ตอนที่ 07 รีดไถเงิน
ตอนที่ 07 รีดไถเงิน
ผู้แปล : ThreeSwords
ปรับสำนวน : ThreeSwords
“เงินพวกนี้หมายความว่าอะไร ฉินฟาง?”
ขณะที่ถังเฟยเฟยกำลังดีใจกับฉินฟาง แต่เมื่อเห็นเขาแบ่งเงินใบหน้าอันสวยงามของเธอก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง เธอตั้งคำถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“ถังเฟยเฟย ถ้าไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของเธอแล้ว ผมน่าจะไม่สามารถตั้งร้านขายบะหมี่นี้ขึ้นมาได้ แถมยังมาช่วยผมทำงานตลอดทั้งบ่าย ดังนั้นเงินพวกนี้เป็นสิ่งที่เธอสมควรได้รับ”
ใบหน้าของฉินฟางสงบนิ่งเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะเกิดในครอบครัวที่ยากจนแต่ก็ไม่ลดตัวลงไปเอาเปรียบคนอื่น ร้านขายบะหมี่นี้สามารถพูดได้ว่าทั้งฉินฟางและถังเฟยเฟยเป็นคนเริ่มสร้างมาด้วยกัน เพราะฉะนั้นการแบ่งรายได้จึงเป็นเรื่องธรรมดา
“ฉินฟาง นาย...”
หลังจากได้ยินคำพูดของฉินฟางแล้ว สีหน้าของถังเฟยเฟยก็มีความรู้สึกที่สั่นไหวขึ้นมาวูบหนึ่ง ทำให้ผู้คนสามารถรับรู้ได้อย่างลางๆ ว่าเธอกำลังเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นเนื่องจากความโกรธ แต่พอมองไปยังดวงตาที่กระจ่างใสของฉินฟางและใบหน้าที่จริงใจของเขาแล้ว เธอก็อดกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดนั้นเอาไว้
“ฉันจะรับเงินนี้ไว้แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ ร้านขายบะหมี่เพิ่งจะเริ่มเปิดจึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จำเป็นต้องใช้เงิน นายเก็บเงินพวกนี้ไว้ก่อนและทำเหมือนว่าฉันกำลังลงทุนให้กับร้านนี้ อย่างน้อยก็จนกระทั่งการค้าเริ่มอยู่ตัวก่อนที่จะทำการแบ่งผลกำไร”
“ก็ได้...”
สิ่งที่ถังเฟยเฟยพูดมันยากที่ฉินฟางจะหาเหตุผลมาปฏิเสธข้อเสนอของเธอ อุปกรณ์ที่ร้านใช้อยู่ในตอนนี้ล้วนหยิบยืมมา ถ้าเอามาใช้วันสองวันหรือกระทั่งสามถึงห้าวันแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ในกรณีเจ้าของเดิมต้องการจะใช้งานพวกมันแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้สำหรับฉินฟางที่จะไม่ส่งคืน และในท้ายที่สุดนั่นอาจจะหมายถึงการปิดตัวลงร้านขายบะหมี่ ซึ่งเห็นได้ชัดว่านั่นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ฉินฟางหวังไว้
จากแนวโน้มการขายที่แสดงให้เห็นในวันแรก ยอดขายยังถือว่าไม่เลว ตราบเท่าที่เขามุ่งมั่นทำงานแล้ว ก่อนที่มหาวิทยาลัยจะเปิดเรียนฉินฟางมั่นใจว่าสามารถหาเงินได้มากพอจ่ายค่าเล่าเรียน และกระทั่งมีเหลือไว้ให้แม่ของเขาด้วย
ดังนั้นการตั้งร้านขายบะหมี่จึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตประจำวันที่สำคัญของฉินฟางกับถังเฟยเฟย ฉินฟางทำเพราะต้องการเงิน ขณะที่ถังเฟยเฟยบอกพ่อแม่ของเธอว่าต้องการทำงานเพื่อหาเงินพร้อมกับได้รับประสบการณ์ทำงานควบคู่ไปด้วย เพราะในไม่ช้านี้เธอกำลังจะไปเข้าเรียนหลักสูตรการจัดการที่มหาวิทยาลัยหนิงไห่ ทำให้เหตุผลที่เธอยกมาฟังขึ้นเป็นอย่างมาก
หลังจากเขาตั้งรกรากอยู่ที่แห่งนี้ การค้าของฉินฟางก็ดีวันดีคืน และเมื่อฉินฟางกับถังเฟยเฟยทำงานยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ผลกำไรที่ได้ในแต่ละวันย่อมเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา จากกำไรวันละ 400 หยวนในตอนเริ่มต้นก็ค่อยๆ เพิ่มเป็น 600 หยวน และบางครั้งก็สูงมากกว่านั้น รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของคนทั้งสองจึงเริ่มที่จะสดใสมากขึ้นทีละน้อย
ถ้าแนวโน้มยอดขายยังเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่เพียงฉินฟางจะสามารถจ่ายเงินค่าเล่าเรียนของเขาได้ กระทั่งตัวของถังเฟยเฟยเองก็ไม่จำเป็นต้องให้ครอบครัวเธอจ่ายให้ด้วย สำหรับคนทั้งสองที่ยังไม่ได้เข้ามาในสังคมการทำงานแล้ว นี่คือความสำเร็จที่คุ้มค่าต่อการเฉลิมฉลอง
ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองก็กลายมาเป็นใกล้ชิดกันมากขึ้นเนื่องจากความร่วมมือในครั้งนี้ ลูกค้าประจำที่อยู่ใกล้ตลาดทางด้านประตูทิศใต้ชอบพูดหยอกล้อพวกเขา และมักจะบอกเสมอว่าที่ฉินฟางได้แฟนสาวที่สวยงามและขยันทำงานเช่นนี้เป็นผลมาจากการทำงานหนักของเขาในชาติที่แล้ว
ตอนแรกฉินฟางกับถังเฟยเฟยจะพูดอธิบายด้วยใบหน้าที่แดงสดใสว่าพวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่หลังจากจำนวนคนและความถี่ในการพูดหยอกล้อเช่นนี้เพิ่มขึ้น พวกเขาก็กลับกลายเป็นคุ้นเคยกับคำพูดพวกนี้ไป ตอนนี้เมื่อถูกพูดหยอกล้อพวกเขาก็จะทำเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้พูดอธิบายอะไรอีก
ดังนั้นด้วยข่าวลือที่แพร่กระจายไปโดยลูกค้าทั้งหลาย ฉินฟางกับถังเฟยเฟยจึงกลายเป็นคู่รักทำเส้นบะหมี่
ธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงจึงเป็นธรรมดาที่จะถูกผู้คนอิจฉา ดังนั้นภายในหนึ่งสัปดาห์ที่ฉินฟางทำการเปิดร้าน พื้นที่รอบบริเวณร้านซึ่งถือว่าไม่ใหญ่มากนักก็มีแผงลอยขายของว่างหลายร้านเริ่มเปิดขึ้นมา และตั้งเป็นตลาดของว่างเล็กๆ อยู่รอบร้านของฉินฟาง
แต่นี่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผงขายบะหมี่ของฉินฟางมากนัก อาจเป็นเพราะเหตุที่ว่าราเม็งของเขาอร่อยมากขึ้นเรื่อยๆ จึงยังทำให้ขายดีอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าการค้าของแผงขายของว่างอื่นจะไม่เลวแต่เมื่อเปรียบเทียบกับของฉินฟางแล้วก็ด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
“เฮ้ย... เจ้าของร้าน! ทำไมถึงมีแมลงอยู่ในชาม?”
“ใช่แล้ว! ตัวใหญ่ซะด้วย...”
“แกหวังจะให้พวกข้ากินบะหมี่ชามนี้ต่อไปยังไง?”
ในคืนนี้ฉินฟางกับถังเฟยเฟยยุ่งจนหัวหมุน อาจเป็นเพราะการค้าในคืนนี้ดีเกินไป กระทั่งฟ่านเจี่ยเจียที่ชอบมากินฟรีที่ร้านของฉินฟางก็ยังเริ่มเข้ามาช่วยในร้านอย่างน่าประหลาดใจด้วย อย่างไรก็ตามขณะที่พวกเขากำลังทำงานตัวเป็นเกลียวอยู่นั้น ลูกค้ากลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งกินอยู่จู่ๆ ก็เริ่มตะโกนขึ้นมา
“มีแมลงได้ยังไงกัน? อาหารที่นี่ไม่ถูกสุขลักษณะงั้นเหรอ?”
ร้านขายอาหารแผงลอยโดยปกติแล้วก็ไม่ได้ถูกสุขลักษณะมากนัก ถึงแม้ว่าฉินฟางกับถังเฟยเฟยจะดูแลเป็นพิเศษแล้วก็ตาม มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นที่ไหนสักแห่ง ตอนที่เขาได้ยินเสียงตะโกนนั้นจึงได้หยุดสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนั้นและเดินตรงไปยังกลุ่มลูกค้าที่ส่งเสียงดัง
กลุ่มลูกค้าที่ตะโกนเกี่ยวกับเรื่องแมลงเป็นชายหนุ่มสามคน พวกนั้นสวมเสื้อผ้าที่ดูฉูดฉาดแปลกๆ และผมก็ถูกย้อมจนเป็นสีเหลืองหรือไม่ก็เขียว สีสันดูบาดตามาก ท่ามกลางคนพวกนั้นมีชายคนหนึ่งที่ตัวของเขาผอมกระหร่องเป็นอย่างมากแต่ก็ยังสวมเสื้อทีเชิ้ตแขนกุด และบนแขนของเขาก็มีรอยสักรูปมังกรสีน้ำเงิน
ฉินฟางไม่เคยสนใจเกี่ยวกับความเป็นมาของชายสามคนนั้น ในเมื่อพวกนั้นเข้ามากินที่นี่แล้วก็ถือว่าเป็นลูกค้า และเขาก็ไม่อาจที่จะไล่ลูกค้าไปได้ด้วย เมื่อมองไปยังชามบะหมี่ที่มีแมลงซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เขาไม่รู้ว่าแมลงที่ลอยอยู่นั้นเป็นสายพันธุ์ไหน แต่ตัวของมันใหญ่มากและมีสีดำจนเห็นได้เด่นชัด
ถ้ามันเป็นแมลงสีขาวขนาดเล็กแล้ว เป็นไปได้ที่ฉินฟางอาจจะไม่สังเกตเห็น แต่สำหรับแมลงสีดำตัวใหญ่ขนาดนี้ล่ะ? กระทั่งคนที่สายตาไม่ดีก็ยังสามารถสังเกตเห็นได้ ฉินฟางเป็นคนทำเส้นบะหมี่ที่มีขนาดเล็กกว่าแมลงตัวนี้เป็นล้านๆ เท่า แล้วเขาจะไม่สังเกตเห็นได้ยังไงถ้ามีแมลงตัวใหญ่ขนาดนี้?
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ สามคนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกอันธพาล และมาที่นี่เพื่อก่อปัญหา
“เจ้าของร้าน แมลงตัวใหญ่ขนาดนี้ แกต้องการให้พวกข้าตายจากอาหารเป็นพิษหรือยังไง?! แกตอบพวกข้ามาให้ดีๆ นะ ไม่งั้นแล้วแกอย่าคิดว่าจะตั้งร้านอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป”
เสียงต่อว่าอย่างรุนแรงดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง อันธพาลหนุ่มที่มีรอยสักทุบโต๊ะอย่างหนักและพูดอย่างโมโหโทโส เสียงที่ใช้นั้นค่อนข้างดัง จึงทำให้ลูกค้าซึ่งอยู่รอบๆ ที่ไม่ต้องการจะมีส่วนร่วมสังเกตเห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น
“เหลาซูเฉียง! แกกำลังรนหาที่ตายหรือยังไง ห๊า? ถ้าแกต้องการรีดไถเงินก็พูดมา ทำไมต้องใช้อุบายแบบนี้? แกกำลังวางแผนที่จะทำอะไร?”
ขณะที่ฉินฟางกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกไป ฟ่านเจี่ยเจียที่ช่วยงานอยู่ด้านข้างก็เกรี้ยวกราดในทันทีและเดินเข้ามาก่นด่าอันธพาลพวกนั้นเสียงดัง เห็นได้ชัดว่าเธอรู้จักพวกอันธพาลนี้
“อ้าว... นี่ฟ่านเจี่ยเจียไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาติดแหมะอยู่กับเจ้าเด็กนี่ล่ะ? มันเป็นผัวใหม่ของพี่หรือไง?”
เหลาซูเฉียงเป็นอันธพาลจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่เกรงกลัวฟ่านเจี่ยเจีย และยังพูดล้อเลียนเธออย่างเพลิดเพลิน ส่วนอันธพาลอีกสองคนซึ่งนั่งอยู่ข้างเขาก็ลุกขึ้นยืน แสดงใบหน้าที่ส่งกลิ่นเหม็นและมีเจตนาชั่วร้าย
“แกกำลังรนหาที่ตาย เหลาซูเฉียง...”
ถึงแม้ว่าฟ่านเจี่ยเจียจะชอบเอาเปรียบคนอื่น แต่ฉินฟางก็รู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิในตัวเอง ถ้าไม่อย่างนั้นเธอคงมองหาผู้ชายคนอื่นไปนานแล้วหลังจากที่หย่า ในตอนนี้เมื่อเหลาซูเฉียงพูดดูถูกเธอเช่นนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่รู้สึกโมโห
หลังจากที่พูดออกไป ฟ่านเจี่ยเจียที่พลุ่งพล่านไปด้วยความโกรธก็รีบเร่งที่จะวิ่งเข้าไปฉีกปากของเหลาซูเฉียง
“เจี่ยเจีย ช่างมันเถอะครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเรื่องนี้เอง...”
ฉินฟางไม่กล้าปล่อยให้เธอไปทุบตีพวกนั้น เพราะถ้าไปมีเรื่องกับพวกอันธพาลแล้วก็เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาในการที่จะค้าขายที่นี่ต่อไป แต่ในขณะที่เขาดึงตัวของฟ่านเจี่ยเจียไว้ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเขาได้มีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป ความรู้สึกนี้แปลกประหลาดมากๆ และก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน
………………………….