันหน พลังอันเข้มแข็งยิ่งใหญ่ไพศาลของเจตจำนงกระบี่ก็ฝังแน่นลงไปในใจมัน ฤทธานุภาพที่สามารถผ่าดวงวิญญาณเป็นสองซีก เมื่อเทียบกันแล้วกระบวนท่างดงามอลังการนับเป็นอะไรได้ เพียงมีไว้ชมดูเท่านั้น ไม่ใช่ฝึกปรือหรือใช้งานจริงจัง
เจตจำนงกระบี่ นี่ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นปัญหาที่มันห่วงกังวลมากที่สุด
มีเวลาไม่มากนัก จั่วม่อไม่มีทางพึ่งพาอาศัยตัวเองแก้ปัญหานี้ได้ ดังนั้นมันได้แต่ไปหาผูเยา
“เฮะเฮะ อยากรู้งั้นเหรอ? อาฮ่า” ผูเยาแย้มยิ้มมีเสน่ห์
จั่วม่อโยนจิงสือที่มันได้มาจากการขายเม็ดยาอีกาทองคำให้ผูเยาอย่างรู้งาน
“อ๊า ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของเราจะลึกล้ำขึ้นมาอีกขั้น” ผูเยาหัวร่อเบาๆ จากนั้นกล่าวราวกับใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “แน่นอนว่าเจตจำนงกระบี่ของแต่ละเคล็ดวิชาย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมชาติ มัวแต่คิดเรื่องโง่เง่าบัดซบนี่หาอันใด? ไฉนไม่เอาเวลาไปทำความเข้าใจเจตจำนงกระบี่เพลิงธาราเสียเลย เพียงแค่หาแม่น้ำสักแห่ง กระโดดลงไปดูว่าน้ำคืออะไร โอ้ สำหรับไฟ ...ที่นี่มีอยู่แล้ว!”
จั่วม่อเหลียวมองรอบข้าง เพลิงไฟสีแดงเข้มคล้ายกระโจนขึ้นเรียกร้องความสนใจ เปลวไฟลุกโชนพุ่งสูงขึ้นในพริบตา
“เบิกตาให้กว้าง จ้องดูให้ดี อย่าได้กะพริบตา ครั้งต่อไปเจ้าจะต้องจ่ายเงิน” เสียงผูเยาดังออกมาจากในทะเลเพลิง
ตลอดทั้งจิตสำนึกลุกเป็นไฟแดงฉาน เปลวไฟสะบัดพลิ้วเต้นระริก เพลิงสีแดงเข้มเหลือคณานับลอยละล่องขึ้นเป็นกลุ่มๆ อย่างแช่มช้า ประหนึ่งบุปผาสีเพลิงนับไม่ถ้วนค่อยๆ แย้มบานคลุมฟ้า แต่ละกลุ่มก้อนเปลวเพลิงกระโดดโลดเร่าไปตามจังหวะพิเศษเฉพาะตัวชนิดหนึ่ง พื้นผิวของเพลิงแดงฉกแลบแปลบปลาบไร้ทิศทางดุจลิ้นอสรพิษอันฉับไว
ทั่วทั้งท้องนภาเต็มไปด้วยลูกไฟ ทันใดนั้นลูกไฟทั้งหมดก็พุ่งเข้าไปกระจุกรวมกันตรงกลาง กระบวนการทั้งหมดดำเนินไปเงียบเชียบไร้ซึ่งสำเนียงใด ดุจดั่งสายน้ำไหลรินลงสู่มหานที ไม่ได้เกิดระลอกคลื่นแม้แต่น้อย
ท่ามกลางทะเลแห่งจิตสำนึกของจั่วม่อ ลูกไฟมหึมาไร้ที่เปรียบลุกไหม้กลางท้องฟ้า ส่องสว่างกระทบกระทั่งกับแสงของดวงดาวในความว่างเปล่า ลูกไฟยักษ์ลุกไหม้อย่างเงียบงัน ไม่มีบุปผาเพลิงหลงเหลือให้เห็น มีเพียงดวงอาทิตย์สีแดงปนดำโดดเด่นอยู่กลางนภา สีแดงนั้นแดงพิสุทธิ์ราวกับว่าสร้างขึ้นจากโลหะหลอมเหลวสีแดงเข้ม บางแห่งในสีแดงมีจุดสีดำ บนพื้นผิวทรงกลมของลูกไฟยักษ์เห็นเปลวเพลิงหนาแน่นพ่นประกายแปลบปลาบไม่ขาดสาย
“ร้อนมาก” จั่วม่อรู้สึกราวกับมันอยู่ในเตา คลื่นความร้อนถาโถมเข้ามา ทั้งร่างประหนึ่งถูกย่างเหนือกองไฟ แสบร้อนอย่างรุนแรง
จั่วม่อได้แต่ยืนตะลึงลาน
สรรพสิ่งในทะเลแห่งจิตสำนึกล้วนไม่ใช่วัตถุสสาร กระทั่งตนเองยังเป็นเพียงจิตวิญญาณส่วนหนึ่งเท่านั้น เหมือนเปลวไฟเหล่านี้ ที่ผ่านมาแม้ว่าพวกมันจะเข้ารุกรานยึดครองทะเลจิตสำนึก จั่วม่อก็ไม่เคยรู้สึกร้อนอันใด แต่เวลานี้ลูกไฟยักษ์แดงที่เผาผลาญร้อนแรงจนเกือบเป็นสีดำ ทำให้มันรู้สึกหวาดผวาสุดขั้วหัวใจ
ลูกไฟลอยนิ่งกลางเวหาอย่างสงบเงียบ ลุกไหม้โดยไร้สำเนียง แต่ในความเงียบงันแฝงไว้ด้วยความเร่าร้อนอันตรายอันพิสดารประการหนึ่ง บันดาลให้จั่วม่อยิ่งประหวั่นพรั่นพรึง ความเงียบงันนี้คล้ายเปลือกไข่บางเฉียบชั้นหนึ่ง สามารถแตกพินาศได้ตลอดเวลา
ทันใดนั้นเองลูกไฟยักษ์พลันระเบิดกระจายโดยไม่มีสัญญาณเตือน!
จั่วม่อเหม่อมองภาพเหตุการณ์สะท้านขวัญวิญญาณฉากหนึ่ง!
เปลวเพลิงสีแดงดำไร้ที่สุดสิ้นทะลักลงมาประหนึ่งลาวาภูเขาไฟไหลหลั่ง ถาโถมไปทุกทิศทุกทาง ประดุจห่าพิรุณสีเพลิงคลุมฟ้า ทุกสิ่งทุกอย่างในครรลองสายตาถูกย้อมด้วยสีแดงฉานบาดตา
ท้องนภาดำทะมึนฉาบทาด้วยเปลวเพลิงไร้ประมาณ จนกลายเป็นผืนฟ้าแดงเข้มเจิดจรัส
ลูกไฟใหญ่น้อยสาดซัดแวบวาบไปรอบทิศ ทีแรกพุ่งเร็วรี่ด้วยแรงระเบิด จากนั้นค่อยๆ ชะลอลงในที่สุด
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยบุปผาเพลิงแย้มบานเฉิดฉาย พวกมันล่องลอยเอื่อยเฉื่อยราวกับเมล็ดดอกผูกงอิงสีแดงปลิวไปตามสายลม ท่องไปทุกหนแห่งตามแต่สายลมนำพา ความร้อนแผดเผารุนแรงจนอากาศบิดเบือนพร่าเลือน บันดาลให้ภาพทั้งหมดดูราวกับภาพลวงตาฉากหนึ่ง
จั่วม่อยืนซึมเซาอยู่ที่เดิม ทันใดนั้นมันหวนนึกถึงทะเลดำทะมึนกับภาพเมล็ดผูกงอิงดำสนิทเหลือคณานับโบยบินไปทั่วในครานั้น
เหล่าลูกไฟแดงเข้มกระโดดโลดเต้นร่าเริงอยู่กลางอากาศ ท้ายที่สุดก็ร่อนลงบนพื้น ทันทีที่แตะพื้นดิน พวกมันหยั่งราก เติบโต ยืดขยายอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วกะพริบตาเดียว จั่วม่อก็ถูกล้อมรอบไปด้วยทะเลเพลิงผืนหนึ่ง ทุกสิ่งกลับคืนสู่สภาพเดิมตามปกติ ทะเลเพลิงไม่ทำให้รู้สึกแสบร้อนเผาผลาญอีก จั่วม่อยื่นมือออกไปอย่างมึนงง เปลวไฟคล้ายไม่ดำรงอยู่ มือข้างนั้นทะลุผ่านออกไปโดยไม่รู้สึกอะไร
นี่ก็คือ...ไฟ... ...
สิ่งที่พบเห็นในวันนี้ สร้างความกระทบกระเทือนอันน่าตื่นตะลึงอย่างที่มันไม่เคยเป็นมาก่อน!
หลายวันต่อจากนั้น จั่วม่อจิตใจเหม่อลอยมึนงง ภาพเหตุการณ์ในทะเลแห่งจิตสำนึกฉายวนซ้ำซากอยู่ในสายตา ประหนึ่งหุ่นเชิดเชือกขาด มันคล้ายจิตวิญญาณสูญหาย ติดอยู่ในห้วงภวังค์อันสับสนวกวน
ภาพเหตุการณ์อันทรงพลานุภาพชวนสะท้านใจ ทุกขั้น ทุกตอน ทุกรายละเอียด ราวกับโหมไหม้อยู่ภายในใจมัน
เสมือนไฟ!
เสี่ยวกั่วปาดเช็ดเหงื่อ พลางจับจ้องไปยังแผ่นไม้ที่สมมติเป็นเป้าซ้อมมือเบื้องหน้านาง สีหน้าเบิกบานใจฉายชัดบนใบหน้ารูปผลผิงกว่ออันน่ารักไร้เดียงสาดวงนั้น
นางปลดปล่อยปราณกระบี่ออกไปได้สำเร็จ!
ทั้งยังไม่ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากแหวนกระบี่ทองที่ศิษย์พี่จั่วม่อมอบให้ แต่เป็นปราณกระบี่ที่ก่อกำเนิดจากรากฐานพลังบำเพ็ญเพียรของนางเอง นางอดทนบากบั่นฝึกปรือเพลงกระบี่ในม้วนหยกที่ศิษย์พี่ทิ้งไว้ให้ในคราวนั้น นางไม่ทราบว่าผ่านพ้นช่วงเวลาอันหนักหนาสาหัสนั้นมาได้อย่างไร เคล็ดวิชาในม้วนหยกแม้ไม่ลึกล้ำซับซ้อน แต่สำหรับเด็กหญิงผู้หนึ่งซึ่งตั้งแต่เริ่มจำความได้ก็รู้จักเพียงคอกสัตว์ ความยากเย็นแสนเข็ญที่ได้รับไม่ต่างอันใดกับพยายามปีนป่ายขึ้นสวรรค์
ลำบากตรากตรำ เหน็ดเหนื่อยแทบล้มประดาตาย เจ็บปวด ผิดพลาด ไม่เข้าใจ ท้อแท้... ...
นางแอบร่ำไห้หลายครั้งหลายหน จนกระทั่งตัวนางเองยังไม่ทราบว่าร่ำไห้ไปกี่ครา ร่ำไห้จนสองตาบวมแดงดุจลูกท้อ แต่ทุกคราวเมื่อร่ำไห้แล้วเสร็จ นางก็จะเริ่มฝึกฝนอีกครั้ง เจ็บปวด เหนื่อยล้า จากนั้นร่ำไห้ แล้วกลับมาก้มหน้าก้มตาฝึกฝนต่อไปทั้งคราบน้ำตา... ...
จนกระทั่งมืออ่อนนุ่มละมุนละไมคู่นั้น ยามนี้เริ่มครอบครองเศษเสี้ยวของความเข็มแข็งและพลังอำนาจ
ศิษย์พี่หญิงกลายเป็นศิษย์ฝ่ายใน ศิษย์พี่ก็กลายเป็นศิษย์ฝ่ายใน... ...
กำปั้นสีชมพูเกร็งแน่น สองตากระจ่างใสดุจดวงดาราเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น – เสี่ยวกั่วก็จะต้องกลายเป็นศิษย์ฝ่ายในด้วย!
ที่ผ่านมาศิษย์พี่หญิงคอยปกป้องดูแลนาง ต่อมาก็เป็นศิษย์พี่ แม้ว่าศิษย์พี่จะน่ากลัวอยู่บ้าง ทั้งยังอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่เรื่อย แต่ศิษย์พี่ผู้ที่นางหวาดผวาอยู่บ้างผู้นี้กลับกลายเป็นแบบอย่างในใจนางโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่อศิษย์พี่มอบม้วนหยกให้นางและบอกว่าให้ฝึกหนักเพื่อปกป้องทุกคน เสี่ยวกั่วก็ตั้งใจมั่นว่านางจะทำให้ดีที่สุด!
นางเอียงคอคิดอย่างสัตย์ซื่อไร้เดียงสา
“เสี่ยวกั่ว เสี่ยวกั่ว” เสียงใครบางคนตะโกนเรียก
“ข้าอยู่ที่นี่” นางรีบขานตอบ
ศิษย์พี่หญิงสองสามคนวิ่งตรงมาหานาง พลางกล่าวชักชวน “ไปตงฝูกันเถอะ พวกเราไม่ได้ไปนานแล้ว”
“มาเถอะเสี่ยวกั่ว ไปด้วยกัน”
ไม่มีผู้ใดทราบว่านางกำลังฝึกปรือเพลงกระบี่ นางมักลอบหนีไปฝึกตามลำพังทุกๆ วัน
ที่จริงนางไม่อยากไป วันนี้นางยังฝึกฝนไม่เสร็จสิ้น แต่พอจะอ้าปากปฏิเสธ พลันนึกขึ้นได้ว่าศิษย์พี่เคยบอกให้นางดูแลปกป้องทุกคน คำพูดที่ขึ้นมาถึงริมฝีปากก็กลับกลายเป็น “อืม ไปกันเถิด”
หอตงฝู
หวีป๋ายค้อมกายรายงานต่อเทียนซงจื่อ “จดหมายและเทียบเชิญทั้งหมดถูกส่งออกไปแล้ว ส่วนสำนักกระบี่สุญตากับสำนักกระบี่ตงฉี ศิษย์นำไปส่งถึงมือพวกมันด้วยตัวเอง”
“อืม ลำบากเจ้าแล้ว” เทียนซงจื่อพยักหน้าชมเชย ทันใดนั้นมันนึกถึงเรื่องราวหนึ่ง จึงสั่งการว่า “ระยะนี้เจ้าต้องควบคุมดูแลผู้คนในเมืองให้ดี ระมัดระวังเป็นพิเศษอย่าให้มีเรื่องมีราวอันใดเกิดขึ้น”
“มีเรื่องราวใดหรือท่านอาจารย์” หวีป๋ายฉวยโอกาสถาม
“ยังจดจำดาวพร่างกลางทิวาได้หรือไม่?”
“ศิษย์จำได้ มีการค้นพบเบาะแสใหม่หรือขอรับ?” หวีป๋ายใจสั่นสะท้าน เรื่องพิสดารอัศจรรย์พันลึกถึงเพียงนั้น เกรงว่าชั่วชีวิตมันยังไม่อาจลืมเลือน คราแรกนิมิตแห่งฟ้าดินของเหวยเสิ้งยามเข้าสู่ด่านจู้จีส่งปราณกระบี่ทะลวงฟ้าผ่าสวรรค์ บันดาลให้มันตื่นตะลึงสะท้านสะเทือนอย่างใหญ่หลวง แต่หากจะเปรียบเทียบกับนิมิตแห่งฟ้าดินอันเงียบงันไร้สำเนียงที่ปรากฏขึ้นในภายหลัง ดวงดาวพราวพร่างกลางทิวาโดยปราศจากเค้าลางบอกเตือน ยังบันดาลให้รู้สึกเย็นเยียบเสียดกระดูกยิ่งกว่า
เทียนซงจื่อส่ายศีรษะ “ไม่มีใด เจี้ยจู่*ได้ใช้จิตสำนึกกวาดผ่านทั่วทั้งอาณาจักรแล้วไม่พบสิ่งใดผิดสังเกต แต่เมื่อเจี้ยจู่ขอความช่วยเหลือจากสำนัก ได้ความว่าดาวพร่างกลางทิวาสมควรเกี่ยวพันกับอสูรปิศาจ”
(*เจ้าอาณาจักร ซึ่งเจ้าอาณาจักรนภาจันทร์สังกัดแดนคุนหลุน ดังนั้นสำนักในที่นี้หมายถึงคุนหลุน)
“อสูรปิศาจ!” หวีป๋ายอุทานดังลั่น
“ถูกต้อง แต่กระทั่งตำราเก่าแก่ที่สุดก็ยังบันทึกเรื่องนี้ไว้อย่างคลุมเครือยิ่ง เพียงกล่าวว่ามันเกี่ยวพันกับอสูรปิศาจเท่านั้น” เทียนซงจื่อสีหน้าหนักอึ้ง กล่าวต่อด้วยเสียงแหบลึก “ที่สำคัญที่สุดก็คือเป็นที่แน่นอนว่ามันเป็นลางร้าย!”
“ลางร้าย!” หวีป๋ายใบหน้าเผือดสี
นิมิตแห่งฟ้าดินแม้ว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาสามัญ แต่ยังพอมีปรากฏขึ้นให้เห็นเป็นครั้งคราว เช่นเมื่อสมบัติล้ำค่าโผล่ออกมาจากพื้น เมื่อใครบางคนทะลวงด่านฝึกตน เมื่อหลอมสร้างยุทธภัณฑ์เวทหรือหลอมกลั่นโอสถปราณชั้นสูง ล้วนมีโอกาสสำแดงนิมิตแห่งฟ้าดินออกมาได้ แต่สำหรับนิมิตแห่งฟ้าดินที่ได้รับการกล่าวขานว่าลางร้าย หวีป๋ายรู้จักเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น แต่ละอย่างล้วนหมายถึงฟ้าพลิกผันดินแปรปรวน โลหิตหลั่งไหลเป็นท้องธาร ดังเช่นเมื่ออาณาจักรหนึ่งถึงกาลล่มสลาย แผ่นดินแตกหักพังพินาศ สายน้ำถาโถมท่วมนภา ภายใต้สภาวะเหตุการณ์เช่นนั้น กระทั่งผู้ฝึกตนชั้นสูงสุดยังไม่อาจหนีรอด พวกมันล้วนต้องร่วมกลบฝังตกตายไปพร้อมกับอาณาจักร ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือ
เทียนซงจื่อทอดถอน “ข้าเกรงว่าโลกกำลังจะเกิดกลียุค! อสูรปิศาจจักผงาดขึ้นมาอีกครา!” มันเหลือบมองหวีป๋ายพลางกล่าวปลอบประโลม “อย่าวิตกไปเลย เยาม๋อเป็นศัตรูตามธรรมชาติของพวกเราเหล่าซิวเจ่อทั้งมวล ในด้านนี้ไม่ว่าสำนักใดล้วนไม่ล่าถอยแม้แต่ก้าวเดียว เวลานี้อาณาจักรเจิ้นเทียน(พิทักษ์ฟ้า)ส่งยอดฝีมือจำนวนหนึ่งออกมา ในไม่ช้าพวกมันจะมาถึงอาณาจักรเทียนเยวี่ย(นภาจันทร์)ของพวกเราเพื่อตรวจสอบเรื่องราว ยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนมีพลังฝีมือสูงล้ำ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น เจ้าต้องพยายามควบคุมดูแลผู้คน อย่าปล่อยให้พวกมันก่อความวุ่นวาย แล้วอย่าลืมแจ้งต่อทุกสำนักในอาณาเขตของเราด้วย”
“ศิษย์ทราบแล้ว!” หวีป๋ายรีบรับคำ
“หวังว่าเหล่ายอดฝีมือจะยุติเรื่องราวนี้ได้โดยเร็ว” เทียนซงจื่อรำพึงกับตัวเอง
หวีป๋ายเงียบงัน ไม่ทราบจะกล่าวบรรเทาความกังวลให้อาจารย์ของมันอย่างไร