บทที่ 56 ตกลงปลงใจ
เม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกร ไม่ใช่ เม็ดยาอีกาทองคำ เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของจั่วม่อไปอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันสามารถลดความยุ่งยากในทางการเงินได้ไม่น้อย แต่ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่สวี่อี้ หรืออาจารย์ลุงหยานเล่อ พวกมันล้วนคิดเหมือนกันหมดว่าจั่วม่อไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย สามารถดูจากยุทธภัณฑ์เวทที่พวกมันกำนัลให้ก็ทราบได้ ผู้หนึ่งให้ปลอกแขน อีกผู้หนึ่งให้เกราะปราณ ทั้งหมดเป็นสายป้องกัน! เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่พยายามจะช่วยมันลดความเจ็บปวดและเสียหน้าให้น้อยที่สุด
ตอนนี้ปัญหาที่อยู่เบื้องหน้ามันนักหนาสาหัสมาก
ด้านหนึ่งก็อยากได้จิงสือ อีกด้านหนึ่งก็ต้องฝึกปรือเพลงกระบี่
ปัจจุบันมันมีหนี้สินมากมาย การทำกำไรจิงสือเป็นความต้องการเร่งด่วนที่สุด ไม่ว่าเวลาใดการหารายได้ก็เป็นปัญหาสำคัญที่สุดที่มันต้องเผชิญ และการฝึกปรือเพลงกระบี่ ในขอบเขตใหญ่จะตัดสินผลลัพธ์ของมันในอนาคต ในเวลาที่ต้องเผชิญกับการท้าทายจากหลัวหลีในการทดสอบของสำนัก
ทั้งสองเรื่องนี้ถูกลากเข้าไปในปัญหาเดียวกัน นั่นคือเวลา หากมันหลอมกลั่นเม็ดยาเพื่อทำกำไรจิงสือ เวลาที่มันจะใช้ฝึกปรือเพลงกระบี่ย่อมลดน้อยลงมาก เดิมทีมันก็ไม่ได้มีโอกาสชนะมากมายนักอยู่แล้ว พอคำนวณมาทางด้านนี้ จั่วม่อรู้สึกว่าโอกาสชนะเกือบเป็นศูนย์เลยทีเดียว
ท้ายที่สุดแล้วตัวมันต้องการจิงสือ หรือสู้เพื่อศักดิ์ศรี?
จั่วม่อกลายเป็นติดอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ท่านปู่ของข้า ทำอะไรอยู่?” กระเรียนกระดาษสีชมพูบินเข้ามา ลายมือยังคงสง่างามเช่นเดิม
“ฝึกกระบี่!”
“อ้อ ท่านปู่กลายเป็นฮึกหาญป่าเถื่อนไปตั้งแต่เมื่อใด? ผู้อื่นรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าใด”
“ข้าจะสู้กับคนที่เย็นชาและใจแคบผู้หนึ่ง!”
“ฮิฮิ เกิดอันใดขึ้น?”
“สตรีของมันเล่นหูเล่นตาให้แก่ข้า เลยถูกข้ากำนัลให้หนึ่งฝ่ามือ มันต้องการล้างแค้น” จั่วม่อ‘แปลงสาส์น’เล็กน้อย โอ้ นั่นก็สามารถถือว่าเล่นหูเล่นตาได้เช่นกัน มันคิดในใจ
“สับมัน!” ตัวอักษรอันสง่างามสองคำนี้แฝงกลิ่นอายผู้เหี้ยมหาญอย่างเข้มข้น ทำเอาจั่วม่อซึ่งเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ถึงกับอายม้วนต้วนไปเลย
“แต่ตอนนี้มีโอกาสดีที่จะทำกำไรจิงสือได้เป็นจำนวนมาก” ด้วยเหตุผลอันลึกลับบางประการ จั่วม่อเขียนภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของมันลงไป
“นักสู้ฆ่าได้หยามไม่ได้ เพียงแค่จิงสือจิ๊บจ๊อย อย่าให้ผู้อื่นต้องดูแคลนท่านปู่”
เพียงแค่จิงสือจิ๊บจ๊อย... อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด จะหวังอันใดจากผู้ที่ไม่เคยรู้จักความหิวโหยกระหาย จั่วม่อสะท้อนใจ ไฉนมันถามไถ่คนไม่น่าไว้ใจเช่นนี้? จึงตอบอย่างเหยียดหยามว่า “หึ สตรี เป็นนักสู้กับเขาด้วยหรือไร?” สายตามันหยุดนิ่งอยู่ที่ประโยค‘นักสู้ฆ่าได้หยามไม่ได้’แวบหนึ่งอย่างรั้งตัวเองไม่ได้
“ฮิฮิ ผู้อื่นเพียงหวังให้ท่านปู่สำแดงความห้าวหาญ!”
“เหยียจะไปทำงาน ไม่ต้องเขียนมาแล้ว” จั่วม่อตอบกลับไป แล้วโยนพู่กันไปด้านหนึ่ง
จั่วม่อใช้เวลาหนึ่งวันเต็มโหมทำงานอยู่ในห้องหลอมกลั่น จากนั้นนำเม็ดยาอีกาทองคำทั้งหมดส่งมอบให้แก่อาจารย์ลุงหยานเล่อ เพื่อช่วยปลดปล่อยหลี่อิงฟ่งออกจากสถานการณ์ของนาง
ก่อนที่จะถึงการทดสอบของสำนัก จั่วม่อไม่คิดหลอมกลั่นโอสถอีก มันตกลงปลงใจทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อฝึกปรือกระบี่ เมื่อใดที่นึกถึงใบหน้าของหลัวหลีกับห่าวหมิ่น ตลอดทั้งร่างก็อัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ไฉนมันพากเพียรเสาะหาจิงสือ? ก็ไม่ใช่เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นหรอกหรือ ไม่ใช่เพื่อให้แข็งแกร่งพอที่จะสามารถค้นหาคำตอบได้หรอกหรือ?
หลังจากสะสางความคิดและตัดสินใจแล้ว มันก็ไม่ลังเลอีกต่อไป
ความลังเลใจ ความไม่เด็ดเดี่ยว ล้วนถูกปัดทิ้งไปจนเกลี้ยงเกลา จั่วม่อจู่ๆ ก็รู้สึกว่าโลกกลับกลายเป็นสว่างไสว จิตใจกระจ่างแจ้ง สุขสบายจนบอกไม่ถูก
กลับไปยังหุบเขาลมตะวันตก มันคว้ากระบี่ผลึกน้ำแข็ง เริ่มฝึกปรือเคล็ดกระบี่เพลิงธาราซ้ำแล้วซ้ำเล่า
มันปิดผนึกประตูหุบเขาและแขวนป้ายไว้ว่า ‘ปิดด่านฝึกตน ห้ามรบกวน!’
ในสำนักกระบี่สุญตาเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องชวนหัวไปอย่างรวดเร็ว จั่วม่อเพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาจากศิษย์ฝ่ายนอก การมีเรื่องมีราวกับห่าวหมิ่นทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันจองหองเกินไป เมื่อผนวกกับเรื่องเม็ดยาอีกาทองคำที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า หลายคนลอบอิจฉาริษยามัน ดังนั้นมีผู้คนมากมายเฝ้าอดใจรอชมสภาพน่าขบขันของมัน
นี่คือความแตกต่างของสถานะ หลัวหลีนิสัยใจคอเย็นชาและเย่อหยิ่งโอหัง แต่ผู้คนเพียงแค่หวาดกลัวมันเท่านั้นและเห็นว่ามันสมควรเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่สำหรับจั่วม่อที่ตบห่าวหมิ่น แม้ว่าห่าวหมิ่นจะเป็นฝ่ายผิดก่อนก็ตาม แต่ผู้คนกลับทนไม่ได้ ไม่ชมชอบเห็นจั่วม่อสามารถหยิ่งผยองในระดับเดียวกันกับหลัวหลี
ในช่วงเวลานี้เอง ศิษย์พี่ใหญ่ฉินเฉิงก็กลับคืนสู่สำนัก
ศิษย์พี่ฉินเฉิงเป็นศิษย์ของท่านเจ้าสำนัก พลังบำเพ็ญเพียรไม่สูงส่งเท่าใด ทั้งยังไม่ใช่ผู้ที่พลังฝีมือเข้มแข็งที่สุด อย่างไรก็ตามมันสง่างามทรงอำนาจแต่กำเนิด เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้อื่นและได้รับความไว้วางใจอย่างลึกล้ำ
หลัวหลีกับฉินเฉิงนั่งหันหน้าเข้าหากัน ฉินเฉิงใบหน้าสี่เหลี่ยมคิ้วหนา เสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่นละออง ร่องรอยเหนื่อยล้าที่หว่างคิ้วไม่อาจปกปิดไว้ได้ แต่เพียงนั่งอยู่เฉยๆ ก็แผ่กลิ่นอายทรงอำนาจออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
ฉินเฉิงกล่าวอย่างตำหนิอยู่บ้างว่า “คราวนี้เจ้าล้ำเส้นมากเกินไป การพาศิษย์น้องหญิงห่าวหมิ่นออกไปเป็นเวลานาน ทั้งยังไม่ยอมกลับมา ไม่น่าแปลกใจที่ท่านเจ้าสำนักบันดาลโทสะ”
เผชิญหน้ากับฉินเฉิง ความเย็นเยียบบนใบหน้าหลัวหลีลบเลือนไปไม่น้อย มันตอบอย่างไม่แยแส “ตราบเท่าที่นางมีความสุข”
กับความดื้อดึงของศิษย์น้องของมัน ฉินเฉิงอับจนปัญญาอยู่บ้าง นิสัยใจคอของศิษย์น้องหญิงห่าวหมิ่นเป็นอย่างไร มันย่อมทราบกระจ่าง จึงได้แต่หันเหหัวข้อสนทนา “เจ้าฝึกปรือไปถึงไหนแล้ว?”
หลัวหลีกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ขั้นที่ห้า”
ฉินเฉิงมีสีหน้าปลาบปลื้มประโลมใจ จากนั้นล้วงม้วนหยกออกมาม้วนหนึ่ง “นี่เป็นเคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์ นำไปฝึกปรือให้ดี”
เพียงหลัวหลีได้ยินคำ ‘เคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์’ ถึงกับดวงตาเป็นประกาย
“เหวยเสิ้งเข้าสู่ถ้ำกระบี่ ท่านเจ้าสำนักกับเหล่าอาจารย์อาตั้งความหวังไว้ที่มันอย่างสูง ทั้งยังคาดหวังให้มันสามารถฟื้นฟูเคล็ดกระบี่สุญตาฉบับสมบูรณ์” ฉินเฉิงเหลือบมองหลัวหลีแวบหนึ่ง “ครั้งหนึ่งมันเคยเป็นข้ารับใช้กระบี่ของเจ้า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าไม่อาจพ่ายแพ้มัน”
หลัวหลีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด กำหมัดเกร็งแน่น กระทั่งเล็บจิกเข้าไปในเนื้อยังไม่รู้สึกตัว เรื่องนี้เป็นหนามแหลมทิ่มแทงใจมัน บุคคลอ่อนน้อมน่าสมเพชที่มันเคยเรียกใช้ตามอำเภอใจ มายามนี้ได้รับความสนใจจากสำนักมากเสียยิ่งกว่าตัวมันเอง เมื่อใดที่นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ประหนึ่งหนอนแมลงชอนไชกัดกินอยู่ในหัวใจมัน
“ในอดีต เคล็ดกระบี่สุญตาถูกแบ่งแยกออกเป็นเคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์กับเคล็ดกระบี่เวิ้งว้าง แต่เมื่อเพลงกระบี่สามารถแยกออกเป็นสองได้ ก็สามารถรวมสองกลับเป็นหนึ่งได้ เหวยเสิ้งอาจมีพรสวรรค์เหนือล้ำกว่าเจ้า แต่ข้าเชื่อมั่นในพรสวรรค์ของศิษย์น้องเสมอ” ฉินเฉิงเน้นย้ำช้าๆ ทีละคำ “ข้าหวังว่าในมือของศิษย์น้อง เคล็ดกระบี่เล่มนี้จะสามารถช่วยกอบกู้ศักดิ์ศรีของท่านปฐมาจารย์คืนมาได้”
หลัวหลีหายใจหอบกระชั้น จ้องมองไปยังม้วนคัมภีร์หยกในมือ สีหน้าแปรเปลี่ยนกลับกลายไม่หยุดยั้ง
เคล็ดกระบี่สุญตาเป็นนามที่มันเฝ้าใฝ่ฝันโหยหานับครั้งไม่ถ้วน สุดยอดวิชากระบี่ซึ่งปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักคิดค้นขึ้น ท่ามกลางเคล็ดวิชากระบี่เหลือคณานับในโลกหล้า มันยังถูกจัดอยู่ในระดับหก ทรงพลังอำนาจไร้ผู้ต้านทาน!
กอบกู้ศักดิ์ศรีของท่านปฐมาจารย์... ...
คำกล่าวของศิษย์พี่คล้ายสายฟ้าสวรรค์คำรามกรอกหู ก้องกังวานไม่จางหาย เลือดในร่างมันร้อนผ่าว มันราวกับเห็นตัวมันเองยืนทระนงอยู่เหนือเมฆา ทอดสายตามองลงไปในโลกหล้าแห่งปุถุชน
แทบไม่อาจสะกดกลั้นความตื่นเต้นในใจ หลัวหลีซุกเก็บม้วนหยก ค้อมคำนับเล็กน้อย กล่าวอย่างจริงจังว่า “ศิษย์น้องจะพยายามให้ดีที่สุด!”
โถงสุญตา เผยเหยียนหรานกับซินหยานกำลังร่วมดื่มชา หลังจากสังหารอสูรในทุ่งนาปราณหนนั้น เมื่อพวกมันมีเวลาว่าง ก็มักจะมาชุมนุมกันเพื่อดื่มชาสนทนา
“น่าเสียดายที่ศิษย์น้องสามไม่อยู่ มิเช่นนั้นเราทั้งสามจะได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง” เผยเหยียนหรานแย้มยิ้ม “แต่มันอาจจะต้องยุ่งวุ่นวายอยู่พักใหญ่ทีเดียว”
ซินหยานดื่มชาในถ้วยของตัวเอง วิธีการดื่มกลับแตกต่างจากเผยเหยียนหรานอย่างสิ้นเชิง ช่างขาดมารยาทอันสง่างามและความละเลียดเกียจคร้านที่ผู้อื่นมีอยู่ เมื่อใดที่เผยเหยียนหรานรินชาให้จนเต็มถ้วย มันก็จะยกขึ้นซดโฮกจนเกลี้ยงฉาด หมดจดกระฉับกระเฉง หลังจากนั้น มันยังรินเพิ่มด้วยตัวเอง ดื่มอีกจอกและอีกจอก
“ดื่มเยี่ยงเจ้า ช่างเสื่อมเสียคุณค่าชาปราณของข้าจริงๆ” เผยเหยียนหรานกล่าวอย่างปวดใจ
ซินหยานไม่เหลือบแลมันสักแวบ ไม่ชะงักมือ เพียงถามว่า “เทียนซงจื่อกล่าวอันใด เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เผยเหยียนหรานพอฟัง สีหน้ากลับกลายเป็นจริงจัง “นี่ไม่มีเหตุผลเลย ศิษย์น้องสามที่ผ่านมาเอาแต่บ่นว่าราคาข้าวปราณพุ่งทะยานขึ้นอย่างบ้าคลั่ง นี่สมควรเป็นสัญญาณบอกเหตุเล็กๆ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ซินหยานชะงักมือเป็นครั้งแรก มันผงกศีรษะ “ข้ารู้สึกว่าเป็นความจริง”
“เพราะเหตุใด?”
“การล่าอสูรยากลำบากมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ” ซินหยานตอบ “ในท้องตลาด จำนวนของเมล็ดพลังอสูรมีแต่น้อยลง น้อยลงเรื่อยๆ แต่ราคากลับเพิ่มขึ้นหลายเท่า”
“ข้าหลงลืมไปว่าเจ้ายังคงหลอมสร้างยุทธภัณฑ์เวท” เผยเหยียนหรานพยักหน้าเห็นด้วย “มันเป็นความจริงที่ว่าผู้คนปรารถนาล่าอสูรน้อยลง แม้กระทั่งเหล่าสำนักใหญ่ก็ตาม พวกมันมุ่งมั่นทุ่มเทไปในการเสาะหาอาณาจักรใหม่ที่ยังไม่ถูกค้นพบมากกว่า”
ถ้อยคำสนทนาของพวกมันทั้งสองล้วนเต็มไปด้วยความวิตกกังวล สามพันปีก่อน ฝ่ายซิวเจ่อปราบพิชิตเยาม๋อจนราบคาบ เหล่าอสูรปิศาจยอดฝีมือที่หลงเหลือใช้ร่างกายเลือดเนื้อของพวกมันเป็นเครื่องชี้นำ ใช้เจ็ดอาณาจักรขนาดกลางเป็นแกน แล้วใช้สี่สิบเก้าอาณาจักรขนาดเล็กเป็นฉากละเลง สร้างมหานครนภาโลหิตขึ้นมา พลังปราณธรรมชาติในอาณาจักรมหานครนภาโลหิตขาดแคลนถึงขีดสุด เสียเปรียบมากสำหรับเหล่าซิวเจ่อ แต่ในทางกลับกันอสูรปิศาจไม่ได้รับผลกระทบ นั่นหมายความว่ามหานครนภาโลหิตกลายเป็นแนวป้องกันที่เชื่อถือได้มากที่สุดของฝ่ายเยาม๋อ
แต่ในสามพันปีมานี้ ฝ่ายผู้ฝึกตนไม่เคยหยุดจู่โจมมหานครนภาโลหิต มหานครนภาโลหิตกลายเป็นสมรภูมิซึ่งไฟสงครามไม่เคยดับมอด ซิวเจ่อยอดฝีมือนับจำนวนไม่ถ้วนกลายเป็นที่รู้จักกันดีจากที่นั่น
ชิ้นส่วนร่างกายของอสูรปิศาจเป็นวัตถุดิบหายากสำหรับฝ่ายผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะเป็นหลอมสร้างยุทธภัณฑ์ หลอมกลั่นโอสถ หรือปรุงกลั่นกระยาหาร ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์กับทุกทาง ยิ่งเป็นอสูรปิศาจที่แข็งแกร่งมากเท่าใด ชิ้นส่วนร่างกายมันก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นผู้คนมากมายล้วนไปยังมหานครนภาโลหิตเพื่อหาเยาม๋อ ต่อมาวีรกรรมเช่นนี้ได้รับนามเฉพาะของตัวเอง นั่นคือการล่าอสูร
อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะที่ผ่านมาไม่นานนี้ ผู้คนเริ่มเข้าสู่การล่าอสูรน้อยลง ปรมาจารย์อสูรปิศาจผู้มีพลังฝีมือสูงล้ำปรากฏตัวขึ้นติดต่อกัน เป็นเหตุให้อัตราความเสียหายของเหล่าซิวเจ่อในการล่าอสูรสูงขึ้นมาก เมื่อความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น แต่ผลกำไรกลับน้อยลง เป็นธรรมดาที่จำนวนซิวเจ่อในการล่าอสูรย่อมลดลงอย่างมาก
และในช่วงสองสามปีมานี้ อาณาเขตของผู้ฝึกตนในมหานครนภาโลหิตถอยร่นลงมาเรื่อยๆ ทั้งยังเกิดเหตุอสูรปิศาจบุกจู่โจมทัพซิวเจ่ออย่างดุเดือดอยู่บ่อยครั้ง สัญญาณทั้งหมดล้วนบ่งบอกว่าเหล่าอสูรปีศาจได้ฟื้นฟูกำลังสำเร็จแล้ว
เหล่าผู้ฝึกตนที่มีสายตายาวไกลอยู่บ้าง พากันเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
หากฝ่ายอสูรปิศาจสามารถผลักดันทัพผู้ฝึกตนจนถอยร่นออกจากมหานครนภาโลหิตได้จริงๆ นั่นหมายความว่าพวกมันสามารถรุกคืบ เปิดฉากจู่โจมโลกแห่งผู้ฝึกตนได้ตลอดเวลา!
ระหว่างผู้ฝึกตนกับอสูรปิศาจไม่มีช่องทางสงบศึกได้โดยเด็ดขาด สามพันปีที่แล้ว ทัพซิวเจ่อเกือบจะล่าล้างสังหารเยาม๋อจนสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ จนกระทั่งถึงตอนนี้เพิ่งจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ ความเกลียดแค้นชิงชังของพวกมันย่อมลึกล้ำกว่าห้วงมหาสมุทร
หากมหาสงครามเช่นเดียวกับเมื่อสามพันปีที่แล้วอุบัติขึ้นอีกครา ย่อมไม่มีผู้ฝึกตนคนใดไม่ได้รับผลกระทบ และย่อมไม่มีผู้ใดยืนหยัดได้เพียงลำพัง
“มันต้องการเป็นเจ้าภาพจัดประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝูงั้นหรือ? แล้วไฉนเทียนซงจื่อกำหนดชื่อของจั่วม่อมาด้วย?” ซินหยานถาม “มันเป็นเพียงเกษตรกรปราณผู้หนึ่งเท่านั้น”
ภายในจดหมายที่เทียนซงจื่อส่งมาให้เผยเหยียนหราน กล่าวถึงงานประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝู ทั้งยังระบุนามเหวยเสิ้งและจั่วม่อมาเป็นพิเศษ
“ข้าก็ไม่ทราบ” เผยเหยียนหรานฝืนยิ้ม “อาจบางทีเรื่องราวเกี่ยวกับเม็ดยาอีกาทองคำใหญ่โตเกินไป จนดึงดูดความสนใจของเทียนซงจื่อด้วย ใช่แล้ว เจ้าคิดเห็นเช่นไรเกี่ยวกับเจ้าหนุ่มผู้นั้น หวีป๋าย?”
“ไม่เลวเลย แข็งแกร่งกว่าหลัวหลีเสียอีก”
“แล้วเหวยเสิ้ง?”
“นี่ยากบอกได้”
“ดูเหมือนว่าเทียนซงจื่อจะมีผู้สืบทอดแล้ว” เผยเหยียนหรานกล่าวอย่างเฉื่อยชา “ศิษย์ของจั่วเหมยเทียนก็น่าจะไม่เลว หากมีการจัดประลองชุมนุมวิจารณ์กระบี่แห่งตงฝูจริง นั่นน่าสนใจทีเดียว”
ซินหยานไม่กล่าววาจาและเริ่มดื่มชาอีกจอกหนึ่ง จากนั้นสักครู่ค่อยเงยหน้าขึ้นกล่าว “เช่นท่านแปลว่าท่านตกลง?”
“ไม่ต้องรีบร้อน รอให้เหวยเสิ้งออกมาจากถ้ำกระบี่เสียก่อน ยิ่งไปกว่านั้น งานทดสอบประจำปีของสำนักก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว” กล่าวถึงตอนนี้เผยเหยียนหรานก็แย้มยิ้ม “เจ้าเคยได้ยินเรื่องระหว่างจั่วม่อกับหลัวหลีมาหรือไม่?”
“ข่มเหงคนอ่อนแอ ชัยชนะอันน่าอับอาย” ซินหยานถ่มปาก
“ฮาฮา นั่นก็จริง” เผยเหยียนหรานหัวร่อ อึดใจต่อมาค่อยกล่าว “หลัวหลีพรสวรรค์ไม่เลว แต่น่าเสียดายนิสัยใจคอบกพร่องไปบ้าง หากมันเป็นเช่นเหวยเสิ้ง... ...”
ซินหยานเหลือกตาขึ้น “อย่าโลภมากเกินไปเลยน่า”
“ฮ่าฮ่า... ...” เผยเหยียนหรานหัวร่อดังกระหึ่ม