ตอนที่แล้วบทที่ 54 ไฟ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 56 ตกลงปลงใจ  

บทที่ 55 ข้ากำลังจะร่ำรวย?


 

หลี่อิงฟ่งสะลึมสะลือเล็กน้อยขณะที่เปิดประตูร้าน ตั้งแต่ที่ซือฟู่แล่นกลับไปยังภูเขาสุญตาเมื่อหลายวันก่อน มันยังคงไม่กลับมา สองวันมานี้ เนื่องจากซือฟู่ไม่อยู่ นางได้แต่ปิดร้านเอาไว้ก่อน พอดีกับที่สินค้าในร้านล้วนขายออกไปจนเกือบหมดสิ้นแล้ว โอสถปราณของอาจารย์อาหญิงสี่ซึ่งจะเป็นสินค้าชุดต่อไป ก็ยังไม่ได้ออกจากกระถางหลอมกลั่นด้วยซ้ำ ดังนั้นนางแทบไม่เหลือสินค้าที่จะขายในร้านอีก

สำนักกระบี่สุญตาเป็นเพียงสำนักเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไม่ได้มีสินค้ามากมายหลายชนิดนัก ในตงฝูพวกมันเพียงมีหน้าร้านเล็กๆ แห่งเดียว สินค้าที่ขายส่วนใหญ่เป็นโอสถปราณของอาจารย์อาหญิงสี่และยุทธภัณฑ์เวทซึ่งอาจารย์ลุงรองซินหยานหลอมสร้างขึ้น หากไม่มีเรื่องใดเป็นพิเศษ ปกตินางจะนอนหลับ หลังจากผ่านเข้าสู่ด่านจู้จี อันที่จริงไม่จำเป็นต้องหลับนอนมากนัก อย่างไรก็ตาม สำหรับอิสตรีแล้วการนอนหลับไม่ใช่เพียงแค่ความต้องการประการหนึ่ง แต่ยังเป็นรูปแบบของความสุขความผ่อนคลายอีกด้วย ในด้านนี้หลี่อิงฟ่งก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นางมักจะนอนหลับบ่อยๆ เสียจนดวงตาเบลอ กลับกลายเป็นมึนงงซึมกะทือ แตกต่างจากความเฉลียวฉลาดและมากน้ำใจตามปกติของนาง

หือ?

ในความสับสนมึนงง หลี่อิงฟ่งคล้ายพบเห็นผู้คนมากมายอยู่นอกประตู ลองขยี้ตาดูอีกที พอเห็นชัดตานางถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด อาการสะลึมสะลือหายวับเป็นปลิดทิ้ง เหม่อมองไปยังฝูงชนหนาแน่นแออัด ชาวาบไปทั้งร่าง

ผู้คนมากมายกระไรปานนี้...นี่...เกิดเรื่องอันใดขึ้น......

“ร้านเปิดแล้ว!”

“ในที่สุดก็เปิด!”

“เฮ้ เถ้าแก่ ข้าต้องการซื้อ......”

……

……

การเปิดประตูร้านก็คล้ายจุดประกายไฟใส่น้ำมัน สถานการณ์ที่เดิมทียังเงียบสงบพลันกลับกลายเป็นพลุ่งพล่านสับสนในบัดดล มองไปยังทะเลศีรษะที่ดารดาษอยู่ด้านนอก หลี่อิงฟ่งราวกับรูปปั้นรูปหนึ่ง ถูกตอกตรึงนิ่งสนิทอยู่ตรงทางเข้าประตู

 

ภายในหุบเขาลมตะวันตก จั่วม่อรู้สึกตลอดทั้งร่างชาหนึบ ไม่มีตรงไหนที่ไม่เจ็บปวด

แทบไม่อาจควบคุมพลังปราณในร่างกาย กระบี่ผลึกน้ำแข็งสั่นไหวกลางเวหา ดวงตาของมันจ้องมองอย่างเดือดดาล พยายามควบคุมพลังปราณเฮือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ในร่างอย่างสุดความสามารถ

“ไป!”

สุ้มเสียงแหบพร่าน่าเกลียด

กระบี่ผลึกน้ำแข็งที่สั่นไหวพลันกลายเป็นลำแสงสีขาวเหินวาบออกไป ทิ้งไว้เพียงหมอกเย็นเบาบางที่กลางอากาศ

เปรี้ยง!

แสงสีขาวฟันใส่กลางเป้าไม้ซึ่งห่างออกไปสิบจั้ง มีรูปวาดภาพหนึ่งอยู่บนเป้าไม้ เป็นภาพบุคคลที่จั่วม่อสาปแช่งนับครั้งไม่ถ้วนอยู่ทุกวี่วัน หลัวหลี

แผ่นไม้เป้าหมายแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ แต่ละส่วนถูกเคลือบคลุมไว้ด้วยชั้นน้ำแข็งบางๆ

“กล้าสู้กับเกอ เจ้าไม่ได้ตายดีแน่!”

……

……

ครั้นเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา จั่วม่ออดสูดปากครวญครางไม่ได้ อ้าก เจ็บปวดเหลือเกิน! มันดิ้นรนลุกขึ้นยืน เมื่อเห็นว่าตนอยู่ที่ใดในที่สุดค่อยนึกออก ว่าที่แท้ฝึกปรือเคล็ดกระบี่เพลิงธาราจนพลังปราณแห้งเหือด เป็นลมสลบไสลไปตรงนี้เอง ตื่นขึ้นแวบแรกเห็นตนเองจมโคลนตั้งแต่หัวจรดเท้า ต่อมานึกถึงความฝันในยามที่หมดสติ มันได้ทำลายแผ่นเป้าไม้ที่มีภาพหลัวหลีวาดเอาไว้จนพังยับเยิน อดหัวร่อไม่ได้ นั่นมันเหลวไหลเป็นบ้า!

หนึ่งพันกับอีกหกกระบี่!

นั่นคือจำนวนครั้งการฟาดฟันที่มันจำได้ก่อนจะสิ้นสติไป ระดับพลังปราณในร่างมันต่ำจนถึงขีดอันตราย เห็นได้ว่าก่อนจะสลบ มันใช้พลังปราณมากเกินไปแล้ว มันตกลงใจไปยังห้องศิลาเพื่อฟื้นฟูพลังปราณ ความรวดร้าวไปทั้งร่างย่อมหมายความว่าแต่ละก้าวย่างนั้นเจ็บปวดแทบขาดใจ มันกะโผลกกะเผลกอย่างเชื่องช้าไปยังปากทางเข้าโพรงราวกับเต่าขาหักตัวหนึ่ง ปากก็ส่งเสียงครวญครางเป็นระยะไปตลอดทาง

“ศิษย์น้อง ศิษย์น้อง!”

จั่วม่อพลันได้ยินเสียงคนตะโกนมาจากด้านนอกหุบเขา เสียงนั้นคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย มันชะงักเท้ากึก ในใจลอบรู้สึกโชคดีที่ยังไม่ได้เข้าไปในห้องศิลา

เห็นศิษย์พี่สวี่อี้เหินบินตรงเข้ามา เมื่อสวี่อี้พบเห็นสภาพน่าสังเวชของจั่วม่อ แวบแรกมันอึ้งงัน จากนั้นหัวร่อเบาๆ “ศิษย์น้องกำลังเล่นอันใด?”

จั่วม่อฝืนยิ้ม “ข้าสะเพร่าไปหน่อยตอนฝึกกระบี่ จึงสะดุดร่วงลงไปในโคลน”

          “ศิษย์น้องทุ่มเทจริงๆ !” สวี่อี้สรรเสริญ พลางถอนหายใจ “เรื่องระหว่างศิษย์น้องเจ้ากับศิษย์น้องหลัวหลี ข้าไม่มีปัญญายุ่งเกี่ยว แต่ฟังว่าศิษย์น้องขาดแคลนจิงสือ ข้ายังพอมีอยู่บ้าง อาจสามารถบรรเทาความต้องการของศิษย์น้องได้สักหน่อย” กล่าวจบมันหยิบจิงสือระดับสามออกมาสองชิ้น

จั่วม่อตะลึงลาน มันมีความประทับใจที่ดีต่อศิษย์พี่สวี่อี้ แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกล้ำเท่าใด มันไม่เคยคิดว่าศิษย์พี่สวี่อี้จะยืนเคียงข้างมันในเรื่องราวขัดแย้งนี้ อีกฝ่ายถึงกับมาด้วยความตั้งใจให้ยืมจิงสือด้วยตัวเอง นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ก้าวต่อไปของศิษย์พี่สวี่อี้ยังทำให้มันตะลึงพรึงเพริดมากกว่าเดิม

จั่วม่อเห็นศิษย์พี่สวี่อี้นำสร้อยข้อมือสีเงินออกมาเส้นหนึ่ง ยื่นให้ชมดู “นี่คือปลอกแขนดาราเงิน เป็นยุทธภัณฑ์เวทสายป้องกันที่ข้าหลอมสร้างขึ้น ระดับสอง สามารถสกัดกั้นการโจมตีของผู้ฝึกตนด่านหนิงม่ายได้สามหน” อธิบายจบก็ยัดใส่อกของจั่วม่อ

จั่วม่อยื่นมือรับไว้ ในใจสับสนงุนงง ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

“ใช่แล้ว ศิษย์น้องยังมีเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรอยู่อีกหรือไม่?” สวี่อี้ถามอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง

“เม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกร?” จั่วม่อไม่ทราบว่าสวี่อี้ล่วงรู้อันใดเกี่ยวกับเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกร แต่มองไปยังสองชิ้นจิงสือระดับสาม กับปลอกแขนที่ทอประกายอยู่ในมือของมัน จั่วม่อเกือบถูกฟาดจนหมดสติด้วยขนมเปี๊ยะที่ร่วงลงมาจากฟ้า มันตอบอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว “ไม่มีเหลือเลย”

“เช่นนั้นข้าต้องการสั่งซื้อจากศิษย์น้องหนึ่งร้อยเม็ด แต่ละเม็ดราคาห้าสิบชิ้นจิงสือระดับสอง ศิษย์น้องจะว่าอย่างไร?” สวี่อี้ถามพลางจ้องมองจั่วม่อเขม็ง

เม็ดละห้าสิบชิ้นจิงสือระดับสอง ...หนึ่งร้อยเม็ด.... ...

นี่ข้ากำลังฝันอยู่หรือไม่? ที่จริงข้ายังไม่ตื่นกระมัง? มันเหม่อมองไปยังมุมหนึ่งที่ไม่ไกลออกไปนัก ...ไม่เห็นมีแผ่นเป้าไม้ที่วาดเป็นรูปหลัวหลี!

ก็ไม่ได้ฝันนี่นา... ...

“หนึ่งร้อยเม็ด...เม็ดละห้าสิบชิ้นจิงสือระดับสอง......” มันพึมพำดุจย้ำกับตัวเอง

“ใช่แล้ว ศิษย์น้องเห็นว่าอย่างไร?” สวี่อี้ตึงเครียดเล็กน้อย

โลกนี้บ้าไปแล้วกระมัง?

จั่วม่อมองไปยังศิษย์พี่สวี่อี้ที่จดจ้องมันไม่คลาดสายตา พลางคิดอย่างโง่งม

“ศิษย์น้องใช่ลำบากใจหรือไม่?” สวี่อี้เห็นจั่วม่อนิ่งงันไปนาน อดถามออกมาไม่ได้

“ไม่ๆ ไม่ลำบากใจแม้แต่น้อย” สุ้มเสียงจั่วม่อฟังดูอ่อนแออยู่บ้าง ด้วยเหตุผลบางประการ มันไม่รู้ยินดีเท่าใดนัก บางทีอาจเพราะรู้สึกไม่สมจริงเกินไป!

“ประเสริฐยิ่ง! ข้าทราบอยู่แล้วว่าศิษย์น้องยินยอมช่วยเหลือ” สวี่อี้แย้มยิ้ม ล้วงห้าชิ้นจิงสือระดับสามออกมายัดใส่มือจั่วม่อ “ห้าชินจิงสือระดับสามนี้ถือว่าจ่ายล่วงหน้า สุขภาพของศิษย์น้องสำคัญที่สุด อย่าได้หักโหมเกินไป ไม่จำเป็นต้องส่งมาพร้อมกันร้อยเม็ดในคราวเดียว อ้อ ให้เสร็จสิ้นการทดสอบของสำนักเสียก่อนก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน”

จั่วม่อรับคำอย่างมึนงง

มองศิษย์พี่สวี่อี้จากไปด้วยสีหน้าพึงพอใจเหลือล้น จั่วม่อยังซึมเซาไม่คลาย ผ่านไปครึ่งค่อนวันยังคิดไม่ตกว่านี่มันเรื่องอันใด

ผู้ใดสามารถบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้น?

บางทีนี่อาจจะเป็นความฝันจริงๆ จั่วม่อคิดในใจ บางทีอึดใจถัดไปมันจะตื่นขึ้นมา แล้วทุกสิ่งในมือจะหายวับไปในพริบตา

“ศิษย์หลานอยู่หรือไม่?”

เสียงอาจารย์ลุงหยานเล่อดังแว่วมาจากนอกหุบเขา จั่วม่อยังไม่ทันจะตอบ อาจารย์ลุงหยานเล่อก็เหาะเข้ามาด้านใน

ครั้นเมื่อหยานเล่อเห็นสภาพจั่วม่อชัดตา แวบแรกก็อึ้งไป จากนั้นค่อยหัวร่อ “อ้อ ศิษย์หลานทุ่มเทจริงๆ ดูท่าการทดสอบของสำนักปีนี้น่าคาดหวังไม่เบา”

“คารวะอาจารย์ลุง!” จั่วม่อไม่กล้าเฉื่อยชา แม้ว่าทั้งร่างจะเจ็บร้าวไปทั่ว แต่ยังรีบค้อมกายทักทาย

หยานเล่อเห็นปลอกแขนบนท่อนแขนของจั่วม่อ แล้วพลันนึกถึงสวี่อี้ที่สวนทางกันนอกหุบเขา มันอดก่นด่าอยู่ในใจไม่ได้ เจ้าเด็กบ้าสวี่อี้ปกติสุภาพเรียบร้อย แต่ไฉนฝีเท้าว่องไวปานนี้? ถึงกับกล้าตัดหน้าข้าเชียวหรือ

“เมื่อสักครู่ข้าพบศิษย์พี่สวี่อี้ของเจ้า มันสมควรมาสั่งซื้อเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรของเจ้ากระมัง”

“ฮะ อาจารย์ลุงทราบได้อย่างไร?” ในเหล่าผู้อาวุโส ผู้ที่จั่วม่อรู้สึกสนิทใจด้วยที่สุดคืออาจารย์ลุงหยานเล่อเอง

“ฮาฮา มันต้องการซื้อจำนวนเท่าใด?” หยานเล่อไม่ตอบแต่กลับย้อนถาม

“หนึ่งร้อยเม็ด”

อย่างที่คาดไว้เชียว เหมือนกับศิษย์พี่รองไม่มีผิด ลงมือเพียงหนึ่งกระบวนท่าแต่ร้ายกาจมาก! หยานเล่อสบถในใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้ามันยิ่งชวนสนิทสนมกว่าเดิม “อาจารย์ลุงมาวันนี้ก็เพราะเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรเช่นเดียวกัน”

จั่วม่อผู้ที่สติสัมปชัญญะเพิ่งกลับมาสู่ร่าง ทันใดนั้นก็นิ่งงันไป

“เม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรของเจ้าใช่มีแก่นสารดวงอาทิตย์ผสมรวมอยู่ด้วยหรือไม่?” หยานเล่อถามพลางจ้องเขม็ง

“ใช่แล้วอาจารย์ลุง” จั่วม่อพยักหน้าทื่อๆ

หยานเล่อปรบมือชมเชยว่า “ยอดเยี่ยมดังคาด!” จั่วม่อชักหวาดผวาขึ้นมาจริงๆ แล้ว ด้วยจิตใจอันสับสน สุดท้ายอดถามไม่ได้ว่า “จนถึงตอนนี้ศิษย์ก็ยังไม่เข้าใจ อาจารย์ลุง ที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”

“เฮะเฮะ ศิษย์หลานไม่ต้องร้อนใจ ข้าจะบอกเจ้าทั้งหมด” ยามนี้เองหยานเล่อค่อยเล่าถึงผลการวิเคราะห์ของเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรจากสมาคมโอสถปราณ

แหล่งกำเนิดไฟ?

จั่วม่อเคยอ่านผ่านตามาบ้าง ไม่ว่าจะเป็นวิชาหลอมสร้างยุทธภัณฑ์หรือหลอมกลั่นโอสถ ตราบเท่าที่ยังเป็นวิธีการหลอมกลั่นด้วยไฟ ก็จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งกำเนิดไฟ นี่ก็คือชนิดหนึ่งของเพลิงแห่งใจที่มันเคยคิดฝันถึงในตอนเริ่มแรกหลอมสร้างนั่นเอง ยิ่งเป็นแหล่งกำเนิดไฟชั้นสูงและหายากมากเท่าใด ในระหว่างกระบวนการหลอมกลั่นยิ่งช่วยเหลืออำนวยความสะดวกได้มากเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เชี่ยวชาญการหลอมสร้างหรือหลอมกลั่น แหล่งกำเนิดไฟมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ

จั่วม่อในที่สุดก็เข้าใจกระจ่าง

ไฟอีกาทองคำคืออะไร เรื่องนี้จั่วม่อยังไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่หากเป็นจริงตามที่อาจารย์ลุงหยานเล่อกล่าว ว่ากระทั่งในหมู่ไฟระดับสี่มันยังถือว่ายอดเยี่ยม... จั่วม่อพลันตระหนักในทันทีถึงคุณค่าของเม็ดยาที่มันหลอมกลั่นขึ้นมา ไฟอีกาทองคำเป็นเป้าหมายในฝันของผู้ฝึกตนสายหลอมกลั่นโอสถและหลอมสร้างยุทธภัณฑ์ทั้งปวง!

หยานเล่อลอบสังเกตดวงตาของจั่วม่อ น่าเสียดายที่จั่วม่อมีใบหน้าราวกับผีดิบ ไม่มีสิ่งใดที่สามารถสังเกตพบ

“ท่านเจ้าสำนักเพียงหวังว่า เราจะสามารถได้รับสิทธิ์ในการขายเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรแต่เพียงผู้เดียวจากศิษย์หลาน เรื่องราคาก็ไม่ต้องกังวล ศิษย์หลาน เราจะใช้ราคาตามท้องตลาด” หยานเล่อจ้องมองจั่วม่อพลางอธิบายด้วยน้ำเสียงสบายๆ

สิทธิ์ในการขายแต่เพียงผู้เดียว?

จั่วม่อพยักหน้าโดยไม่ลังเล “นี่ไม่มีปัญหา” สำหรับกับมัน ให้ผู้ใดขายก็เหมือนกัน แต่ในเมื่อรากฐานของมันอยู่ในสำนัก หากมันมอบสิทธิ์ในการขายแต่เพียงผู้เดียวให้แก่สำนัก สำนักย่อมตอบแทนมันอย่างเท่าเทียมกัน ในด้านนี้ท่านเจ้าสำนักยุติธรรมเสมอมา จั่วม่อเชื่อมั่นใจมากในเรื่องนี้

หยานเล่อพออกพอใจกับคำตอบของจั่วม่อมาก มันคิดในใจ จั่วม่ออาจมีอัตลักษณ์กับอดีตไม่ชัดเจน แต่มันจงรักภักดีต่อสำนักอย่างยิ่ง

สีหน้าท่าทีมันยิ่งชวนสนิทสนมมากกว่าเดิม “ประเสริฐ ไม่ต้องกังวล เราจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรม นอกเหนือจากราคาตามท้องตลาดแล้ว เม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรแต่ละเม็ดจะได้รับแต้มคุณูปการเป็นสองเท่า และหากเจ้าสนใจฝึกปรือเคล็ดวิชากระบี่ ต่อไปเคล็ดวิชาลับของสำนักดังเช่นเคล็ดกระบี่ไร้ลักษณ์ เคล็ดกระบี่เวิ้งว้าง หรือเคล็ดวิชากระบี่ระดับสี่อื่นๆ ล้วนสามารถมอบให้แก่เจ้า อย่าได้ผิดต่อความคาดหวังที่สำนักมีต่อเจ้า อ้อ ใช่แล้ว นามเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรฟังขัดหูเกินไป ต่อไปจะเปลี่ยนเป็นเม็ดยาอีกาทองคำ”

กล่าวจบ มันหยิบเสื้อเกราะอ่อนสีน้ำเงินออกมาส่งให้จั่วม่อ “นี่คือเกราะปราณวารีอมตะระดับสอง ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากอาจารย์ลุง หากเจ้าสวมใส่ สามารถเพิ่มการป้องกันเล็กน้อย”

จั่วม่อรีบประสานมือคำนับขอบคุณ

“ศิษย์หลานต้องรีบหลอมกลั่นบางส่วนโดยเร็ว” หยานเล่อสีหน้าหนักใจ “ตอนนี้ศิษย์พี่หญิงของเจ้าถูกผู้คนล้อมกรอบไว้แน่นหนา ไม่สามารถออกมาได้ มีเพียงขายเม็ดยาออกไปบ้างจึงจะทำให้พวกมันสงบลงได้”

หยานเล่ออดเลื่อมใสสายตาของของศิษย์พี่เจ้าสำนักไม่ได้ หากพวกมันไม่ยอมขายเม็ดยาออกไปจริงๆ อาจเป็นไปได้ว่าร้านค้าเล็กๆ ในตงฝูของพวกมันคงไม่แคล้วถูกผู้คนรื้อทิ้ง สำนักกระบี่สุญตาย่อมจะกลายเป็นที่รู้จักของทุกผู้คน ถึงเวลานั้น คงพูดยากว่าพวกมันยังจะสามารถเก็บจั่วม่อไว้ได้หรือไม่

จั่วม่อใจหายวาบ มันไม่คิดว่าเรื่องราวจะลุกลามออกไปเช่นนี้ รีบรับคำ “อาจารย์ลุงไม่ต้องห่วง ศิษย์จะรีบหลอมกลั่นสักชุดหนึ่งในทันที” ไม่ต้องกล่าวถึงอื่นใด หากหลี่อิงฟ่งกำลังเดือดร้อน มันย่อมไม่สามารถเพิกเฉย

หยานเล่อพยักหน้าอย่างพออกพอใจ และหลังจากให้คำแนะนำบางอย่างอีกสองสามคำ มันค่อยจากไป

จั่วม่อคล้ายในที่สุดค่อยตื่นขึ้นมา ดวงตาเบิกกว้าง หัวใจเต้นระรัวอย่างตื่นเต้น!

ตรวจสอบเกราะปราณวารีอมตะในมืออย่างกระหายใคร่รู้ นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้ยลเกราะปราณ ในความอยากรู้อยากเห็นมันประจุพลังปราณลงไป เกราะปราณวารีอมตะจู่ๆ ก็แปลงเป็นกลุ่มก้อนน้ำสีน้ำเงินไต่ขึ้นไปบนแขนมัน จากนั้นปกคลุมทั่วร่างในพริบตา มันสามารถรู้สึกถึงสายสัมพันธ์ระหว่างมันกับเกราะปราณตัวนี้ได้อย่างชัดเจน

นี่... นี่มันกำลังจะร่ำรวยกระมัง?

จั่วม่อเหม่อมองเกราะปราณวารีอมตะบนร่างอย่างโง่งม ยังคงมีร่องรอยของความไม่อยากจะเชื่ออยู่ในดวงตา

 

เฟซบุ๊คแฟนเพจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด