ตอนที่ 30 : พระราชวังซูมี่
ทันทีที่เกอซีกล่าวจบ ประกายแสงสีทองที่สะท้อนออกมาจากฟองไข่ใบยักษ์พลันถูกสูบกลับ แสงประกายสีเงินยวงถูกขับออกมาแทนที่ก่อนลำแสงนั้นจะฉวัดเฉวียนไปมาและหยุดลงเบื้องหน้าเกอซี
หญิงสาวจับจ้องแสงสีเงินยวงด้วยสายตาที่ว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง หากแต่ยังมิทันที่นางจะได้เอ่ยถามเจ้าไข่ใบยักษ์ว่าลำแสงนี้คือสิ่งใด ประกายแสงสีเงินยวงพลันขยับขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วพุ่งตรงแทรกเข้าหาร่างของนาง
เกอซีซวนเซถอยหลังไปหลายก้าว หญิงสาวละฝ่ามืออกจากไข่ใบใหญ่เมื่อนางรู้สึกถึงขุมพลังภายในกายที่โคจรพลุ่งพล่านรุนแรง
ผ่านไปหลายช่วงสูดลมหายใจนางจึงรับรู้ได้ว่านางไม่ได้รับความเจ็บปวดหรืออึดอัดแต่ประการใด ขณะเดียวกัน เบื้องหน้าสายตา ร่างที่โปร่งแสงของคนผู้หนึ่งกำลังค่อย ๆ หล่อหลอมก่อเป็นรูปร่างขึ้น
ชายชราในอาภรณ์สีขาวสะอาดตาผู้มีลักษณะดั่งบัณฑิตปรากฏแก่สายตา เส้นผมตลอดไปถึงหนวดและเคราของชายผู้นั้นมีสีเงินยวง มุมปากมีร่องรอยแห่งการแย้มยิ้มที่เปี่ยมไมตรีและเอื้ออารี
ทว่า ! เมื่อเกอซีเห็นชายผู้นี้ความรู้สึกอึดอัดกระสับกระส่ายพลันปะทุโถมไปตลอดทั้วทั้งร่าง แท่งเข็มเงินไร้เงาถูกชักขึ้นในระหว่างนิ้วทั้งห้าด้วยสัญชาตญาณ
แม้ชายชราผู้นี้จะดูไร้พิษภัยอันตรายและมีเมตตา หากแต่ทั่วร่างของเขาปลดปล่อยขุมพลังที่อัดแน่นกระทั่งทำให้นางรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรง คลื่นพลังของชายผู้นี้แข็งแกร่งอย่างหนาแน่นกระทั่งแม้จะคืบคลานยังเป็นไปได้ด้วยความยากลำบากยิ่ง ดวงตาที่ขุ่นมัวของชายชราสงบนิ่งเยือกเย็นอย่างไร้ขอบเขตประดุจหุบเหวลึกที่ไม่อาจหยั่งถึงไม่อาจแลเห็น
“ท่านปู่ซูมี่ !” เจ้าไข่ใบยักษ์ส่งเสียงร้องลั่นด้วยความตื่นเต้นยินดี หากแต่น้ำเสียงยามนี้กลับมิได้เล็ดลอดออกมาจากเปลือกไข่ ทว่ากลับก้องสะท้อนอยู่ในโสตประสาทของเกอซี แท้จริงแล้วลำแสงสีเงินยวงที่เห็นเมื่อครู่นั้นคือสิ่งนี้เอง
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่ดูสิ ท่านผู้นั้นคือท่านปู่ซูมี่ที่ช่วยชีวิตข้าไว้ !”
ทว่าเกอซีหาได้เป็นคนซื่อใสบริสุทธิ์ดั่งเจ้าฟองไข่ยักษ์ สายตาของนางยังคงจับจ้องชายชราผู้ลอยอยู่กลางอากาศอย่างระแวดระวังพลางเอ่ยถามออกไป “ท่านเป็นมนุษย์หรือภูตผี ? พระราชวังซูมี่แห่งนี้คือที่ใดกัน ?” นางเอ่ยคำถามอันโง่เขลาออกไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อมิติเวทซูมี่แห่งนี้หลอมรวมกับนางมาถึงสองชีวิต หากนางยังไม่กระจ่างว่ามันคือสิ่งใด นางคงไม่อาจใช้มันได้อย่างคล่องแคล่ว
ท่านผู้เฒ่าซูมี่หาได้เอ่ยตอบ หากแต่สายตาที่จ้องเขม็งยังเกอซีเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจ สุขสมใจ ฉงนสนเทห์ ผ่อนคลายในใจ เปี่ยมไปด้วยความหวัง อารมณ์ทั้งหมดนี้ฉายผ่านดวงตาคู่นั้นออกมาในแต่ละคราวที่ประกายตาของเขาเปล่งวาบขึ้น
เกอซีไม่อาจทนต่อความบีบคั้นภายใต้สภาวะที่นิ่งสงบเช่นนี้ได้อีกต่อไป หญิงสาวเลือกที่จะสะบัดแท่งเข็มเงินไร้เงาออกไป พร้อมกันนั้นท่านผู้เฒ่าซูมี่เอ่ยปากขึ้นในที่สุด “ข้าเฝ้ารอเมล็ดพันธุ์ซูมี่ในมิติเวทแห่งนี้มานานมากกระทั่งถึงความสิ้นหวัง หากมิคาดฝัน.......มิคาดฝันเลยว่าในที่สุดสิ่งที่ข้ารอคอยก็มาถึง”
ใบหน้าของเขาเต็มตื้นไปด้วยความตื่นเต้นยามเมื่อได้เห็นเกอซี สายตาที่จ้องเขม็งรวมลงบนร่างของหญิงสาวประดุจดั่งนางคือสมบัติล้ำค่าที่แสวงหาได้ยากยิ่ง ประดุจนางคือผู้พิทักษ์ชีวิต “ใช่แล้ว ! ใช่แล้ว ! จิตวิญญาณที่หลอมรวม ข้าไม่คิดฝันเลยว่าจิตวิญญาณจากอีกโลกหนึ่งจะสามารถหลอมรวมได้ผลสัมฤทธิเพียงนี้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า.... วงศ์ตระกูลของเราปลอดภัยยิ่งแล้ว !”
ทันทีที่เกอซีได้ยินคำกล่าว นางรู้สึกหวาดกลัวอย่างไร้สติ เพียงถ้อยประโยคที่กล่าวถึงจิตวิญญาณจากโลกอื่นย่อมชัดเจนยิ่งแล้วว่าท่านผู้เฒ่าซูมี่กระจ่างชัดรู้แจ้งในความเป็นจริงแห่งตัวตนของนาง
สีหน้าของเกอซียามนี้เปี่ยมไปด้วยความตื่นตัวระวังภัยและนั่นทำให้ท่านผู้เฒ่าซูมี่ระงับความตื่นเต้นยินดีและเผยความรู้สึกที่อบอุ่นพร้อมรอยยิ้มรับขึ้น “เด็กดี เจ้าไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว อีกทั้งข้าย่อมไม่อาจมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้าได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ยิ่งเมื่อใดที่เจ้าสามารถทำลายผนึกที่ตรึงไว้ได้ คุณสมบัติทั้งปวงย่อมจะหล่อหลอมรวมกันเข้ากับร่างของเจ้าอย่างไร้ที่ติ”
เกอซีขมวดคิ้วบ่นพึมพำเสียงเบากับตนเอง “ทำลายผนึก ?”
นางไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าด้วยเหตุใด หากแต่สิ่งแรกที่นางหวนรำลึกได้คือ ผู้บุกรุกยามวิกาลในคืนนั้น บุรุษชั่วร้ายผู้นั้นเอ่ยว่า “หากเจ้าคือเศษสวะ เช่นนั้นใต้หล้านี้คงไม่อาจมีผู้เปี่ยมพรสวรรค์”
หรือชายผู้นั้นจะกล่าวได้ถูกต้องว่ามีหนทางทำลายผนึกที่ตรึงไว้ในร่างของนาง ?
เกอซียังคงจ่อมจมอยู่ภายใต้ภวังค์แห่งห้วงคำนึงยามเมื่อนางได้ยินน้ำเสียงของท่านผู้เฒ่าซูมี่ที่เอ่ยกระตุ้นขึ้น “เด็กดี เจ้าจงฟังคำข้า ตัวข้าเหลือเวลาอีกไม่มากนัก”
“เหลือเวลาไม่มาก ?” ยามนี้ความคิดของหญิงสาวแล่นช้าลง นางทวนวาจานั้นอย่างไม่ทันรู้ตัว
***จบตอน พระราชวังซูมี่***