ตอนที่ 15 ศัตรูมักจะเดินบนหนทางที่คับแคบ
ตอนที่ 15 ศัตรูมักจะเดินบนหนทางที่คับแคบ
ผู้แปล : ThreeSwords
ปรับสำนวน : ThreeSwords
ฉินฟางยังคงพูดคุยกับลุงฟางเกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระ แต่ความสนใจของเขาก็ไม่เบี่ยงไปจากคนอ้วนเฉินเลย
อาจเป็นเพราะเขารู้สึกสำนึกผิดหรือที่ฉินฟางกำลังนั่งอยู่นั้นสร้างแรงกดดันจำนวนมาก จนคนอ้วนเฉินไม่สามารถทำธุรกิจได้อย่างสบายใจ ดังนั้นเมื่อการค้าขายเริ่มซบเซาคนอ้วนเฉินจึงเก็บร้านในทันทีและรีบร้อนเดินทางกลับบ้าน
“ลุงฟาง ขอเกี๊ยวซ่าสองชุดครับ ผมจะกลับเอาไปทานที่บ้าน”
พอเห็นว่าคนอ้วนเฉินปิดร้านและเตรียมที่จะกลับบ้าน ฉินฟางที่นั่งมาอยู่สักพักแล้วก็สั่งเกี๊ยวซ่าสองชุดจากลุงฟางพร้อมกับยิ้มให้ หลังจากที่เขาจ่ายเงินก็หยิบถุงใส่เกี๊ยวซ่ามาไว้ในมือและหันหลังจากไป และทิศทางที่เขาเดินไปนั้นก็เหมือนกับว่ากำลังจะกลับไปที่บ้านจริงๆ
อย่างไรก็ตามหลังจากเคลื่อนตัวผ่านกลุ่มคนไปแล้ว ฉินฟางก็เปลี่ยนทิศทางที่เขาเดินอีกครั้งหนึ่งเพื่อตรงไปยังบ้านของคนอ้วนเฉิน ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ไล่คนอ้วนเฉินทัน
ถึงแม้ว่าเมืองหนิงไห่จะเป็นเมืองใหญ่และเจริญรุ่งเรือง แต่พื้นที่รอบมหาวิทยาลัยก็ยังมีสถานที่ซึ่งยังเปลี่ยวพอสมควร นอกจากนี้ก็อยู่ในระหว่างวันหยุดภาคเรียนฤดูร้อนทำให้มีนักเรียนอาศัยอยู่ที่หอพักไม่มากนัก มิหนำซ้ำตอนนี้ก็ดึกมากแล้วจนคนที่กำลังเดินอยู่บนถนนมีเพียงสองสามคน ที่ซึ่งออกมากลางดึกก็เพราะต้องการเดินเล่นในบริเวณใกล้บ้าน ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าการกระทำของฉินฟางน่าสงสัยและคิดว่าเขาก็ออกมาเดินเล่นด้วยเช่นกัน
ตรงกันข้ามคนอ้วนเฉินกลับมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยเป็นอย่างมาก ตอนที่กำลังเดินเขาก็จะหันกลับมามองข้างหลังเป็นบางครั้ง และมีลักษณะของการระแวดระวังฉาบอยู่บนใบหน้าของเขา
ตามปกติแล้วฉินฟางกับคนอ้วนเฉินไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรมากนักดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สนิทกัน ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาขายของอย่างเดียวกันก็นับได้ว่าเป็นคู่แข่งกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนอ้วนเฉินแสดงความเกลียดชังโดยการให้พวกอันธพาลไปสร้างความวุ่นวายที่ร้านของฉินฟาง อย่างไรก็ตามผู้คนก็รู้ว่าคนอ้วนเฉินค่อนข้างที่จะหยิ่งและดูถูกคนอื่นเพราะถือว่าอาวุโสมากกว่า ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีระแวดระวังของคนอ้วนเฉินที่แสดงในตอนนี้แล้วก็เป็นอะไรที่ต่างไปจากตัวตนโดยทั่วไปของเขา
และถ้าพฤติกรรมที่เขาแสดงออกซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นนี้เป็นผลอันเนื่องมาจากการปรากฏตัวของฉินฟางเมื่อสักครู่ที่ผ่านมาแล้วล่ะก็ โดยที่ไม่ต้องพูดอะไรผู้คนก็จะสามารถรับรู้ได้ว่าเขากระทำความผิดมา
ในช่วงตอนกลางคืนของฤดูร้อนมีบางครั้งที่ลมเย็นพัดผ่านมาจนทำให้เนื้อตัวรู้สึกสบาย และบนท้องฟ้านั้นก็มีดวงดาวส่องแสงระยิบระยับกับดวงจันทร์ที่ลอยเฉิดฉายยามราตรี มันเป็นคืนที่สภาพอากาศดี
ท่าทางการเดินของฉินฟางดูผ่อนคลายและในมือของเขาก็มีเกี๊ยวซ่าที่สั่งใส่ถุงเพื่อนำกลับไป ซึ่งตอนนี้มันก็ได้เย็นลงอย่างช้าๆ แล้วดังนั้นการที่จะรับประทานมันเข้าไปย่อมไม่ลวกลิ้นอย่างแน่นอน
ในทางตรงกันข้ามท่าทางการเดินของคนอ้วนเฉินดูไม่ผ่อนคลายเลย ด้วยใบหน้าที่ดูเหมือนคนทำอะไรผิดมาสักอย่างจนกลายเป็นระวังว่าจะถูกใครพบเห็น นอกจากนี้ยังเลือกถนนที่สามารถหลบเลี่ยงผู้คนหรือมีไฟสว่างสลัวๆ ถ้าฉินฟางไม่ได้ทำการติดตามอย่างระมัดระวังแล้วคนอ้วนเฉินก็คงหายลับไปจากสายตาของเขา
โดยที่ยังไม่ทันได้ตระหนักฉินฟางก็เดินตามเงาของคนอ้วนเฉินมากว่ายี่สิบนาทีแล้วแต่เขาก็ยังไม่กลับถึงบ้าน และเมื่อฉินฟางมองไปรอบๆ ก็พบว่าพวกเขาอยู่ในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยจนเกือบจะถึงตึกเรียนอยู่แล้ว มันเป็นสถานศึกษาที่ฉินฟางกำลังไปในเร็วๆ นี้ มหาวิทยาลัยหนิงไห่
ขณะที่ฉินฟางกำลังงุนงงกับการกระทำของคนอ้วนเฉิน ทันใดนั้นคนอ้วนเฉินก็เดินเข้าไปในตรอกที่อยู่ข้างมหาวิทยาลัยหนิงไห่
ตรอกนี้แคบมากและแทบจะเดินเข้าไปได้ทีละคน ถ้าเป็นรถมอเตอร์ไซด์หรือสกู๊ตเตอร์แล้วก็อาจจะเบียดผ่านเข้าไปได้ แต่ถ้าเป็นรถยนต์แน่นอนว่าไม่สามารถเข้าไปได้เลย
ตรอกนี้ค่อนข้างที่จะเปลี่ยวด้วยเช่นกัน และไม่มีหลอดไฟติดตั้งอยู่บนถนนสายหลัก มีเพียงแสงไฟเล็กน้อยตรงบริเวณทางเข้ากับโคมไฟสลัวๆ บนกำแพงที่กำลังส่องลงมาบนสถานที่แห่งนี้เท่านั้น
พูดง่ายๆ ว่าบนถนนส่วนใหญ่ของตรอกนี้เป็นแค่ทางเดินที่ไม่มีแสงไฟใดๆ เลย
พอเห็นคนอ้วนเฉินเดินเข้าไปตรอกนี้แล้ว ฉินฟางก็เตรียมจะตามเข้าไปด้วยเช่นกัน ขณะที่เขามองไปยังซอยนี้ก็พบว่ามันมืดเล็กน้อยและไม่มีผู้คน ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการดักทำร้าย
“คนอ้วนเฉินวางแผนที่จะมาที่นี่หรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญกันนะ? มาในสถานที่แบบนี้เหมือนกับจะบอกผมว่าช่วยกรุณาทำร้ายฉันด้วยนะ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะมั้ง?”
ฉินฟางอดไม่ได้ที่จะคิดอย่างนั้นในใจ หลังจากที่เพ่งความสนใจอยู่สักพักเขาก็แบมือออก อิฐธรรมดาหนึ่งก้อนที่มาจากไหนไม่รู้ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา ซึ่งสิ่งที่ฉินฟางต้องการจากมันก็คือ ‘พลังโจมตี +1 กับมีโอกาสมากขึ้นที่จะติดสถานะ [มึนงง]’
หลังจากที่ฉินฟางวางแผนการลงมือของเขาเสร็จสิ้นก็เดินหน้าเข้าไปในตรอก แต่ในความเป็นจริงแล้วช่วงเวลาวิกฤตบ่อยครั้งก็มักจะหักมุมและพลิกผัน
ขณะที่ฉินฟางกำลังฉวยโอกาสนี้ทำการสั่งสอนคนอ้วนเฉินเพื่อให้เขาคิดให้ดีเกี่ยวกับการเล็งเป้ามาที่ฉินฟางอีกครั้ง จากในความมืดก็มีผู้คนสองสามคนออกมาปิดกั้นทางเดินของคนอ้วนเฉินไว้
คนอ้วนเฉินในเวลานี้ก็ระมัดระวังมากอยู่แล้วราวกับกลัวว่าจะเผชิญหน้ากับใครบางคน ช่วงเวลาที่เห็นคนมาปิดกั้นทางเดิน โดยที่ไม่ทันได้ทราบแน่ชัดว่าพวกนั้นเป็นใครเขาก็หันหลังและวิ่งกลับไปยังทางที่เดินมาตามสัญชาตญาณ
“ห่าเอ๊ย! ไล่จับมันไว้!”
คนเหล่านั้นที่มาปิดกั้นทางเดินไม่ได้คาดคิดว่าคนอ้วนเฉินจะหนีได้เร็วมากขนาดนี้ด้วยเช่นกัน ไม่ทันได้ให้โอกาสพวกนั้นเอ่ยปากพูดสักคำคนอ้วนเฉินก็วิ่งจากไปแล้ว ผู้ที่เป็นหัวหน้าของพวกที่มาปิดกั้นถนนก็ก่นด่าเสียงดังในทันทีและสั่งให้คนของมันไล่ตามไป
พอเห็นภาพดังกล่าวฉินฟางก็สะดุ้งตกใจเช่นกัน แต่เขาจงใจที่จะไม่เข้าไปข้องแวะกับสถานการณ์ที่วุ่นวาย ดังนั้นจึงยกเลิกการเข้าไปในตรอกโดยทันที จากนั้นก็เดินไปยังถนนฝั่งตรงข้าม นั่งลงพร้อมกับเฝ้ารอดูโชว์
แม้ว่าคนอ้วนเฉินจะออกวิ่งเป็นคนแรกแต่เพราะอายุไม่ได้อยู่ในวัยหนุ่มแล้ว ประกอบกับความจริงที่ว่าเขาอ้วนเกินไป ถึงจะได้เปรียบในตอนเริ่มต้นแต่เขาก็ไม่สามารถวิ่งนำได้นานและกระทั่งสุดท้ายก็หอบอย่างหนัก จนเจ้าลูกสมุนทั้งสองคนนั่นก็สามารถไล่จับเขาได้อย่างง่ายดายหลังจากที่ใช้ความพยายามมากขึ้น
“ไอ้หยา~”
เจ้าลูกสมุนสองคนนั่นไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะไม่มีมารยาทกับเขาแน่ และช่วงเวลาที่ไล่จับเขาได้นั้นพวกมันก็เตะคนอ้วนเฉินอย่างแรงคนละที ลูกเตะทั้งสองเรียกเสียงครวญครางจากคนอ้วนเฉินและร่างที่อ้วนเกินไปของเขาก็ล้มลงกับพื้น บนใบหน้านั้นแสดงสีหน้าที่ตื่นกลัวอย่างที่สุดจนเห็นได้ชัด
ในเวลานี้หัวหน้าของกลุ่มคนที่ขวางคนอ้วนเฉินก็ไล่ตามมาทันด้วยเช่นกัน และถึงแม้ว่ามันกำลังหอบแต่ก็มีสภาพดีกว่าคนอ้วนเฉินมาก พอเห็นคนอ้วนเฉินนั่งอยู่กับพื้นพร้อมกับหายใจถี่รัว ชายที่เป็นหัวหน้าก็เดือดดาลและเตะท้องที่อวบอ้วนของคนอ้วนเฉินอย่างรุนแรง
การเตะในรอบนี้ไร้ความปรานีมากกว่าสองครั้งแรก จนคนอ้วนเฉินไม่สามารถแม้แต่จะคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดตอนที่ถูกเตะ ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือตัวสั่นด้วยความกลัวพร้อมกับเอามือกุมไปที่ท้องและตัวของเขาก็เริ่มที่จะชักกระตุก
“เจ้าของร้านเฉิน อย่าพยายามเล่นลูกไม้กับกู...”
หลังจากที่ทำการเตะคนอ้วนเฉินความโกรธของมันก็ดูเหมือนจะค่อยๆ ลดลง จากนั้นมันก็นั่งชันเข่าและทำการดึงคอเสื้อของคนอ้วนเฉินเพื่อที่จะพยายามยกตัวของเขาขึ้น แต่ถ้าไม่เพราะคนอ้วนเฉินอ้วนเกินไปก็เป็นเพราะชายที่เป็นหัวหน้านั้นผอมแห้งแรงน้อย การยกตัวคนอ้วนเฉินขึ้นจึงเป็นการกระทำที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากโดยไม่คาดฝัน
แต่เพื่อเป้าหมายในการแสดงความเท่ห์ของมันต่อหน้าลูกสมุน มันจึงยังข่มขู่คนอ้วนเฉินด้วยวิธีการที่รุนแรง ใบหน้าของมันก็ดูรุนแรงมากขึ้นด้วยเช่นกัน และนั่นสร้างความตื่นตระหนกกับคนอ้วนเฉินซึ่งรู้ว่าไม่มีทางที่เขาจะรักษาการแสดงนี้ได้อีกต่อไป เขาจึงรีบหันหน้าไปหาชายที่เป็นหัวหน้าพร้อมกับส่ายหัว
“เหลา... เหลาเกอ!”
คนอ้วนเฉินพูดด้วยท่าทางหวาดกลัว
เนื่องจากทัศนวิสัยไม่ดีและระยะทางอยู่ไกล เพียงแต่เมื่อคนอ้วนเฉินเรียกชื่อชายที่เป็นหัวหน้าและไฟบนถนนส่องผ่านมาที่มันก็ทำให้ฉินฟางตระหนักได้ว่าชายคนนั้นเหมือนกับเหลาซูเฉียงที่ฉินฟางเพิ่งจะทำการอัดไปไม่นานมานี้มากๆ
“โลกนี้มันช่างแคบจริงๆ...”
พอมองไปยังลูกสมุนทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างเหลาซูเฉียง พวกมันดูต่างไปจากตอนที่สร้างความวุ่นวายก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามเหลาซูเฉียงก็ยังคงดูเป็นตัวเองตามปกติของมัน ซึ่งฉินฟางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ
ฉินฟางจริงๆ แล้วไม่คิดว่าพวกนั้นจะมีเป้าหมายเดียวกัน ทั้งๆ ที่เพิ่งจะต่อสู้กันมาสองถึงสามชั่วโมงที่แล้ว และเป้าหมายที่เหมือนกันนั้นก็คือการ ‘ดูแลเอาใจใส่’ คนอ้วนเฉิน
แต่พอมองไปยังสถานการณ์ในตอนนี้ก็อาจจะไม่จำเป็นที่ฉินฟางต้องลงมือด้วยตัวเอง วิธีการของเหลาซูเฉียงเห็นได้ชัดว่าโหดเหี้ยมมากกว่าวิธีการของเขา และนี่ช่วยให้เขาขับไล่ความคับข้องภายในใจได้ดีกว่า นอกจากนี้เขาก็ไม่จำเป็นต้องทำให้มือของตัวเองสกปรกอีกแล้ว ซึ่งมันคือการปาหินก้อนเดียวได้นกสองตัว ท้ายที่สุดทั้งหมดที่เขาต้องทำก็เพียงแค่นั่งลงและเพลิดเพลินกับการแสดง
…………………………