ตอนที่ 53 หนุ่มบริสุทธิ์ผู้เป็นอมตะ
ตอนที่ 53 หนุ่มบริสุทธิ์ผู้เป็นอมตะ
ผู้แปล : ThreeSwords
ปรับสำนวน : ThreeSwords
“หยุด! อย่าขยับ!”
รถจักรยานของฉินฟางเคลื่อนมาเร็วมาก เพราะฉะนั้นระยะทางแค่ยี่สิบสามสิบเมตรก็เลยไม่จำเป็นต้องปั่นต่อ เขาแค่ปล่อยให้แรงเฉื่อยทำหน้าที่ของมันก็พุ่งไปอย่างเร็วจี๋แล้ว ส่วนผู้หลบหนีสองคนนั้นเพิ่งจะเข้าไปที่เนินเขา แต่หนิงอวี่ม่อกลับแตกตื่นจนอดไม่ได้ที่จะร้องตะโกนออกมา
ตอนนี้ เธอเหมือนถูกแหย่รังแตนเข้าแล้ว
สองผู้หลบหนีไม่ได้รีบร้อนอะไรเป็นพิเศษ ถนนสายนี้ไม่ได้มีคนหรือรถสัญจรผ่านมากนัก และถึงแม้ก่อนหน้านี้พวกมันจะเดินผ่านตำรวจสองคนนั้น ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้สนใจพวกมันเลย ไม่คาดว่าตอนที่กำลังจะเข้าไปเนินเขา เสียงของตำรวจสาวที่เคยไล่ตามพวกมันอย่างบ้าคลั่งก็ดังแว่วมา
“เธอไม่ลดละจริงๆ!”
สองผู้หลบหนีมองไปยังแหล่งต้นกำเนิดเสียง ขณะที่พวกมันประหลาดใจกับความเร็วรถจักรยานของฉินฟาง ก็สังเกตเห็นใบหน้าของหนิงอวี่ม่อซึ่งอยู่ข้างหลังฉินฟาง พวกมันก็สบถออกมาในทันที จากนั้นก็รีบเร่งความเร็วของฝีเท้าและเข้าไปในเนินเขา
“เร็ว ไปให้เร็วกว่านี้!... ว้าย!”
พอเห็นสองคนนั่นเข้าไปในเนินเขา หนิงอวี่ม่อที่ลนลายก็เริ่มพูดเร่งฉินฟางอีกครั้ง
แต่ทันทีที่เธอพูดจนจบคำ จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยขึ้นไป และสูญเสียการควบคุมของร่างกายไปโดยสิ้นเชิง พอเห็นว่าใบหน้าของเธอกำลังจะลงไปจูบกับพื้น ตอนนี้หนิงอวี่ม่อเลยรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ
ในนาทีวิกฤตนี้เอง แขนข้างหนึ่งที่ไม่ได้ดูใหญ่โตอะไร จู่ๆ ก็เข้ามาโอบรอบเอวของหนิงอวี่ม่อ เธอรู้สึกว่าแขนนั่นออกแรงจากกล้ามเนื้อเป็นอย่างมาก และนั่นเป็นการลบล้างแรงเฉื่อยที่กำลังจะพาเธอลงไปกองกับพื้นดิน
แขนข้างนั้นย่อมเป็นของฉินฟาง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันกะทันหันเกินไปจริงๆ จนฉินฟางไม่อาจเตรียมตัวได้ทัน รถจักรยานของเขาจู่ๆ ก็ล้มลง ประกอบกับการปั่นมาด้วยความเร็วสูงเมื่อสักครู่นี้ มันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากถ้าต้องการลงจอดบนพื้นโดยไม่ได้รับอันตราย
ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ฉินฟางทุ่มเทออกมาสุดตัว เขาดึงหนิงอวี่ม่อเข้ามาไว้ในอ้อมกอดอย่างแนบแน่น ขณะเดียวกันฉินฟางก็ทำการเก็บคอและใช้แขนขาของเขาทั้งหมดยึดตัวของหนิงอวี่ม่อไว้ ร่างของคนทั้งสองปลิวไปตามแรง และตกกระทบพื้นอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็กลิ้งไปหลายสิบเมตรก่อนที่จะหยุดลง
ภายใต้การปกป้องของฉินฟาง ส่วนที่สำคัญของหนิงอวี่ม่อเช่นใบหน้ากับศีรษะล้วนไม่ได้รับอันตราย มีเพียงชุดราตรีบางเบาเกิดรอยขาดเล็กๆ เนื่องจากแรงเสียดสีตอนที่กลิ้งไปกับพื้น โดยรวมแล้วสภาพเธอค่อนข้างดี
ตอนที่ทั้งสองคนหยุดกลิ้งในท้ายที่สุด ฉินฟางรู้สึกว่าตลอดทั้งร่างเจ็บปวดเป็นอย่างมาก และศีรษะก็มึนงงไปหมด ไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงใดๆ เขานอนเหยียดยาวอยู่กับพื้น ปล่อยหนิงอวี่ม่อออกจากอ้อมแขน
“ฉินฟาง...!”
หนิงอวี่ม่อก็รู้สึกมึนงงจากการกลิ้งเช่นกัน มีรอยถลอกเพียงไม่กี่แห่งบนแผ่นหลัง เธอที่แทบไม่ได้รับอันตรายก็ฟื้นตัวหลังผ่านไปช่วงสั้นๆ เมื่อกลับมาเป็นปกติ เธอก็เห็นรถจักรยานนั่นกลายเป็นชิ้นๆ อยู่ไม่ห่างออกไป กับฉินฟางที่ซีดเซียวราวกับคนตาย เสียงของเธอในขณะที่กำลังร้องเรียกฉินฟางจึงสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
ฉินฟางรู้สึกว่าสถานการณ์นี้เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ รถจักรยานมือสองคันนี้ใกล้พังอยู่แล้วก่อนที่เขาจะเอามาใช้ด้วยซ้ำ เพียงแต่มันพังเร็วขึ้นเพราะแรงกดมหาศาลที่ฉินฟางใส่เข้าไปจากการปั่นอย่างเร็วจนไม่อาจรับไหว
โชคดีที่ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะน่าตกใจ ตัวของฉินฟางกลับไม่เป็นอันตราย แต่เมื่อมองไปที่ค่า HP ของตัวเองซึ่งยังคงมีเหลืออยู่สองหน่วย ก็ทำให้หน้าที่ซีดเผือดของฉินฟางปรากฏรอยยิ้มที่เต็มฝืนขึ้น
“สะ-เสี่ยวหนิงเจีย... ผะ-ผมไม่เป็นไร...”
ตอนนี้ค่า HP ของเขาต่ำเกินไป สมองฉินฟางเลยมึนงงไปหมด กระทั่งเสียงพูดก็ยังกระท่อนกระแท่น เขาสามารถทำได้เพียงเอ่ยเรื่องที่อยากบอกทีละน้อย
“นายสภาพขนาดนี้แล้ว ยังบอกว่าไม่เป็นไรอีกเหรอ? ฉันจะโทรเรียกรถพยาบาลให้เดี๋ยวนี้!”
ถึงแม้หนิงอวี่ม่อจะทำตัวเหมือนแม่เสือสาว แต่จิตใจของเธอก็ยังคงสั่นไหวเมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งยอมใช้ร่างกายตัวเองปกป้องตอนที่ชีวิตเธออยู่ในอันตราย และพอมองไปยังฉินฟางที่มีใบหน้าซีดเซียวแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดใจ
ขณะที่เธอกำลังจะหาโทรศัพท์อยู่นั้น หนิงอวี่ม่อก็พบเรื่องที่น่าตกใจ... เพราะเธอไม่ได้เอาโทรศัพท์มาด้วย!
หรือพูดให้เจาะจงมากกว่านี้ โทรศัพท์ของเธออยู่ในรถปอร์เช่ เนื่องจากชุดที่สวมใส่ไม่มีกระเป๋าใส่ของ
“เสี่ยวหนิงเจีย ผมมีเกี๊ยวซ่าอยู่ในกระเป๋าตัวเองนิดหน่อย เอามันออกมาให้ที... ผมค่อนข้างจะหิวมากเลย และหลังจากที่กินจนอิ่ม ผมก็จะไม่เป็นไร!”
หน้าของฉินฟางดูท่าทางไม่ค่อยดีเลย และเขาต้องใช้ความพยายามในการพูดเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ลืมเกี๊ยวซ่าพวกนั้น ซึ่งเขาก็ได้แต่หวังว่าต่อให้เกี๊ยวซ่านั่นเละไปหมดแล้ว มันก็ยังสามารถฟื้นฟูค่า HP ของเขาได้
“กะ-เกี๊ยวซ่าเหรอ?”
หนิงอวี่ม่ออึ้งไปเลย ดวงตาของเธอจ้องมองไปยังฉินฟางด้วยท่าทางไม่เชื่อที่ได้ยิน และไม่เคยนึกฝันเลยว่าจะมีใครที่ใกล้ตายอยากจะกินเกี๊ยวซ่า
“เอาเถอะ ฉันจะหยิบออกมาให้นาย โอเค?”
หนิงอวี่ม่อเป็นกังวล พอมองไปยังฉินฟาง เธอก็ยิ่งคิดมากว่านี่อาจจะเป็น ‘การมีสติชั่วขณะก่อนสิ้นลมหายใจ’ ตามที่ร่ำลือกัน แต่เพื่อไม่ให้ฉินฟางจากไปด้วยความเสียใจ เธอก็ยื่นมือเข้าไปในกระเป๋าของฉินฟางพร้อมกับผงกหัวงึกงัก
กางเกงยีนส์ของฉินฟางเป็นประเภทที่มีกระเป๋าใส่ของหลายช่อง ถึงแม้มันจะดูบ้าไปหน่อยที่สวมกางเกงแบบพวกขอทานนี้ในช่วงหน้าร้อน แต่ด้วยฐานะทางการเงินของครอบครัว เขาจะสามารถทำอะไรได้ล่ะ?
แต่มันก็ทำให้การพกเกี๊ยวซ่าติดตัวมาสะดวกมากขึ้น แต่ที่ฉินฟางรู้สึกประหลาดใจก็คือ เกี๊ยวซ่าพวกนั้นถูกกดทับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันยังคงรูปลักษณ์เดิมอยู่
“ค่อยๆ กินนะ... ช้าๆ สิ!”
หนิงอวี่ม่อพยายามป้อนเกี๊ยวซ่าให้ฉินฟางทีละน้อยอย่างอายๆ แต่ฉินฟางกลับกินมันอย่างตะกละตะกลาม เพราะเขาอ้าปากกว้างและเขมือบมันเข้าไปในคำเดียว
ฉินฟางไม่ใส่ใจในเรื่องภาพลักษณ์ของตัวเองเลย หลังจากชิ้นแรกลงเข้าไปอยู่ในท้อง มันก็ถูกแปลงเป็นค่า HP ของเขาทันที ใบหน้าเริ่มมีสีเลือดมากขึ้น รวมทั้งความเจ็บปวดของร่างกายก็ลดลงอย่างมาก
หนิงอวี่ม่อป้อนดกี๊ยวซ่าให้ฉินฟางมากขึ้น และสังเกตเห็นว่าสีหน้าของฉินฟางดีขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นสัญญาณของการฟื้นตัวแทนที่จะเป็นมีสติชั่วขณะก่อนสิ้นลมหายใจ
“เอ๋? ทำไมมันเป็นแบบนี้ล่ะ?”
เมื่อเผชิญกับภาพเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ หนิงอวี่ม่อย่อมสงสัยเป็นธรรมดา แต่พอนึกถึงฉากที่น่าอึดอัดใจก่อนหน้านี้แล้ว เธอก็ปล่อยวางความสงสัยนี้ไว้ชั่วคราว และตั้งอกตั้งใจป้อนอาหารให้กับฉินฟาง
เกี่ยวกับเรื่องฉากที่น่าอึดอัดใจ เป็นตอนที่หนิงอวี่ม่อหยิบเอาเกี๊ยวซ่าออกมากระเป๋าของฉินฟางก่อนหน้านี้ เธอไม่รู้ว่าเกี๊ยวซ่าพวกนั้นอยู่ตรงไหน จึงทำได้เพียงควานหาเข้าไปในกระเป๋าลึกๆ
ถึงแม้ฉินฟางจะสวมกางเกงยีนส์ แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่ในช่วงหน้าร้อนมักจะเป็นแบบบาง ดังนั้นฉินฟางจึงรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากมือของหนิงอวี่ม่อผ่านทางเนื้อผ้า ประกอบกับที่มือเธอคลำไปรอบต้นขาเขาแล้ว ทำให้เด็กหนุ่มบริสุทธิ์ผู้ยากจนอย่างเขาไม่สามารถทนทานได้ และน้องชายของเขาก็เกิดการตอบสนอง
หนิงอวี่ม่อที่กำลังควานหาไปรอบๆ ก็ยังไม่พบเกี๊ยวซ่าพวกนั้น พอรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่แข็งๆ อยู่ เธอก็นึกว่าตัวเองหาเกี๊ยวซ่าเจอแล้ว ดังนั้นก็เลยคว้าหมับ
อย่างไรก็ตามเธอก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยตอนที่คว้าไปยัง ‘เกี๊ยวซ่า’ นั่น ถ้าพูดถึงเกี๊ยวซ่าแล้วก็คงไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ทำไม ‘เกี๊ยวซ่า’ ในมือเธอถึงให้ความรู้สึกเหมือนเป็นแท่งอะไรสักอย่างล่ะ?
หนิงอวี่ม่อยังลองลูบไล้มันสองสามครั้งไม่ได้คิดอะไรมาก และจู่ๆ ก็ตระหนักได้ เธอสบถออกมาเบาๆ ทันทีพร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรื่อ
ฉินฟางที่หัวยังคงมึนงงอยู่ เมื่อถูกกระตุ้นก็ย่อมมีการตอบสนองตามธรรมชาติ พอเหลือบมองไปยังปฏิกิริยาของหนิงอวี่ม่อ เขาจึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะทำหน้าตายไม่แสดงอาการออกมา ทำให้สถานการณ์ไม่ดูน่าอึดอัดใจไปมากกว่านี้
หลังจากกินเกี๊ยวซ่าไปหกชิ้น ค่า HP ของฉินฟางก็กลับไปอยู่ที่ 8 หน่วย ถึงแม้จะมากกว่าครึ่งของค่า HP เต็มหลอดของเขาที่ 15 หน่วยเพียงเล็กน้อย ฉินฟางในตอนนี้ก็ดูเหมือนคนที่มีสุขภาพดีจริงๆ แตกต่างไปจากคนป่วยที่เกือบตายเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง
“ฉินฟาง นาย...”
ตอนที่ฉินฟางลุกขึ้นมาจากพื้น หนิงอวี่ม่อก็ปากอ้าตาค้าง เธออยากถามฉินฟางบางอย่าง แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะถามเรื่องพวกนั้นได้ยังไง
“เสี่ยวหนิงเจีย ดูสิ สองคนนั่นเข้าไปในเนินเขาแล้วนะ! ถ้าพวกเราไม่ไล่ตามไปตอนนี้แล้ว มันอาจจะสายเกินไป!”
เป็นธรรมดาที่ฉินฟางจะไม่ยินยอมให้หนิงอวี่ม่อสอบถามเรื่องร่างกายอันแปลกประหลาดของเขา ก็เลยรีบชี้ไปยังคู่ที่กำลังหลบหนีกับหนิงอวี่ม่อ
……………………………..