ตอนที่ 06 การค้าเฟื่องฟู
ตอนที่ 06 การค้าเฟื่องฟู
ผู้แปล : ThreeSwords
ปรับสำนวน : ThreeSwords
ตลาดทางด้านประตูทิศใต้เป็นหนึ่งในตลาดขายส่งของเมืองหนิงไห่ ส่วนใหญ่จะจำหน่ายเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายและวัสดุก่อสร้าง มันค่อนข้างจะอยู่ห่างไกลจากพื้นที่ในเมืองแต่การขนส่งก็สะดวกสบาย ถึงยังไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับตลาดขายส่งขนาดใหญ่ที่อยู่ในเมืองก็ตาม
ไม่ไกลจากตลาดเป็นพื้นที่ของมหาวิทยาลัยมากกว่าสิบแห่ง นักศึกษาที่เรียนอยู่ในนั้นมักจะแวะเวียนมาที่ตลาดแห่งนี้เพื่อซื้อและต่อรองสินค้าต่างๆ กับเสื้อผ้าสวยๆ ดังนั้นผู้คนที่สัญจรไปมาในบริเวณนั้นจึงมีมากมายมหาศาลเลยทีเดียว
“ถังเฟยเฟย เธอควรจะกลับไปนะ ข้างนอกนี่ร้อนมาก ผมสามารถจัดการด้วยตัวเองได้...”
ฉินฟางพูดอย่างอายๆ เมื่อคืนหลังจากปรึกษาหารือกันอยู่สักพักจนกระทั่งดึกดื่น ดังนั้นฉินฟางจึงเรียกรถแท็กซี่เพื่อส่งเธอกลับบ้าน ในขณะเดียวกันเขาก็เตรียมการที่จะเปิดร้านแผงลอยเสร็จสิ้น
เจ้าของบ้านเช่าและฟ่านเจี่ยเจียให้การสนับสนุนฉินฟางเป็นอย่างมาก ตอนที่พวกนั้นได้ยินแผนของฉินฟาง ไม่เพียงไม่ห้ามปรามแต่ยังช่วยเหลือเขาเป็นอย่างมาก ภรรยาเจ้าของบ้านเช่ากระทั่งให้ฉินฟางยืมเตาแก๊สที่พวกเขาไม่ได้ใช้ สำหรับพวกโต๊ะเก้าอี้และรถเข็น พวกนั้นก็พร้อมที่จะให้เขายืมและกระทั่งให้ร่มบังแสงแดดขนาดใหญ่กับเขาด้วย
เช้าตรู่ฉินฟางไปยังตลาดทางด้านประตูทิศใต้เพื่อสำรวจสถานที่ และตัดสินใจเรื่องพื้นที่ตั้งร้านได้ในตอนเที่ยง หลังจากนั้นก็ไปหาซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นในการทำราเม็ง และสุดท้ายก็ลากรถเข็นไปยังจุดที่เขามองไว้ก่อนหน้า
ขณะที่ฉินฟางตั้งโต๊ะและเก้าอี้ทั้งหลายแล้วเสร็จและกำลังติดตั้งร่มกันแดด ถังเฟยเฟยก็มาถึง
วันนี้ถังเฟยเฟยสวมเสื้อยืดลายน่ารักกับกางเกงยีนส์สามส่วน เมื่อจับคู่กับใบหน้าที่สวยงามของเธอ มันก็แสดงให้เห็นถึงความเยาว์วัยของหญิงสาวได้อย่างเต็มที่ เพียงแต่สภาพอากาศช่วงเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมในขณะนี้นั้นเหลือร้าย ดวงอาทิตย์แดงแจ๋จนกระทั่งภายใต้รมกันแดดก็ยังร้อนจนแทบทนไม่ได้
“ไม่มีปัญหาหรอก ฉันไม่ใช่หญิงสาวร่ำรวยที่ต้องคอยมาพะเน้าพะนอซะหน่อย เรื่องแค่นี้ฉันรับได้สบาย นอกจากนี้แล้วธุรกิจของนายมาจากความคิดฉัน จึงต้องดูตัวเองว่ามันเป็นไปแบบไหน หรือว่านายกำลังวางแผนที่จะฉกฉวยความคิดฉันไปเป็นของนายหรือไง?”
แม้ว่าถังเฟยเฟยจะดูเหมือนหญิงสาวที่สุภาพอ่อนโดยน แต่เมื่อเธอโกรธแล้วก็ดูเผ็ดร้อนเหมือนพริกขี้หนูเม็ดเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอไม่ชอบการกระทำอย่างเช่นการขโมยความคิดที่เธอคิดว่าฉินฟางกำลังพยายามทำ
“ไม่ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่เลย ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...”
ฉินฟางรู้สึกพูดไม่ออกพร้อมกับรีบโบกมือปฏิเสธและเริ่มอธิบาย ใบหน้าที่ขาวซีดเล็กน้อยของฉินฟางกลายเป็นสีแดงเนื่องจากความตื่นตระหนก ทำให้ท่าทางของเขาในตอนนี้ดูน่ารักมาก
“เจ้าของร้าน ราเม็งชามหนึ่ง!”
ในตอนนั้นเองพวกฉินฟางก็เห็นชายร่างอ้วนที่กำลังถือกระเป๋าเดินทางสำหรับนักธุรกิจ ไม่เพียงเดินเข้ามาขณะที่ตัวเขากำลังเช็ดเหงื่อแต่ยังคุยโทรศัพท์ไปพร้อมกันด้วย จึงทำให้ดูเป็นคนที่กำลังยุ่งมาก หลังจากที่เขาสังเกตเห็นร้านแผงลอยขายบะหมี่เล็กๆ ของฉินฟาง ก็เลยรีบสั่งราเม็งหนึ่งชามเสียงดัง
“ฉันแค่ล้อนายเล่นน่า กลับไปทำราเม็งของนายได้แล้ว!”
พอเห็นว่าฉินฟางยังจับต้นชนปลายไม่ถูก แถมดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินที่ลูกค้าสั่ง ถังเฟยเฟยจึงรีบพูดสะกิดฉินฟางเบาๆ
“ไปแล้ว ไปแล้ว...”
ถึงฉินฟางจะหายตื่นตระหนก แต่ในใจของเขาก็คิดว่าผู้หญิงนี่ช่างเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนจริงๆ
อย่างไรก็ตามฉินฟางเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างมาคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ลูกค้ากำลังรอให้เขาทำบะหมี่อยู่ เพราะฉะนั้นเขาจึงรีบกลับไปที่ร้านและเริ่มทำเส้นบะหมี่เสียงดัง *ปั๊บ ปั๊บ ปั๊บ* ด้วยความเร็วในการเคลื่อนไหวของมือฉินฟาง ทำให้เส้นบะหมี่ที่คนอื่นใช้เวลา 30 วินาทีในการทำนั้น สำหรับฉินฟางในตอนนี้แล้วใช้เวลาเพียง 20 วินาที และบะหมี่หนึ่งจับก็พร้อมที่จะปรุงลงในหม้อ
ไม่นานหลังจากนั้นราเม็งร้อนหนึ่งชามที่ทำเสร็จใหม่ๆ ก็พร้อมเสิร์ฟ ขณะที่เขากำลังจะนำราเม็งไปเสิร์ฟด้วยตัวเอง ก็เห็นเรือนร่างขาวสะอาดยกราเม็งชามนั้นไปก่อนเขาและตรงไปเสิร์ฟให้กับลูกค้า
“คุณลูกค้าคะ นี่ราเม็งของคุณค่ะ”
ถังเฟยเฟยกล่าวอย่างมีมารยาทกับชายร่างอ้วน
“โอ้ โอเค วางลงตรงนั้นเลย”
ชายร่างอ้วนเห็นได้ชัดว่ายุ่งมาก เพราะในตอนนี้เขาก็ยังคุยโทรศัพท์อยู่และไม่ได้เหลือบมองถังเฟยเฟยเลย ทำเพียงพยักหน้ารับตามปกติเท่านั้น จากนั้นเขาก็หยิบตะเกียบขึ้นมาหนึ่งคู่และเริ่มทำการกินราเม็ง ในขณะเดียวกันก็ยังหนีบโทรศัพท์ไว้ที่หูและคุยไปด้วย
*ซร๊วบ*
“เส้นบะหมี่นี้... ไม่เลวเลยนี่”
ขณะที่ชายร่างอ้วนกำลังกิน ไม่สิ กำลังสวาปามบะหมี่ของเขานั้น ในคำแรกเขาไม่ได้ลิ้มรสอะไรเลยแต่เมื่อถึงคำที่สอง เขาก็หยุดกินและย่นคิ้วจนทำให้ใบหน้าอวบอ้วนนั้นดูเหมือนขุ่นเคือง ตอนที่ฉากดังกล่าวปรากฏขึ้นหัวใจของฉินฟางกับถังเฟยเฟยก็อดไม่ได้ที่จะบีบแน่น กลัวว่าราเม็งชามนั้นจะไม่ถูกปากลูกค้า โชคยังดีที่ประโยคที่ออกจากปากของชายร่งอ้วนเป็นคำชมเชย และเมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้วพวกฉินฟางก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
อย่างไรก็ตามชายร่างอ้วนคนนั้นดูเหมือนจะยุ่งมากจริงๆ ตลอดเวลาขณะที่เขากำลังกินอยู่นั้นก็ยังคุยโทรศัพท์ไปด้วย หลังจากกินเข้าไปเต็มปากอีกสองสามคำบะหมี่ทั้งหมดก็ลงไปอยู่ในกระเพาะ แต่ตอนที่เขากำลังจ่ายค่าอาหารก็พูดออกมาเป็นพิเศษว่า “เจ้าหนุ่ม บะหมี่ของนายไม่เลวเลย”
“พวกเราทำได้!”
นี่คือลูกค้ารายแรกของพวกเขาและหลังจากที่ได้รับเงิน ถังเฟยเฟยก็กระโดดไปมาด้วยความตื่นเต้น ถ้าเธอจำไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องน่าอายที่ฉินฟางกุมมือเธอไว้เมื่อวานนี้ เป็นไปได้ว่าเธออาจจะกอดฉินฟางไปแล้ว
“หืมม? มีร้านบะหมีแผงลอยตั้งอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าเพิ่งจะมาใหม่ซะด้วย ต้องลองไปชิมดูซะหน่อยแล้ว ถ้ารสชาติใช้ได้จะได้ไปกินต่ออีกวันหลัง...”
ในเวลานั้นผู้คนบางส่วนที่ออกมาจากตลาดทางด้านประตูทิศใต้กำลังมองหาอะไรกิน ก็เกิดเห็นร้านขายบะหมีแผงลอยของฉินฟาง พวกเขาจึงตรงเข้ามาและสั่งราเม็งกันคนละชาม
“อืม เส้นบะหมี่พวกนี้ทำมาได้ดีมาก ยืดหยุ่นกำลังดี...”
“รสชาติก็ไม่เลวด้วย...”
“เจ้าของร้าน ราเม็งที่คุณขายรสชาติไม่เลวเลย วันหลังพวกเราจะมาอุดหนุนที่นี่บ่อยๆ...”
ด้วยเหตุนี้ฉินฟางกับถังเฟยเฟยจึงถือได้ว่ามีการตั้งรกรากของพวกเขาอยู่ด้านนอกของตลาดทางด้านทิศใต้แล้ว ในร้านแผงลอยขายบะหมี่ ฉินฟางรับหน้าที่ทำเส้นบะหมี่ขณะที่ถังเฟยเฟยรับผิดชอบเรื่องการเสิร์ฟ เก็บและชามจานชามทั้งหลาย ร้านที่มีลูกค้าเพียงหนึ่งถึงสองในตอนแรกก็เริ่มมีลูกค้ามากขึ้น ทำให้ฉินฟางกับถังเฟยเฟยทำงานหัวหมุนจนแทบจะไม่มีเวลาพัก มีเพียงบางช่วงหลังจากเวลาทานอาหารในชั่วโมงเร่งด่วนที่พวกฉินฟางมีเวลาได้พักหายใจ
ขนาดนี่เป็นแค่วันแรก แถมร้านขายบะหมี่เล็กๆ ของพวกเขายังไม่เป็นที่รู้จัก และลูกค้าที่เข้ามาซื้อนั้นก็เพราะบังเอิญเดินผ่านร้านและอยากที่จะลองชิม ลูกค้าส่วนใหญ่พูดว่ารสชาตินั้นไม่เลว ขณะที่บางส่วนก็บอกว่ายังต้องปรับปรุงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามฉินฟางก็ไม่มีวิธีการที่จะจัดการปัญหานั้นเป็นการชั่วคราว
ยิ่งไปกว่านั้นค่าประสบการณ์ทักษะ [การทำบะหมี่] ของฉินฟางก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน ซึ่งตอนนี้อยู่ที่ 20% ของขั้นเริ่มต้น ถ้าเขายังคงทำธุรกิจนี้ต่อไป การเพิ่มความสามารถของทักษะนี้เห็นได้ว่าไม่ใช่เรื่องยาก
เมื่อพวกเขากำลังที่จะหยุดพัก ฉินฟางที่ยังไม่หมดแรงก็ออกไปซื้อเครื่องดื่มเย็นๆ มาให้ถังเฟยเฟย ทั้งสองนั่งอยู่ข้างร้านและเริ่มผ่อนคลาย จากนั้นถังเฟยเฟยก็พูดขึ้นมาอย่างมีความสุขว่า
“การค้ากำลังไปได้ดีมาก... ถ้าเป็นต่อไปอย่างนี้แล้ว ในไม่ช้านายก็น่าจะหาเงินได้มากพอสำหรับค่าเล่าเรียน”
สถานการณ์ของฉินฟางนั้นถังเฟยเฟยรู้ดี และยังรู้เรื่องที่เขาไปทำงานที่โรงผลิตเพื่อหาเงินให้ได้มากพอสำหรับค่าเล่าเรียนจนหมดเรี่ยวแรงโดยละเอียด เธอรู้กระทั่งว่าในท้ายที่สุดแล้วเขาถูกไล่ออกและหมดสติอยู่บนถนน ถ้าเขาไม่ถูกช่วยเหลือไว้โดยบังเอิญ มันก็อาจจะมีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะไม่มีใครรู้ว่าเขาเสียชีวิตอยู่ที่นั่น
ยอดขายในตอนนี้ไม่เลวเลยจริงๆ บ่ายนี้บ่ายเดียวพวกเขาก็ขายราเม็งได้อย่างน้อย 100 ชาม ถึงแม้ว่ากำไรของแต่ละชามจะได้เพียง 2 หยวน แต่นั่นแสดงว่าพวกเขาก็ทำเงินได้อย่างน้อย 200 หยวนเช่นกัน ซึ่งนี่นับเฉพาะยอดขายของบ่ายนี้เท่านั้น ถ้าพวกเขาขายต่อไปถึงตอนกลางคืนก็น่าจะสามารถทำเงินได้ถึง 400 หยวน
เหลือเวลาประมาณหนึ่งเดือนกว่าๆ ก่อนที่มหาวิทยาลัยจะเปิดเรียน ถ้าเขาสามารถหาเงินได้มากขนาดนี้ทุกวัน ฉินฟางก็น่าจะสามารถจ่ายค่าเล่าเรียนของเขาได้จริงๆ
“อืม ถ้าเธอหักค่าใช้จ่ายแล้ว พวกเราหาเงินได้อย่างน้อย 200 หยวนในช่วงบ่ายนี้”
ฉินฟางนับเงินที่เขาหามาได้ ซึ่งหลังจากแยกเงินออกเป็นสองกองแล้ว เขาก็นำเงินกองหนึ่งไปวางไว้ตรงหน้าถังเฟยเฟย และเงินอีกกองหนึ่งซึ่งมีราวๆ หนึ่งร้อยหยวนเป็นส่วนที่เขาเก็บไว้ให้ตัวเอง
................................