ตอนที่ 27 ชายหญิงอยู่กันตามลำพัง
ตอนที่ 27 ชายหญิงอยู่กันตามลำพัง
ผู้แปล : ThreeSwords
ปรับสำนวน : ThreeSwords
มองไปยังชุดชั้นในซึ่งอยู่ข้างในตะกร้าใบเล็ก เป็นธรรมดาที่ฉินฟางจะจินตนาการว่าเซียวมู่เสวี่ยในเวลานี้ไม่ได้สวมอะไรไว้ใต้ร่มผ้า หนุ่มบริสุทธิ์ที่อยู่ในวัยฉกรรจ์อย่างฉินฟางจึงไม่อาจที่จะระงับความคิดชั่วร้ายที่ผุดขึ้นมาภายในใจไว้ได้
น้ำที่เย็นเฉียบราดรดทั่วร่างกายของฉินฟาง ดูเหมือนว่าเขากำลังจะพยายามใช้น้ำเย็นดับความปรารถนาในใจ ต่อให้ผลลัพธ์ที่ได้เกือบจะเล็กน้อยก็ตาม ช่วงเวลาที่เขาคิดถึงเรือนร่างผอมบางของเซียวมู่เสวี่ย และยอดอกคู่นั้นที่ได้เห็น เขาก็รู้สึกเหมือนกับว่าความคิดอันชั่วร้ายในตัวได้แผ่ขยายขึ้น จนไม่อาจขับไล่มันออกไปจากใจได้
ในสมองของเขา เหมือนกับมีคนสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ คนหนึ่งเรียกว่าความดี ส่วนอีกคนเรียกว่าความชั่ว
ความชั่วกำลังยุยงฉินฟางอย่างต่อเนื่องให้ทำการรวบรัดเซียวมู่เสวี่ยซะ ในขณะที่ความดีนั้นก็คอยเตือนฉินฟางตลอดว่าเขาต้องไม่ฉวยโอกาสกับจุดอ่อนของคนอื่น
ด้วยความคิดสองฝ่ายที่ต่อสู้กัน ก็ยิ่งทำให้ฉินฟางรู้สึกรวนเรมากขึ้น
ขณะที่เวลาผ่านล่วงไปอย่างช้าๆ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็เอาชนะความปรารถนาในใจได้ในท้ายที่สุด ฉินฟางรู้ดีว่าต่อให้ตัวของเขาถูกกระตุ้น เขาก็ไม่มีความกล้าและไม่ได้เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น เพราะถ้าเขาทำอย่างนั้นแล้วมันจะแตกต่างอะไรกับพวกอันธพาลอย่างเหลาซูเฉียงล่ะ?
ตอนที่ฉินฟางกลับไปที่ห้อง เวลาก็ได้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว เพื่อข่มความปรารถนาในใจลง สุภาพบุรุษอย่างเขาต้องสาดน้ำเย็นตลอดครึ่งชั่วโมง
เซียวมู่เสวี่ยในเวลานี้ได้ห่มผ้าคลุมร่างผอมบางของเธอไว้ ดังนั้นฉินฟางจึงไม่สามารถมองเห็นอะไรบนตัวเธอได้อีก และเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งที่ดูเหมือนจะปิดบังอะไรไม่ค่อยได้นั้นเธอก็ยังคงสวมใส่อยู่ นอกจากนี้เธอก็นอนหันหลังให้กับฉินฟาง อีกทั้งดูเหมือนว่าเธอจะหลับไปแล้วและไม่ได้รับรู้ว่าฉินฟางกลับเข้ามา
“เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน…”
ฉินฟางบอกตัวเองให้ทำใจหนักแน่น จากนั้นก็จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ทำการปิดไฟและนอนลงบนฟูกที่ได้จัดเตรียมไว้
ท้องฟ้ายามราตรีเบื้องนอกในเวลานี้ มีดาวต่างๆ กำลังทอประกาย และดวงจันทร์ที่สว่างสดใสซึ่งได้เคลื่อนไปอยู่กลางท้องฟ้าเป็นเวลานานแล้ว อย่างไรก็ตาม ณ สถานที่แห่งนี้ก็ยังมีมุมที่แสงจันทร์จะฉายผ่านหน้าต่างบานเล็กเข้ามาในห้องของฉินฟางให้เขาได้ชื่นชน
บนเตียงข้างๆ เขามีสาวสวยนอนอยู่ นี่เป็นประสบการณ์ที่ฉินฟางไม่เคยประสบมาก่อนตลอดอายุสิบแปดปี และความรู้สึกของเขาในเวลานี้ก็สับสนเป็นอย่างมาก ตอนที่มองไปยังท้องฟ้านอกหน้าต่างจึงค่อนข้างใจลอย
เห็นได้ชัดว่าเขานอนไม่หลับ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้มันกระทันหันและไม่ธรรมดาเกินไป ถึงแม้ว่าฉินฟางได้เตรียมตัวเตรียมใจมาแล้ว แต่เขายังไม่สามารถยอมรับมันได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ และทำได้เพียงจัดระเบียบความคิดของเขาไปทีละนิด
อีกอย่างหนึ่งก็คือการปรากฏตัวของเซียวมู่เสวี่ย ผู้ซึ่งทำให้ฉินฟางไม่รู้ว่าควรจะปฏิบัติต่อเธอยังไง ปกติแล้วเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้หญิงโดยส่วนใหญ่นับครั้งได้ มีเพียงถังเฟยเฟยที่เขาใกล้ชิดมากกว่าปกติเพราะได้เปิดร้านขายบะหมี่ร่วมกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับถังเฟยเฟยซึ่งเป็นหญิงสาวที่กระตือรือล้นและน่ารักแล้ว เซียวมู่เสวี่ยดูจะเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนและสงบเสงี่ยมแทน พวกเธอทั้งคู่เป็นหญิงสาวที่มีบุคลิกภาพแตกต่างกัน และทั้งคู่ต่างสร้างความประทับใจที่ล้ำลึกให้กับฉินฟาง
คืนนี้มันยากที่หลับตาลงนอนได้จริงๆ
แต่นอกจากฉินฟาง เซียวมู่เสวี่ยซึ่งนอนหันหน้าเข้ากับกำแพงก็ประสบกับเรื่องร้ายเช่นเดียวกัน แล้วตัวเธอจะหลับตาลงไปได้อย่างไร?
เธอเป็นเพียงหญิงสาวที่ธรรมดามากๆ และพักอาศัยอยู่กับญาติของเธอจนเมื่อก่อนหน้านี้ เธอไม่คิดว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน ญาติเพียงคนเดียวที่พึ่งพาได้ในเมืองแห่งนี้คือลุงของเธอ แต่เขาก็ทอดทิ้งเธอไปทั้งที่รู้ดีว่าเธอจะโดนอันธพาลสามคนนั่นทำมิดีมิร้าย ท้ายที่สุดก็ไม่แม้แต่จะส่งคนหรือกลับมาช่วยเหลือเธอ
จากวินาทีนั้นเซียวมู่เสวี่ยก็ตัดสินใจที่จะออกมาจากบ้านญาติซึ่งนำความเศร้าเสียใจมาให้กับเธอ และเนื่องจากไม่ได้สนิทกับลุงเธอตั้งแต่แรก เธอจึงไม่คิดที่จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป
การขอร้องฉินฟางให้เธอไปอยู่ด้วยนั้นจริงๆ แล้วเสี่ยงมาก แต่เธอก็ทำมันโดยรับรู้ถึงความเสี่ยงนั้นอย่างเต็มที่ เพราะฉินฟางสมัครใจช่วยเหลือเธอ ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ว่าตัวเองเสียเปรียบพวกอันธพาลสามคนนั่น ซึ่งนี่แสดงให้เห็นถึงตัวตนของฉินฟางอย่างแท้จริง
เธอเป็นหญิงสาวธรรมดาทั่วไปที่เคยวาดฝันเอาไว้เช่นกัน เธอฝันว่าวันหนึ่งจะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเมื่อเธอประสบปัญหา
แม้ว่าวิธีที่ฉินฟางช่วยเธอนั้นจะห่างไกลจากที่เธอวาดฝันไว้ แต่ภาพที่เขาถือก้อนอิฐเข้ามาช่วยเหลือเธอโดยไม่มีความเกรงกลัวนั้นได้สร้างความประทับใจให้กับเซียวมู่เสวี่ยอย่างล้ำลึก เธอเชื่อว่าตัวเองจะไม่มีทางลืมภาพนั้นตลอดชีวิต
“ฉินฟาง นายหลับไปหรือยัง?”
หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก เซียวมู่เสวี่ยก็ยังไม่สามารถหลับลงได้ ตอนที่เธอทำการเคลื่อนไหวตัวเล็กน้อยก็เห็นฉินฟางนอนขยับตัวไปมาด้วยความช่วยเหลือของแสงจันทร์ พอเห็นอย่างนั้นแล้วเธอจึงไม่สามารถหักห้ามความต้องการที่จะเอ่ยปากถามฉินฟางถ้าเขายังตื่นอยู่
“ยังไม่หลับ...”
ฉินฟางเงียบอยู่สักพัก ก่อนที่จะตอบกลับไปในท้ายที่สุด
“ฉันนอนไม่หลับ... พวกเราคุยกันได้ไหม?”
เซียวมู่เสวี่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ได้สิ เธออยากคุยเรื่องอะไรล่ะ?”
“แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับนาย! ฉันรู้ว่านายแข็งแรงมาก สามารถเอาชนะคนสามคนเพียงลำพัง แถมยังรู้วิธีทำเส้นบะหมี่ด้วย...”
เซียวมู่เสวี่ยพูดอย่างเบิกบานใจ
“ผมทำบะหมี่ขายเพราะความจำเป็นน่ะ ครอบครัวของผมยากจนมาก ผมไม่ต้องการให้แม่ตรากตรำทำงานหนักเกินไป ก็เลยมาที่เมืองหนิงไห่เพื่อหางานทำ แต่ใครจะรู้ว่า...”
ฉินฟางเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับหลี่เฟิง
“โชคดีที่ชีวิตมักจะมีความหวังเสมอ เนื่องจากผมมีความชำนาญเฉพาะ ถึงแม้ว่าการเปิดร้านค้าแผงลอยจะค่อนข้างเหนื่อย แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็เป็นชิ้นเป็นอัน”
“น่าอิจฉาจัง”
เซียวมู่เสวี่ยยิ้ม ถึงภายในห้องจะค่อนข้างมาก แต่ฉินฟางก็ยังสามารถนึกภาพสีหน้าของเธอในเวลานี้ได้
“โอ้ ใช่แล้ว! บาดแผลของนาย...”
จู่ๆ เซียวมู่เสวี่ยก็จำได้ว่าก่อนหน้านี้ฉินฟางถูกแทงที่เอว และยังไม่ได้ไปโรงพยาบาลเพื่อทำการรักษา ซึ่งมันเป็นการกระทำที่อันตรายมาก เพราะถ้ารักษาไม่ทันท่วงทีก็อาจมีผลกระทบในภายหลังได้
“ไม่มีปัญหา ร่างกายของผมแตกต่างจากคนอื่น ตราบเท่าที่ไม่ได้แทงผมตายในทันทีแล้ว ไม่ว่าบาดแผลจะหนักขนาดไหน มันก็จะค่อยๆ ฟื้นกลับคืนมา ไม่ต้องกังวล!”
ฉินฟางพูดยิ้มๆ ถึงแม้ว่าจะยังมีรอยแผลอยู่ แต่ความเจ็บปวดได้หายไปนานแล้ว เลือดก็หยุดไหลอย่างสมบูรณ์เช่นกัน ตอนนี้บาดแผลกำลังสมานกันอย่างช้าๆ บางทีตอนที่เขาตื่นขึ้นมาเช้าพรุ่งนี้ก็อาจไม่พบร่องรอยของแผลอีกเลย
“ขอโทษจริงๆ ค่ะ มันเป็นเพราะฉันที่ลากนายเข้ามาพัวพันกับเรื่องวุ่นวายนี่”
เสียงของเซียวมู่เสวี่ยเบามากๆ และเธอก็อยู่ในอารมณ์ที่เศร้าสร้อยด้วย ฉินฟางเดาว่าเธอต้องนึกถึงคนอ้วนเฉินที่ทอดทิ้งเธอไป...
“อย่าไปคิดถึงมันเลย มีใครบ้างที่ไม่เคยประสบกับความยากลำบากมาก่อน? เวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น...”
“ขอบคุณค่ะ”
“ขอบคุณผมเรื่องอะไรกันล่ะ? มาคุยเกี่ยวกับเรื่องของเธอบ้าง เธอดูไม่เหมือนคนในพื้นที่ของเมืองหนิงไห่...”
ฉินฟางพูดอย่างร่าเริง
“นายเดาแม่นมาก! ฉันเป็นคนซูโจวและมาที่นี่ด้วยเหตุผลเดียวกับนาย ฉันกำลังจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยหนิงไห่ ที่บ้านเกิดของฉันเหลือเพียงปู่กับย่า เพื่อให้แน่ใจว่าฉันจะได้เรียนในสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย พวกท่านเลยย้ายเข้าไปอยู่บ้านพักคนชราด้วยความยินยอมพร้อมใจ ดังนั้นฉันจึงจำเป็นต้องมายังเมืองหนิงไห่โดยไม่มีทางเลือก ตอนแรกฉันมีแผนที่จะทำงานในร้านของลุง แต่...”
เซียวมู่เสวี่ยพูดเกี่ยวกับครอบครัวของเธอโดยสังเขป สถานการณ์การเงินของเธอเป็นเหมือนกับของฉินฟาง แต่อย่างน้อยฉินฟางก็ยังมีแม่ ขณะที่พ่อแม่ของเซียวมู่เสวี่ยเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ ถ้าไม่เป็นเพราะเงินประกันที่ได้รับนั้นค่อนข้างมาก เซียวมู่เสวี่ยก็อาจจะต้องเลิกเรียนและแต่งงานกับใครสักคนไปแล้ว
“ไม่ต้องคิดมากนะ สักวันหนึ่งเรื่องเลวร้ายพวกนั้นก็จะสิ้นสุดลง...”
ฉินฟางพูดอย่างแผ่วเบา เซียวมู่เสวี่ยเป็นคนอ่อนโยนและสงบเสงี่ยม อีกทั้งไม่ใช่คนที่ชอบพูดคุยอีกด้วย แต่เธอก็มีบุคลิกที่ร่าเริง อย่างน้อยในขณะที่ฉินฟางยังคงจมปลักกับความจริงที่ว่าตัวเขาไม่เคยเจอหน้าพ่อสักครั้ง เซียวมู่เสวี่ยสามารถก้าวผ่านความเจ็บปวดของการสูญเสียพ่อแม่ในคราวเดียวไปได้ ตอนนี้เธอจึงทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการใช้ชีวิต
“เรื่องที่ฉันขอร้องนายก่อนหน้านี้ นายตกลงไหม?”
เซียวมู่เสวี่ยนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ถามฉินฟางด้วยเสียงเล็กๆ ของเธอ
“ขอร้องเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
ฉินฟางคิดย้อนกลับไปเล็กน้อย แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเธอได้พูดขอร้องเรื่องอะไรไว้
“ก็เรื่องที่ฉันจะไปทำงานร้านนายไง! ขอแค่มีที่พักกับอาหารให้ ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าจ้างให้ฉัน...”
เซียวมู่เสวี่ยรีบพูด แสดงให้เห็นว่าเธอนั้นเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขนาดไหน
“เรื่องนี้... ผมรู้สึกไม่สะดวกใจจริงๆ ร้านของลุงเธอตั้งอยู่ข้างๆ ร้านผมน่ะ”
ฉินฟางพูดด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก โชคยังดีที่แสงในห้องนั้นสลัว เซียวมู่เสวี่ยจึงไม่สังเกตเห็นสีหน้าของเขา
“ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนั้น ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไป...”
แม้ว่าเซียวมู่เสวี่ยจะเป็นคนอ่อนโยนและอดทนอดกลั้น แต่เธอก็ยังเป็นคนที่ใจเด็ดอีกด้วย เธอประกาศว่าความสัมพันธ์ของเธอกับลุงเธอนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว เพราะสิ่งที่คนอ้วนเฉินปฏิเสธได้ทำร้ายจิตใจเธออย่างสาหัส ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องมีมารยาทกับเขาอีกต่อไป
“ก็ได้... พวกเรามาลองกันดู”
ฉินฟางคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และเห็นด้วยในท้ายที่สุด เพราะเขาจำเป็นต้องได้ผู้ช่วยเพิ่ม อีกทั้งคนอ้วนเฉินกับเขาในเวลานี้ก็ได้กลายเป็นศัตรูกันแล้ว ตั้งแต่ที่คนอ้วนเฉินได้พยายามทำลายร้านของเขา จึงเป็นธรรมดาที่ฉินฟางจะไม่แสดงความเมตตาสงสาร
ในเมื่อพวกเขาถูกกำหนดให้ต้องต่อสู้กันแล้ว ทำไมถึงไม่โจมตีให้หนักข้อขึ้นล่ะ?
การให้เซียวมู่เสวี่ยมาช่วยงานที่ร้านของเขา ต่อให้เธอไม่สามารถช่วยงานอะไรได้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คนอ้วนเฉินรู้สึกผิดและละอายอย่างหนักกับความจริงที่เขาทำกับเธอ นอกจากนี้เซียวมู่เสวี่ยเป็นคนที่สวยมาก ซึ่งน่าจะช่วยเรียกลูกค้ามาเข้าร้านเพิ่มได้
……………………………..