ตอนที่ 61 เปิดร้านบะหมี่
ตอนที่ 61 เปิดร้านบะหมี่
ผู้แปล : ThreeSwords
ปรับสำนวน : ThreeSwords
ในห้องพักเล็กๆ ของฉินฟาง มีคนสามคนกำลังนั่งอยู่ด้วยท่าทางอัดอั้นตันใจ
“ตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดีล่ะ?”
ถังเฟยเฟยพูดหน้าเศร้า
“เทศกิจพวกนั้นทำเกินไปจริงๆ! เห็นได้ชัดว่าเพ่งเล็งพวกเราเพียงเจ้าเดียว!”
สีหน้าของเซียวมู่เสวี่ยก็คล้ายๆ กับถังเฟยเฟยแต่หม่นหมองยิ่งกว่า ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้เพราะตั้งแต่วันแรกที่เธอมาเริ่มงาน พวกเทศกิจก็มาทำลายร้านแผงลอยซะแล้ว
นับตั้งแต่เทศกิจพวกนั้นโผล่มา พวกฉินฟางก็ไม่ได้ค้าขายเลยตลอดทั้งสัปดาห์ หรือจะพูดว่าทุกวันก็ได้เพราะรถของเจ้าหน้าที่เทศกิจได้มาจอดแถวร้านแผงลอยของฉินฟางตลอด พวกมันไม่ได้สนใจร้านแผงลอยอื่นและปล่อยให้ค้าขายได้ตามสะดวก แต่ทันทีที่ฉินฟางปรากฏตัวขึ้น พวกมันก็จ้องมองฉินฟางราวกับเหยี่ยว ไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสที่จะตั้งร้านของตัวเองเลย
“ช่างเถอะ จากที่เห็นธุรกิจของพวกเราคงไม่อาจดำเนินการต่อได้ นอกจากนี้มหาวิทยาลัยก็กำลังจะเปิดภาคเรียนในอีกไม่กี่วันแล้วด้วย”
เปรียบเทียบกับสองสาวแล้ว ฉินฟางนั้นสงบกว่ามาก ถึงแม้จะถูกก่อกวนตลอดทั้งสัปดาห์ ในตอนนี้วันหยุดภาคเรียนก็ใกล้ที่จะหมดลง โชคดีที่เขาเก็บเงินได้มากพอสำหรับค่าเล่าเรียนและใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่เงินที่จะส่งกลับบ้านไปให้แม่ของเขาคงต้องรอไปก่อน
“ไม่มีทาง! พวกเราไม่อาจยอมแพ้แบบนี้ได้!”
พอได้ยินว่าฉินฟางมีแผนที่จะยอมแพ้ ถังเฟยเฟยก็ปฏิเสธออกมาเป็นคนแรก
“เฟยเฟย แล้วพวกเราจะสามารถทำอะไรได้อีกนอกจากยอมแพ้? หรือมีที่อื่นให้พวกเราไปเริ่มขายใหม่ได้งั้นเหรอ?... ทำไมเธอไม่ลองไปถามพ่อเพื่อขอความช่วยเหลือดูล่ะ?”
เซียวมู่เสวี่ยมองไปยังถังเฟยเฟย เธอเองก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้เช่นกัน แต่มันจะทำอะไรได้อีกล่ะ อย่างไรก็ตามจู่ๆ เธอก็นึกถึงพ่อของถังเฟยเฟย ก็เลยอดไม่ได้ที่พูดเสริมขึ้นในประโยคสุดท้าย
“มู่เสวี่ย ห้ามทำอย่างนั้นนะ!”
ก่อนที่ถังเฟยเฟยจะทันได้ตอบกลับ ฉินฟางก็หน้านิ่วคิ้วขมวด และดุใส่เซียวมู่เสวี่ยเบาๆ
เขาทราบตัวตนของถังเฟยเฟยมานานแล้ว พ่อเธอเป็นหนึ่งในคนที่กุมอำนาจของเมืองหนิงไห่แห่งนี้ และเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง การขอให้คนที่มีตำแหน่งสูงเช่นนี้จัดการกับรองหัวหน้าทีมต๊อกต๋อยคนหนึ่งเป็นเรื่องที่น่าขันเกินไป
นอกจากนี้ถ้าพวกเขาทำอย่างนั้นจริงๆ แล้ว ฉินฟางก็รู้สึกอัปยศอดสู คนอื่นอาจพูดได้ว่าเขาเป็นพวกขยะและทำตัวเหมือนกาฝากของถังเฟยเฟย
“แล้วจะให้พวกเราทำยังไง?”
หลังถูกฉินฟางดุ เซียวมู่เสวี่ยรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย และเริ่มที่จะบุ้ยปาก
“เอ่อ...”
ฉินฟางอับจนคำพูดทันที ถ้าเขามีหนทาง ก็คงไม่ปล่อยให้ตัวเองอยู่ว่างอย่างนี้แน่
“ฉินฟาง มู่เสวี่ยพูดถูกแล้ว!”
เวลานี้เองจู่ๆ ถังเฟยเฟยก็พูดแทรก
“เฟยเฟย เธอยอมที่จะไปขอให้พ่อช่วยงั้นเหรอ?”
เซียวมู่เสวี่ยยินดีปรีดาในทันที
“ไม่ เธอทำอย่างนั้นไม่ได้นะ! ผมยอมแพ้เสียยังดีกว่า!”
สีหน้าของฉินฟางเปลี่ยนไป และเขาเกือบที่จะพูดตะโกนเสียงดัง
“พวกคุณกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ?! ถ้าฉันขอให้พ่อช่วยในเรื่องเล็กแค่นี้ พ่อไม่ตีฉันตายก็แปลกไปแล้ว!”
ในขณะที่ถังเฟยเฟยมองไปยังฉินฟางที่โกรธจนหน้าแดง เธอคิดว่าเขาดูน่ารักมาก อย่างไรก็ตามพอเห็นฉินฟางกับเซียวมู่เสวี่ยจ้องเธอด้วยท่าทางตกใจแล้ว เธอก็เริ่มอธิบายอย่างช้าๆ
“ฉันหมายความว่าที่เซียวมู่เสวี่ยพูดมาตอนแรกถูกแล้ว... พวกเราสามารถเปลี่ยนสถานที่เพื่อทำธุรกิจต่อไปได้! อย่างเช่น ที่สวนกล้วยไม้!”
“พวกเราเปลี่ยนที่ขายได้จริงๆ น่ะเหรอ? สวนกล้วยไม้เนี่ยนะ...”
เซียวมู่เสวี่ยตอบกลับด้วยท่าทีประหลาดใจ
“ฉันได้ยินจากลุงกับป้าว่ามีร้านแผงลอยจำนวนมากอยู่ใกล้พื้นที่มหาวิทยาลัย แถมแข่งขันกันเอาจริงเอาจังมาก ซึ่งถ้าไม่จำเป็นจริงๆ พวกเราก็คงไม่ต้องย้ายจากที่นี่ไปสวนกล้วยไม้หรอกนะ...”
ฉินฟางพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน ตอนแรกที่เขาวางแผนเปิดร้านแผงลอย ก็เคยขอคำแนะนำกับฟ่านเจี่ยเจีย สวนกล้วยไม้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยซึ่งรายล้อมไปด้วยร้านอาหาร ร้านขมขบเคี้ยว และหอพัก ถือได้ว่าเป็นย่านธุรกิจที่คับคั่งที่สุดในมหาวิทยาลัย และครอบคลุมมากกว่าสิบคณะ
และนั่นเป็นสาเหตุที่คนพูดกันว่า “ตราบเท่าที่คุณสามารถค้าขายที่สวนกล้วยไม้ได้อย่างราบลื่นแล้ว คุณก็จะไม่มีปัญหาเรื่องเงินอีกต่อไป!”
เจ้าของร้านแผงลอยที่ฉินฟางรู้จักส่วนใหญ่ก็มาจากสวนกล้วยไม้ พวกเขาค้าขายได้ไม่ค่อยดีตอนอยู่ที่นั่น จึงย้ายมาตลาดประตูทิศใต้ซึ่งมีคู่แข่งน้อยกว่าทำให้ค้าขายดีขึ้น ถึงแม้จะไม่สามารถหาเงินทองได้เป็นไหๆ แต่ก็มีมากพอที่ให้ใช้ชีวิตได้ตามอัตภาพ
“พวกเขาขายไม่ดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะขายไม่ดีไปด้วย! อย่าลืมสิ ใครที่ขายดีสุดในตลาดประตูทิศใต้? พวกเราไง! ร้านแผงลอยไหนที่ยุ่งจนพนักงานไม่มีแม้กระทั่งเวลาพักผ่อน? นั่นก็พวกเรา! ร้านแผงลอยไหนทำเงินได้มากที่สุด? ก็ยังคงเป้นพวกเรา! ทำไมพวกเราถึงขายดีงั้นเหรอ? นั่นเป็นเพราะฝีมือการทำอาหารที่เก่งกาจของฉินฟาง! ดังนั้นสวนกล้วยไม้แล้วไง? ตราบใดที่เรายังมีฉินฟางอยู่ ย่อมขายดีได้ทุกที่!”
คำพูดปลุกเร้าของถังเฟยเฟยไม่เพียงทำให้ตาของเซียวมู่เสวี่ยเป้นประกาย กระทั่งฉินฟางยังรู้สึกหวั่นไหว อย่างไรก็ตามเขาก็รู้ว่าการตั้งร้านที่นั่นมีความยากลำบากอยู่บ้าง
“แต่สวนกล้วยไม้นั่นอยู่ภายใต้ความควบคุมของเทศกิจพวกนั้น...”
ขณะที่ฉินฟางกำลังรู้สึกตื่นตระหนกในใจ เซียวมู่เสวี่ยก็ยกปัญหาที่ฉินฟางกำลังหนักใจอยู่ขึ้นมาพูด
“เธอจะกลัวอะไรกัน? เทศกิจพวกนั้นอาจห้ามพวกเราตั้งร้านแผงลอยที่ไม่ได้รับอนุญาตได้ รอบนี้พวกเราไม่ได้จะตั้งร้านแผงลอยนะ แต่จะเปิดเป็นร้านค้าแทน และจะเปิดเป็นร้านบะหมี่อีกด้วย! ลองดูกันว่าคราวนี้คนพวกนั้นจะหาเรื่องอะไรกับพวกเราได้!”
เห็นได้ชัดว่าถังเฟยเฟยมีแผนการแล้ว และกำลังเผยมันออกมา
“เปิดร้านบะหมี่?”
พอได้ยินแผนของถังเฟยเฟย ฉินฟางก็ลังเล เหตุผลนั้นง่ายมาก เพียงแค่สามคำ ไม่มีเงิน!
ข้อได้เปรียบของการตั้งร้านแผงลอยก็คือ มันสามารถเปิดร้านได้ทุกที่ และมีค่าใช้จ่ายเฉพาะสิ่งของที่จำเป็น เป็นการลงทุนต่ำแต่ผลตอบแทนสูง แต่การเปิดภัตตาคารขายบะหมี่นั้นต่างออกไป การดำเนินกิจการจำเป็นต้องใช้เงินสำหรับค่าเช่าร้าน ค่าสาธารณูปโภค ค่าใบอนุญาต ค่าใบรับรองความถูกสุขลักษณะ และสิ่งยุ่งยากอื่นๆ ที่สำคัญมากสุดคือมหาวิทยาลัยใกล้ที่จะเปิดเรียนแล้ว เวลาว่างที่พวกเขาสามารถเปิดร้านได้มีจำกัด
“ไม่ต้องกังวลนะฉินฟาง ฉันจะขอให้เสี่ยวหนิงเจียช่วย ด้วยความช่วยเหลือของเธอ งานเอกสารจะต้องดำเนินไปอย่างรวดเร็วและไม่เสียค่าใช้จ่ายมาก อย่างเดียวที่เหลือก็คือค่าเช่าร้านที่ต้องจ่ายเยอะ แต่นายสามารถใช้กำไรที่พวกเราหาได้เดือนนี้ในส่วนของฉันจ่ายได้ นายเป็นหัวหน้าใหญ่และพ่อครัวหลักของร้าน ส่วนฉันเป็นรองหัวหน้าและสาวเสิร์ฟ ด้วยฝีมือของนาย ฉันเชื่อว่าทันทีที่พวกเราเปิดร้าน กำไรที่ได้ต้องพุ่งกระฉูด ภายในไม่กี่วันจะต้องได้เงินที่ลงทุนไปกลับคืนมา! หรือนายไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเอง?”
ถังเฟยเฟยเป็นผู้หญิงที่ฉลาดมาก เธอรู้ว่าฉินฟางกำลังหนักใจ แต่ก็ไม่ต้องการให้ฉินฟางยอมแพ้ไปแบบนี้ จึงรีบคิดหาหนทางแก้ไขที่เหมาะสมเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมด
“ถูกแล้ว! ฉันด้วย นับฉันเข้าไปด้วย!”
เมื่อได้ยินแผนของถังเฟยเฟย ดวงตาของเซียวมู่เสวี่ยก็เฉิดฉาย พอเห็นว่าถังเฟยเฟยจงใจไม่นับเธอรวมเข้าไป เธอก็เสนอตัวขอเข้าร่วมในทันที
“ตอนนี้ฉันมีเงินหนึ่งหมื่นหยวนที่ได้จากวันที่นายช่วยฉันไว้ ที่ถูกต้องเงินนี่ควรต้องเป็นของนาย แต่ในเมื่อนายให้ฉันแล้ว ฉันก็จะใช้มันลงทุนกับนาย นั่นยอมรับได้ใช่มั้ย?”
“แน่นอน! ในเมื่อพวกเราได้เงินนั่นมาฟรีๆ เอามาลงทุนก็ยิ่งดี!”
ถึงแม้ถังเฟยเฟยจะรู้สึกไม่ยินดีเล็กน้อยที่เซียวมู่เสวี่ยพยายามแทรกตัวเข้ามา แต่มันก็เป็นเรื่องดีที่นำเงินนั่นมาใช้กับร้านอาหาร
“ใช่ ใช่!”
มีใครบางคนเคยพูดเอาไว้ว่า เมื่อใดที่หญิงสาวคนหนึ่งต้องการจะพูดชักจูงคุณก็เหมือนกับเป็ดห้าร้อยตัวกำลังส่งเสียงร้อง และตรงหน้าของฉินฟางก็มีหญิงสาวสองคนกำลังพูดชักจูงเขาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งร่วมมือกัน พูดคล้องจองสอดประสานกัน จนฉินฟางรู้สึกเหมือนกับเป็ดพันตัวกำลังส่งเสียงร้องอยู่ข้างหูเขาจริงๆ
“โอเค! พวกเธอพูดถูกแล้ว พอใจหรือยัง?!”
เพราะไม่อาจทนรับการกระหน่ำเข้ามาของสองสาวอย่างต่อเนื่องได้ ฉินฟางจึงยอมยกธงขาวอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ตอนแรกเขาจะยกนิ้วให้กับแผนของถังเฟยเฟยเช่นกัน แต่ก็ไม่อยากลงมือทำด้วยปัญหาทางด้านการเงิน
อย่างไรก็ตามด้วยการจัดแจงของถังเฟยเฟย ปัญหาทั้งหมดที่เขาคิดว่าจะผ่านไปไม่ได้ล้วนถูกแก้ไข ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายค้ำคอแล้ว เขาอาจจะใช้กางเกงในสีขาวของตัวเองมาทำเป็นธงขาว และยินยอมทำตามแผนทันทีที่เรื่องนี้ถูกเอ่ยถึง
การเลื่อนตำแหน่งจากเจ้าของร้านแผงลอยมาเป็นร้านอาหารในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ในเรื่องสถานะของฉินฟางที่มีการเปลี่ยนแปลง เขาอาจจะต้องขอบคุณเจ้าอ้วนรองหัวหน้าในเรื่องนี้
ถึงแม้ในเวลานี้เจ้าอ้วนนั่นกำลังถือถุงน้ำแข้งประคบศีรษะตัวเองไว้ โดยที่ตัวฉินฟางเองไม่รู้ว่าอิฐก้อนนั้นเมื่อใช้ร่วมกับทักษะ [ขว้าง] แล้วจะทำให้ความเจ็บปวดยาวนานขึ้นอย่างไม่คาดคิด...
……………………………..