ตอนที่ 05 แผนการทำเงิน
ตอนที่ 05 แผนการทำเงิน
ผู้แปล : ThreeSwords
ปรับสำนวน : ThreeSwords
*ปั๊บ ปั๊บ ปั๊บ* (เสียงของการทำเส้นบะหมี่)
เห็นได้ชัดว่าฉินฟางไม่ได้เอาคำชมเชยของถังเฟยเฟยมาใส่ใจ ราเม็งชามนั้นเป็นชามแรกที่เขาทำและบางทีมันอาจจะเป็นเพราะถังเฟยเฟยทนหิวมาสักพักแล้ว นั่นเป็นเหตุผลว่าตราบใดที่มันไม่ได้เลวร้ายเกินไป ทุกอย่างก็สามารถอร่อยมากได้เช่นกัน
ฉินฟางเริ่มเคลื่อนไหวมือของเขาด้วยท่าทางที่นิ่มนวลอีกครั้ง จนแป้งโดว์เส้นหนาในมือของเขาก็กลายเป็นเส้นบะหมี่อันสวยงาม จากนั้นเขาก็โยนก้อนบะหมี่ที่ทำขึ้นลงในน้ำซุปที่ถูกต้มจนร้อน และอีกไม่นานราเม็งที่ทำเสร็จใหม่ๆ อีกหนึ่งชามก็พร้อมให้บริการ
“ฉินฟาง ราเม็งที่นายทำอร่อยจริงๆ นะ รสชาติดีกว่าร้านขายราเม็งทั่วไปที่ตั้งอยู่ข้าวนอกนั้น! ถ้านายทำราเม็งของตัวเองออกขาย การค้าก็น่าจะดีมากแน่ๆ ...”
ถังเฟยเฟยเยินยอขณะที่เธอกำลังกินราเม็งชามนั้นเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ฉินฟางยิ้มอย่างใจเย็นแต่รอยยิ้มของเขาก็แข็งทื่ออย่างรวดเร็ว เพราะทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรบางอย่างได้ เขารีบหยิบเส้นแป้งโดว์อีกก้อนออกมาและพลิกมันไปมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานจากนั้นราเม็งอีกชามก็พร้อมเสิร์ฟ
ชามนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีไว้สำหรับถังเฟยเฟย ต่อให้เธอมีความอยากอาหารมากขนาดไหนหรือแม้กระทั่งตอนที่หิวจัด ราเม็งสองชามใหญ่ก็ถึงขีดจำกัดของเธอแล้ว ชามนี้จึงทำขึ้นมาสำหรับตัวเองเพราะเขายังไม่เคยลองเลยว่าราเม็งที่ทำมีรสชาติแบบไหนจนกระทั่งถึงตอนนี้
*ซร๊วบ~*
ขณะที่ค่อยๆ คีบดูดเส้นบะหมี่เข้าไปเต็มคำ ในปากของเขาก็รู้สึกถึงความหยุ่นเด้งอย่างที่สุดไหลเข้าไปทันทีหลังจากที่ลองเคี้ยวมันอยู่สักพัก เส้นบะหมี่เข้าไปในปากเขาอย่างไหลลื่นอีกทั้งยังมีรสสัมผัสที่ยืดหยุ่น และเมื่อรวมกับน้ำซุปก็ยิ่งทำให้ราเม็งชามนี้มีรสชาติค่อนข้างดีเลยทีเดียว ถ้าได้เข้าคู่กับเครื่องปรุงรสที่ดีกว่านี้เล็กน้อย แน่นอนว่ารสชาติของมันจะไม่ใช่อร่อยแบบทั่วไป แต่ราเม็งที่ทำขึ้นมานี้น่าจะดีกว่าหลินโจวราเม็งที่มีชื่อเสียงระดับประเทศเป็นแน่
ขณะที่ฉินฟางกำลังตกตะลึงเกี่ยวกับราเม็งที่เขาทำนั้นอร่อยเกินความคาดหมายไปได้ยังไง ถังเฟยเฟยก็ได้จัดการราเม็งชามที่สองจนหมด และพอเห็นสีหน้าตกใจของฉินฟางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“เป็นอะไรไป? ตอนนี้นายเชื่อฉันแล้วใช่ไหม? ฉันไม่เชื่อที่นายกำลังแสดงอยู่หรอกนะ ทำราวกับว่านายเพิ่งเคยลองชิมราเม็งของตัวเองเป็นครั้งแรกงั้นแหละ”
“ฮะฮะ ผมก็แค่หิวมากไปน่ะ”
ฉินฟางไม่ได้พูดอะไรที่จะแก้ความเข้าใจผิดของถังเฟยเฟย ความสัมพันธ์ของเขากับถังเฟยเฟยแม้ว่าอาจจะดีแต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงขนาดบอกได้ทุกเรื่องแบบนั้น แต่หลังจากลังเลอยู่สักพักเขาก็ถามไปว่า
“ถังเฟยเฟย ถ้าผมตั้งแผงลอยขายราเม็ง มันจะขายได้จริงๆ หรือเปล่า?”
ถังเฟยเฟยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ดวงตากลมโตอันสวยงามของเธอเบิกกว้างเพราะแปลกใจกับคำถามของฉินฟาง ต่อมาเธอมองไปที่ตาของฉินฟางและถามด้วยความไม่แน่ใจว่า
“เอ่ออ... นายกำลังล้อฉันเล่นอยู่ใช่มั้ย?”
สิ่งที่เธอพูดเกี่ยวกับการขายราเม็งในตอนนั้นมีความหมายเพียงแค่จะชื่นชมราเม็งของฉินฟาง และเธอไม่ได้หมายถึงอย่างนั้นจริงๆ
“เอ๋ ผมจริงจังนะ”
แต่ฉินฟางพูดอย่างเคร่งขรึมพลางผงกหัว
ตอนที่เขาออกไปทำอาหารก็สังเกตเห็นคอมฯ เครื่องนั้น ราวกับว่ามันถูกฟ้าผ่าใส่เพราะไหม้จนเหลือแต่เถ้าถ่าน เป็นเศษขยะอย่างแท้จริงในตอนนี้ ด้วยเงินที่มีอยู่ในมือการซื้อคอมพิวเตอร์อีกเครื่องนั้นน่าจะเพียงพอ แต่ถ้าเขาทำอย่างนั้นแล้ว ต่อให้ทำงานจนได้รับเงินครบตามสัญญาก็จะมีเงินไม่พอสำหรับแผนของเขา
ในทางตรงกันข้ามความเสี่ยงในการหาเงินโดยการขายราเม็งน้อยกว่ามาก เครื่องปรุงรสทั่วไปเช่น น้ำมัน เกลือ ซอสถั่วเหลืองและน้ำส้มสายชูไม่ได้แพงมาก แป้งทำอาหารก็เช่นกัน และสำหรับบะหมี่ทุกชามที่เขาขายได้ก็จะเก็บเกี่ยวผลกำไรก้อนโต ฉินฟางเชื่อว่าถ้าเขาทำงานให้หนักขึ้นเล็กน้อยก็จะบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน
(TL Note : เป้าหมายของฉินฟางก็คือการหาเงินให้มากพอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยตัวเขาเอง)
“เรื่องนี้... ฉันคิดว่ามันอร่อยจริงๆ ดังนั้นยอดขายก็น่าจะค่อนข้างดี”
พอเห็นสีหน้าเอาจริงเอาจังของฉินฟางประกอบกับความจริงที่เธอได้รับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงินของครอบครัวฉินฟาง เธอจึงทราบว่าเขาไม่ได้พูดเล่น ซึ่งหลังจากทำการคิดอย่างเคร่งเครียดอยู่สักพักเธอก็พูดสรุปออกมาว่าการขายราเม็งนั้นเป็นไปได้
“แต่ถ้านายต้องการที่จะตั้งแผงลอย ก็ควรจะเลือกหาทำเลที่ดี เพราะถ้าเป็นจุดที่ไม่มีคนเดินผ่าน ไม่ว่าราเม็งของนายจะอร่อยแค่ไหน การค้าก็คงจะแย่มาก”
ตั้งแต่ที่เธอรับรู้ถึงความยากลำบากของฉินฟาง ในฐานะที่เป็นทั้งเพื่อนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขา เธอจึงรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ในการช่วยคิดหาหนทาง
“น่าเสียดายที่ว่า.... ตอนนี้เป็นช่วงวันหยุดหน้าร้อน ไม่งั้นก็น่าจะขายราเม็งให้พวกเด็กนักเรียนได้ด้วย...”
ฉินฟางพยักหน้า สถานที่แรกซึ่งเขาคิดไว้คือโรงเรียนเก่าของเขา โรงเรียนมัธยมหมายเลขสามที่มีโรงเรียนมัธยมกับประถมอื่นๆ อยู่รายล้อม ที่นั่นมีร้านแผงลอยตั้งอยู่เป็นจำนวนมากและการค้าค่อนข้างดี แต่ตอนนี้เป็นช่วงวันหยุดหน้าร้อนซึ่งนั่นก็หมายความว่าเป็นช่วงที่การค้าซบเซาด้วยเช่นกัน และร้านค้าจะกลับมาค้าขายดีขึ้นเมื่อโรงเรียนเปิดเทอมอีกครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าฉินฟางไม่สามารถรอจนกระทั่งถึงตอนนั้นได้
“ระหว่างช่วงวันหยุดหน้าร้อนแน่นอนว่าค้าขายไม่ค่อยดี แต่ถ้าเป็นที่มหาวิทยาลัยมันก็อาจจะดีขึ้น...”
ถังเฟยเฟยโคลงหัวและกล่าวต่อไปเรื่อยๆ แต่จู่ๆ ดวงตาของเธอก็ส่องประกายและพูดออกมาว่า
“ใช่แล้ว! ฉันรู้จักสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งรับรองว่าการค้าขายน่าจะดีแน่ๆ !”
“ที่ไหนเหรอ?”
ฉินฟางตกใจไปชั่วขณะและถามเธอกลับอย่างรีบเร่ง แต่เพราะว่ามันเร่งรีบดังนั้นเขาจึงทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมโดยการไปคว้าจับมือที่เล็กและอ่อนนุ่มของถังเฟยเฟย
“หน้าประตูทางเข้าถนนใหญ่ทางด้านทิศใต้! ที่นั่นอยู่ติดกับตลาดและก็มีมหาวิทยาลัยอยู่รอบๆ อีกด้วย ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากสัญจรผ่านไปมา แต่สถานที่กินมีน้อยมาก ตราบเท่าที่นายหาจุดเหมาะๆ ในการเปิดร้านก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องค้าขายไม่ได้ ”
ถังเฟยเฟยไม่ได้สังเกตว่าฉินฟางกำลังกุมมือของเธออยู่และก็พูดต่อไปอย่างตื่นเต้น ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังเป็นเด็กนักเรียนและไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องธุรกิจมากนัก ดังนั้นเมื่อค้นพบหนทางที่ดีขนาดนี้จึงเป็นธรรมดาที่เธอจะตื่นเต้น จนทำให้หลงลืมเกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ
“ใช่แล้ว ทำไมผมคิดไม่ถึงนะ?”
ดวงตาของฉินฟางสว่างสดใสเมื่อได้ยินคำแนะนำของถังเฟยเฟย และเขาก็เลยจำได้ว่าฟ่านเจี่ยเจียเคยบ่นเกี่ยวกับเรื่องที่ร้านแผงลอยขายอาหารมีน้อยด้วยเช่นกัน
ฟ่านเจี่ยเจียมีแผงขายส่งตรงประตูถนนใหญ่ทางด้านทิศใต้ แต่ที่นั่นไม่มีร้านที่เธอจะไปฝากท้องได้เลย ดังนั้นเธอเลยไม่มีทางเลือกที่จะต้องทำอาหารกลางวันเตรียมไว้ล่วงหน้าหรือไม่ก็กลับมาทำกินเองที่บ้าน อย่างไรก็ตามมันก็ค่อนข้างลำบากมาก เพราะเหตุนี้ในบางครั้งเธอเลยไม่มีเวลาที่จะไปหาซื้อผักต่างๆ และต้องไปขอแบ่งบางส่วนมาจากฉินฟาง และทุกครั้งเธอก็จะบ่นให้ฉินฟางฟังเกี่ยวกับเรื่องความไม่สะดวกนี้
“ถ้านายจะตั้งร้านแผงลอยที่นี่ ส่วนผสมน่าจะหาได้ง่ายแต่นายก็ยังจำเป็นต้องมีเก้าอี้กับโต๊ะและ...”
บางทีอาจเป็นเพราะถังเฟยเฟยมีพรสวรรค์ทางด้านธุรกิจจริงๆ หลังจากที่เธอจัดระเบียบความคิดก็ยกปัญหาใหม่ขึ้นมาทันที
ในขณะเดียวกันนั้นเธอก็พบว่ามือของตัวเองถูกฉินฟางกุมไว้ ใบหน้าที่ขาวสะอาดราวหิมะของเธอก็แดงเปล่งปลั่ง แล้วก็ทำการแงะมือตัวเองออกมาจากของฉินฟางหลังจากทำการดิ้นรนเล็กน้อย
“โอ้ โทษทีนะ”
ตอนแรกฉินฟางรู้สึกมึนงง แต่หลังจากสังเกตเห็นที่เขาทำก็หน้าแดงและกล่าวขอโทษอย่างเก้อเขิน
“เอาล่ะ มาคุยเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญมากก่อนเถอะ เพราะถ้าปัญหาเกี่ยวกับโต๊ะและเก้าอี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข มันก็อาจจะส่งผลกระทบได้...”
พอเห็นท่าทางประหม่าและเขินอายของฉินฟาง ทันใดนั้นหัวใจของถังเฟยเฟยก็รู้สึกอบอุ่น แทนที่จะตำหนิฉินฟางก็กลายเป็นใจกว้างไม่ได้เอาเรื่องเอาราวอะไรอีก และเริ่มการคุยเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญ
“นั่นไม่ใช่เรื่องยาก ผมสามารถแก้ไขมันด้วยตัวเองได้...”
ฉินฟางครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ในไม่ช้าเขาก็นึกหาหนทางขึ้นได้
ตรงที่ฉินฟางอาศัยอยู่นั้นมีผู้คนมาจากทั่วสารทิศ เขาจำได้ว่ามีบางคนได้ตั้งร้านแผงลอยอยู่บริเวณใกล้เคียงกับร้านขายอาหารว่าง อย่างไรก็ตามที่บ้านเกิดของคนผู้นั้นถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวอะไรบางอย่างดังนั้นก็เลยรีบกลับไปบ้าน ทิ้งแผงลอยเล็กๆ กับเก้าอี้และโต๊ะบางส่วนไว้ในห้องเก็บของ เจ้าของบ้านเช่าค่อนข้างดูแลเอาใจใส่ฉินฟางดี เพราะฉะนั้นถ้าเขาขอร้องแล้วการขอยืมสิ่งของเหล่านั้นก็ไม่น่าจะใช่ปัญหา
ถึงจุดนี้ปัญหาส่วนใหญ่ก็ได้รับการแก้ไข ฉินฟางเพียงแค่จำเป็นต้องนำเงินบางส่วนจากกระเป๋าตังค์ของตัวเองซื้อชาม เครื่องไม้เครื่องมือ เตาแก๊ส ฯลฯ ตราบเท่าที่ธุรกิจไม่เลวร้ายจนย่อยยับแล้วการทำเงินก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป
-----------------------------------