บทที่ 9 การหลอมสร้าง
ศิษย์พี่สวี่อี้อธิบายเรื่องหลอมสร้างไว้ละเอียดมาก จอบกระตุ้นปราณ คือสิ่งที่หลอมสร้างง่ายดายที่สุดในยุทธภัณฑ์เวททั้งมวล แต่จะเรียกมันว่ายุทธภัณฑ์เวท ก็ออกจะเป็นการกล่าวเกินเลยไปบ้าง มันไม่มีคุณสมบัติกระทั่งจะเป็นยุทธภัณฑ์เวทระดับแรก แต่สำหรับจั่วม่อ ผู้ไร้ประสบการณ์หลอมสร้างโดยสิ้นเชิงแล้ว เพียงแค่จอบกระตุ้นปราณยังสามารถก่อปัญหาให้แก่มันไม่รู้จบ
ยกตัวอย่างเช่น ก้อนสัมฤทธิ์ต้องผ่านการตีขึ้นรูปเป็นใบจอบ นี่เป็นบททดสอบความสามารถของจั่วม่อครั้งสำคัญ โชคยังดีที่สัมฤทธิ์ไม่แข็งนัก หลังจากกระหน่ำตีอยู่ร่วมสองชั่วยาม มันก็สามารถขึ้นรูปใบจอบได้สำเร็จ
หลังจากนั้น จึงสลักผังค่ายกลเวทลงบนใบจอบสัมฤทธิ์ ค่ายกลเวทสำหรับจอบกระตุ้นปราณก็ยังเรียบง่ายสามัญมาก [สายฟ้า]หนึ่งในแปดค่ายกลเวทพื้นฐาน ผู้ฝึกตนหลายคนล้วนคุ้นเคยกันดี กระทั่งจั่วม่อเองยังรู้จักค่ายกลเวทชนิดนี้ แต่มันกังวลเกี่ยวกับวิธีการแกะสลัก
จั่วม่อถือมีดแกะสลักในมือขวา ขณะที่แกะสลักค่ายกลเวท[สายฟ้า] อย่างระมัดระวัง มันไม่เคยใช้มีดแกะสลักมาก่อน มักจะผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อเกิดผิดพลาดขึ้นมา มันจะต้องลบทุกอย่าง และเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น
หลังจากล้มเหลวไปเจ็ดแปดหน จั่วม่อสุดท้ายค่อยแกะสลักค่ายกลเวทของมันสำเร็จ
มองไปยังพื้นผิวของใบจอบสัมฤทธิ์ ที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายค่ายกลเวท หัวใจของจั่วม่อเต็มไปด้วยความรู้สึกของความสำเร็จ ในเวลานี้พลังฝึกตนของมันต่ำต้อยเกินไป มันสามารถใช้ได้เพียงแค่มีดแกะสลัก ซึ่งเป็นเครื่องมือขั้นพื้นฐานที่สุด
หากพลังฝึกตนของมันสูงขึ้น มันสามารถใช้เพลิงแห่งใจในการหลอมสร้าง และขึ้นรูปได้โดยใช้ความคิดของมันเป็นตัวกำหนด ในทำนองเดียวกัน เนื่องจากพลังฝึกตนอันต่ำต้อยของมัน ดังนั้นได้แต่สร้างจอบ กับจารึกค่ายกลเวทอันธรรมดาสามัญเช่นนี้เอง
หากพลังฝึกตนของมันสูงกว่านี้ มันย่อมสามารถจัดการกับกระบี่บิน จัดตั้งอาคมหวงห้ามร้อยชั้น ทำลายสวรรค์ และครอบครองอำนาจเหนือโลก!
แต่สำหรับจั่วม่อในยามนี้ นี่ก็เป็นขีดจำกัดสูงสุดของมันแล้ว
มันหน้าบิดเบี้ยว ขณะที่หยิบจิงสือระดับสองออกมาหนึ่งชิ้น และฝังไว้ตรงใจกลางของค่ายกลเวทบนใบจอบ
จอบสัมฤทธิ์พลันสว่างจ้า คลื่นแสงกระเพื่อมผ่านใบจอบเป็นระลอก ลวดลายแกะสลัก ทันใดนั้นก็เปลี่ยนเป็นเรียบเนียนเหมือนไม่เคยมีริ้วรอยมาก่อน ถึงตอนนี้จั่วม่อค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก จอบกระตุ้นปราณสำเร็จลุล่วงไปแล้วครึ่งหนึ่ง จนถึงขั้นตอนนี้ มันยังคงประสบความสำเร็จอย่างมาก
จอบสัมฤทธิ์อ่อนเกินไป โค้งงอเสียรูปทรงได้ง่าย และจะทำให้โครงสร้างของค่ายกลเวทถูกทำลาย ดังนั้นขั้นตอนต่อไป คือการใช้แร่โลหะเพลิงเพื่อเสริมโครงสร้าง และเพิ่มความแข็งของมัน เมื่อถือแร่โลหะเพลิงสีแดงเข้มอยู่ในมือ จั่วม่อรู้สึกถึงความอบอุ่นที่กระจายออกมาได้อย่างชัดเจน
ครั้นวางแร่โลหะเพลิงไว้บนใบจอบสัมฤทธิ์ จั่วม่อหวนนึกถึงวิธีการหลอมสร้าง ที่ศิษย์พี่สวี่อี้เคยสั่งสอน จุดสำคัญของขั้นตอนนี้ คือการหลอมแร่โลหะเพลิงจนเป็นของเหลว และปล่อยให้มันซึมซาบเข้าไปในใบจอบสัมฤทธิ์
หากมันมีเพลิงแห่งใจ ขั้นตอนนี้ย่อมง่ายดายยิ่ง แต่สำหรับจั่วม่อ ได้แต่พึ่งพาเวทวิชาพิเศษสองสามชนิด
จั่วม่อโคจรพลังปราณไปทั่วร่าง มือขยับวูบวาบร่ายรำประหนึ่งบุปผาบาน พลังปราณก็แปรเปลี่ยนไปตามกระบวนท่าดัชนี มือทั้งคู่ปกคลุมด้วยชั้นแสงสีแดง
“ไป!”
สองมือของมันพลันพลิกจี้ลง แสงสีแดงพวยพุ่งออกไป กระทบใส่จอบสัมฤทธิ์กับแร่โลหะเพลิง
แร่โลหะเพลิงทั้งก้อนกลับกลายเป็นสีแดงก่ำ จากนั้นโลหะหลอมเหลวสีแดงเข้มก็ค่อย ๆ ซึมเข้าสู่จอบสัมฤทธิ์ จอบสัมฤทธิ์เป็นเหมือนฟองน้ำ เมื่อโลหะหลอมเหลวสัมผัสถูกมัน มันก็ดูดกลืนจนเกลี้ยงฉาด ไม่เหลือแม้สักหยด สีสันของจอบสัมฤทธิ์แปรเปลี่ยนไปอย่างเงียบเชียบ ร่องรอยสีแดงเข้มปรากฏขึ้นบนใบจอบสัมฤทธิ์
จั่วม่อหยิบใบจอบขึ้นมา ใบจอบหนักอึ้งกว่าตอนแรก มันลองงอนิ้วดีดใส่ พลันบังเกิดเสียงใสกระจ่างดังกังวาน เห็นได้ชัดว่าคุณภาพดีขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ทั้งยังแข็งแรงทนทานเป็นพิเศษ
ต่อมามันค่อยนำด้ามไม้สนมาประกอบเข้ากับใบจอบ จอบกระตุ้นปราณก็แล้วเสร็จอย่างสมบูรณ์
จั่วม่อคว้าจอบ รีบวิ่งไปยังทุ่งนาปราณอย่างตื่นเต้นยินดี มันต้องการทดลองใช้พลังของจอบกระตุ้นปราณในทันที
พริบตาที่จอบสับลงไปในดิน ทีแรกจอบสะเทือนเล็กน้อย จากนั้นค่อยกลายเป็นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จั่วม่อนั่งลงตรวจสอบสภาพทุ่งนาปราณ แล้วอดดวงตาแวววับด้วยความเบิกบานใจมิได้
จอบกระตุ้นปราณสมกับที่ถูกเรียกว่า ยุทธภัณฑ์เวทที่จำเป็นสำหรับเกษตรกร!
พลังปราณธรรมชาติในดินตรงจุดที่ถูกจอบสับลง เห็นได้ชัดว่าแตกต่างจากรอบข้าง พลังปราณธรรมชาติในบริเวณอื่น ทั้งกระจัดกระจายและไม่สม่ำเสมอ ทั้งยุ่งเหยิงและติดขัด แต่ตรงจุดที่จอบสับลง ปราณธรรมชาติเพิ่มพูนขึ้น และกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ ทั่วถึงทั้งบริเวณ กับพลังปราณธรรมชาติอันอิสระเสรีนี้ ต้นข้าวสามารถดูดซึมได้อย่างสะดวกดาย
สิ่งที่ดี!
จั่วม่อพลันฉุกใจคิด ทันใดนั้นจอบก็เหินลิ่ว ภายใต้พลังปราณควบคุมจอบ(?) ทุ่งนาปราณห้าหมู่ที่ข้างบ้านมันก็ถูกพรวนเสร็จสิ้นในไม่ช้า
จากนั้น จั่วม่อพิงร่างกับจอบกระตุ้นปราณ หอบหายใจราวกับวัว หน้าซีดเผือด มันตื่นเต้นเกินไปจนลืมเลือนเสียสนิท ว่าจอบกระตุ้นปราณนั้นมีน้ำหนักไม่น้อย สำหรับกับร่างผอม ๆ ของมัน นับว่าต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลทีเดียว
แต่กระทั่งในสภาพเหน็ดเหนื่อยปางตาย มันยังไม่สามารถปิดบังความปิติยินดีในใจได้ การประสบความสำเร็จในการหลอมสร้างยุทธภัณฑ์เวท ตั้งแต่ครั้งแรก ความสุขสำราญบานใจนี้ ยากจะบ่งบอกบรรยายอย่างแท้จริง
ทุ่งนาปราณห้าหมู่ข้างบ้านของจั่วม่อ มันทั้งใช้เคล็ดปราณทองคำคร่ำคร่า กำจัดศัตรูพืชทั้งมวล ใช้เคล็ดเมฆฝนหล่นรินขั้นที่สี่เพื่อรดน้ำ สุดท้ายยังใช้จอบกระตุ้นปราณ ช่วยคลายและย่อยปราณธรรมชาติในดิน ต่อให้นับดูทั้งสำนัก เกรงว่าไม่มีผู้ใดดูแลข้าวปราณอย่างพิถีพิถันเช่นนี้อีกแล้ว มันเองเป็นผู้ที่อยากทราบมากที่สุด ว่าผลผลิตของทุ่งนาปราณห้าหมู่นี้ จะเพิ่มมากขึ้นเพียงใดในปีนี้
ด้วยพลังฝึกตนด่านเลี่ยนชี่ขั้นที่แปด พลังปราณของมันสามารถปล่อยออกรั้งเข้าได้ตามใจปรารถนา หากผลผลิตของพื้นที่ห้าหมู่นี้เพิ่มขึ้นมาก มันสามารถใช้วิธีดูแลรักษา และเอาใจใส่เช่นนี้ในพื้นที่ทุ่งนาปราณห้าสิบหมู่ ที่เช่าจากสำนัก จากนั้นมันก็จะร่ำรวย และกลายเป็นผู้ที่มั่งคั่งที่สุด ในบรรดาศิษย์ฝ่ายนอกทั้งหมด
นี่ทำให้หัวใจมันเต้นเร็ว ไม่มีสิ่งใดจะจริงแท้แน่นอน ยิ่งไปกว่าข้าวปราณกับจิงสืออีกแล้ว!
การหลอมสร้างอุปกรณ์ครั้งแรกประสบความสำเร็จด้วยดี ทำให้จั่วม่อรู้สึกมีกำลังใจมากยิ่งขึ้น เคราะห์หามยามร้ายที่เพิ่งประสบมาไม่นาน เหมือนถูกกวาดล้างออกไปจนหมดสิ้น มันเริ่มสร้างความคุ้นเคยกับเวทวิชาอีกสามชนิด ที่เหลือในม้วนคัมภีร์หยก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง [เคล็ดสารพันพฤกษ์]
ทั้งสามเวทวิชาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง [เคล็ดอัคคีสีชาด] ใช้เพื่อบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์พืช ทำให้งอกเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนั้นแล้ว ยังช่วยรวบรวมและสั่งสมแก่นสารของแสงอาทิตย์ เหมาะสมที่สุดสำหรับพืชปราณประเภทหยาง (ร้อนแรง)
[เคล็ดปราณพิภพ] สามารถรวบรวมและสะสมพลังปราณแห่งพื้นปฐพี มันเหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับเร่งการเจริญงอกงาม ของพืชปราณประเภทหยิน(หยุ่นเยียบ)บางชนิด
ส่วน [เคล็ดสารพันพฤกษ์] กับ [เคล็ดเมฆฝนหล่นริน] นั้นคล้ายคลึงกัน มันไม่หยินไม่หยาง แต่ [เคล็ดสารพันพฤกษ์] มีอำนาจเหนือล้ำกว่า [เคล็ดเมฆฝนหล่นริน] เพราะมันสามารถสกัดแก่นสารจากพืชชนิดอื่น และนำมาหล่อเลี้ยงบำรุงการเจริญงอกงามให้ข้าวปราณ หรืออาจกล่าวได้ว่าหลักการสำคัญของ [เคล็ดสารพันพฤกษ์]คือการปล้นสะดม ช่วงชิงแก่นสารของวัชพืชอื่น เพื่อบำรุงตัวเอง
จั่วม่อทราบว่าต้องระมัดระวังยิ่ง หากใช้ [เคล็ดสารพันพฤกษ์] แม้ว่าเทือกเขาสุญตาจะปกคลุมไปด้วยป่าไม้ แต่หากมันไม่ระวัง เกรงว่ากระทั่งต้นไม้เก่าแก่ทั้งหลาย คงไม่อาจมีต้นใดเหลือรอด
จั่วม่อจะตื่นตัวและรอบคอบทุกครั้ง ยามฝึกฝนเคล็ดสารพันพฤกษ์ มันหวั่นเกรงว่าจะเผลอทำลายต้นไม้โบราณบนภูเขา ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ต้นไม้โบราณจะเติบโตและอยู่รอดมาได้ พวกมันยืนหยัดมานานนับพันปี กว่าจะใหญ่โตโอฬารดังเช่นปัจจุบัน แม้ว่าจะไม่มีกฎชัดเจนในสำนัก แต่หากมันทำให้ต้นไม้โบราณทั้งหมดเหี่ยวแห้งตาย แน่นอนว่าสิ่งที่รอมันอยู่ ย่อมไม่มีทางเป็นเรื่องดีงามอันใด
แสงตะวันสาดทอทั่วผืนป่า ส่องลอดลงมาตามช่องว่างของกิ่งใบ ก่อเกิดเป็นแสงเงากระจัดกระจายน่าพิศวง สภาพภูมิอากาศของเทือกเขาสุญตางดงามมาแต่เดิม ทั้งแห้งเย็นและน่ารื่นรมย์ สายลมหนาวที่พัดผ่านราวป่า ไม่มีร่องรอยของความชื้นปะปน บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัด ที่นี่ค่อนข้างห่างไกล นอกจากจั่วม่อแล้ว แทบไม่มีผู้ใดมาเยือน
จั่วม่อสงบจิตใจ เริ่มโคจรพลังปราณ สองมือเคลื่อนไหวแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว แต่คล้ายยังขัดเขินอยู่บ้าง นี่ย่อมเป็นเคล็ดสารพันพฤกษ์
เริ่มแรกมันสะดุดติดขัดหลายหน แต่พอนานไป การเคลื่อนไหวสองมือค่อยกลับกลายเป็นราบรื่นขึ้น สิบนิ้วรวดเร็วจนดูเลือนราง ประดุจบุปผาบานสะพรั่ง ดอกแล้ว ดอกเล่า ไม่มีที่สิ้นสุด ทุกครั้งที่นิ้วมือแปรเปลี่ยน จะบังเกิดคลื่นลมปราณในอากาศ กระเพื่อมกระจายออกเป็นวง
สิ่งที่ตามมากับระลอกคลื่นพลังปราณ เป็นเส้นใยแสงสีเขียวลอยออกจากเหล่าต้นไม้ มาบรรจบกันที่กลางฝ่ามือของจั่วม่อ
เพียงชั่วครู่เท่านั้น แสงสีเขียวสว่างไสวขึ้น จั่วม่อหยุดกระบวนท่าเวทวิชา ลูกปัดสีเขียวเล็ก ๆ ลูกหนึ่งกลิ้งลงในฝ่ามือ มันคือแก่นสารของเหล่าต้นไม้ ที่ควบรวมกลายเป็นลูกปัด จั่วม่อกำรวบลูกปัดไว้ พลางตรวจดูต้นไม้โบราณรอบข้าง เห็นใบที่เคยอิ่มเอิบเปล่งปลั่ง กลับกลายเป็นสลัวมัวมนลงไม่น้อย บางใบกระทั่งแสดงอาการเหี่ยวเฉาออกมา
จั่วม่อหยิบม้วนหยกออกมาจากอกเสื้อ บนม้วนหยกบันทึกแผนที่สภาพภูมิประเทศทั่วไปของเทือกเขาสุญตา นี่มันเป็นม้วนหยกที่มันเสียเวลาจัดทำไปไม่น้อย
มันค้นหาในม้วนหยก พอหาตำแหน่งปัจจุบันพบในแผนที่ ก็ทำเครื่องหมายไว้ ครั้งหน้ามันจะต้องเปลี่ยนสถานที่ บริเวณนี้สมควรต้องใช้เวลาอีกนาน ในการฟื้นฟูสภาพเดิม
กระทั่งจั่วม่อยังตื่นตะลึง กับพลังอำนาจอันเหนือล้ำของเคล็ดสารพันพฤกษ์ นี่เพียงแค่ขั้นแรก มันยังสามารถขโมยพลังชีวิตจากเหล่าต้นไม้ได้อย่างง่ายดาย หากบรรลุขั้นสูงกว่านี้ มิทราบจะกลายเป็นลักษณะเช่นไร?
จากนั้นจั่วม่อเก็บลูกปัดแก่นสารพืชใส่อกเสื้ออย่างระมัดระวัง และพร้อมจะจากไป
ลูกปัดแก่นสารพืช จำเป็นต้องปลดปล่อยสู่ทุ่งนาปราณภายในสามชั่วยาม โดยใช้วิธีการพิเศษเฉพาะของเคล็ดสารพันพฤกษ์ หากปล่อยไว้นานเกินกว่านั้น มันจะค่อย ๆ กระจายหายไป
ออกมาพ้นจากแนวป่า มันเดินไปตามเส้นทางภูเขา มุ่งหน้ากลับไปยังบ้านของมัน
ทันใดนั้น พลันได้ยินเสียงร่ำไห้ของอิสตรี
สตรี?
แน่นอนว่า อย่าว่าแต่จะหยุดดู จั่วม่อไม่ได้ผ่อนฝีเท้าลงด้วยซ้ำ แต่พอมันเดินรุดหน้าต่อ มิคาดเสียงสะอื้นร่ำไห้กลับยิ่งดังขึ้น
ศิษย์สตรีของสำนัก ส่วนใหญ่อยู่ที่คอกสัตว์ รับผิดชอบหน้าที่เลี้ยงสัตว์ปราณ จั่วม่อไม่เคยคบหาสมาคมกับพวกนาง อีกทั้งมันไม่ต้องการเพิ่มปัญหา ดังนั้นเตรียมจะอ้อมทางไป
ทันใดนั้น ไม่เพียงได้ยินเสียงร่ำไห้ของศิษย์สตรีนั้น นางยังพึมพำคร่ำครวญ “ฮือ ฮืออออ ท่านแม่... ...”
จั่วม่อชะงักเท้ากึก ส่วนที่นุ่มนวลสักแห่งในหัวใจ คล้ายถูกกระแทกอย่างรุนแรงอยู่บ้าง
ท่านแม่... ...
ความคุ้นเคยอันแปลกประหลาดพลุ่งขึ้นในหัวใจมันอีกครั้ง.
บัดซบ! มันก่นด่าในใจ มันเกลียดความรู้สึกนี้ ทุกครั้งที่ความคุ้นเคยอันแปลกประหลาดปรากฏขึ้น หัวใจมันคล้ายตีบตัน อึดอัดขัดข้องอย่างบอกไม่ถูก ก่นด่าก็ได้เพียงแค่ก่นด่า แต่ความคิดในหัวมันยังคงปั่นป่วน สับสนจนควบคุมไม่อยู่
ข้าคือผู้ใด? บ้านเกิดเมืองนอนข้าอยู่ที่ใด? แล้วมารดาข้าเล่า?
จั่วม่อทั้งหงุดหงิด ทั้งไม่เต็มใจ ขณะที่สองเท้าพามันมุ่งหน้าไปยังเสียงร่ำไห้ตามสัญชาตญาณ
เดินเข้าไปเพียงไม่กี่ก้าว มันเห็นศิษย์สตรีผู้หนึ่งขดตัวอยู่หลังก้อนหิน ใบหน้ารูปผลผิงกว่อ(แอปเปิ้ล) ปกคลุมด้วยน้ำตา ลักษณะท่าทางน่าเวทนายิ่ง นางขดตัวเหมือนลูกแมว ไหล่สั่นเป็นระลอกด้วยแรงสะอื้น
“ร่ำไห้ด้วยเหตุใด เหตุใดจึงร่ำไห้? ช่างน่ารำคาญนัก!” จั่วม่อดุอย่างอารมณ์เสีย พลางกระแทกนั่งลง
ผู้อื่นคล้ายแมวที่ตื่นกลัว นางผวาถอยหลัง แต่เมื่อนางพบเห็นชุดศิษย์ฝ่ายนอกบนร่างจั่วม่อ ความหวาดหวั่นในดวงตาค่อยจางลงบ้าง ด้วยเสียงเจือสะอื้น นางกล่าวอย่างขลาดกลัว “ขออภัย ศิษย์พี่... ...”
ได้ยินเสียงขลาดเขลาของผู้อื่น จั่วม่ออารมณ์เสียมากขึ้น “ขอโทษผายลมอันใด เจ้าร่ำไห้มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้า แต่มันน่ารำคาญเหลือเกิน” มันค่อยรู้สึกตัวว่าท่าทีของตนรุนแรงเกินไป พยายามสะกดข่มความหงุดหงิดในใจ แล้วถามอย่างอดกลั้น “กล่าวมา เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“ไม่มีอันใด... ...” ผู้อื่นตอบด้วยเสียงเบาหวิวราวกับเสียงยุง
จั่วม่อไฟโทสะลุกฮือในใจ เสียงมันยกระดับขึ้นในฉับพลัน และขัดจังหวะอย่างใจร้อน “ข้าบอกให้เจ้าพูด!”
แม่นางน้อยเห็นได้ชัดว่าหวาดผวาต่อมัน ศิษย์พี่หน้าท่อนไม้ผู้นี้น่ากลัวยิ่ง! นางชะงักเสียงร่ำไห้ พลางตอบตามสัญชาตญาณ “หญ้ากระบี่เขียวไม่เพียงพอให้อาเป่ากิน แล้วก็ยังผู้อื่นด้วย”
(อาเป่า- คำว่า อา มักใช้เรียกคนที่รักใคร่หรือสนิทสนม เป่าแปลว่าสมบัติ)
“อาเป่าคือผู้ใด?” จั่วม่อถามพลางจ้องนางเขม็ง
“อาเป่า... ... อาเป่าก็คืออาเป่า มันต้องกินหญ้ากระบี่เขียวทุกวัน ฮือ ฮือ แต่ไม่มีหญ้ากระบี่เขียวพอให้มันกินแล้ว... ...” กล่าวไปกล่าวมา นางก็เริ่มร่ำไห้อีกครั้ง
“หยุดปาก!” จั่วม่อตวาดอย่างไม่เป็นมิตร แม่นางน้อยสะท้านขึ้น ร่างนางถอยร่นไปโดยสัญชาตญาณ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสียงร่ำไห้ชะงักขาดหายในทันที
มองไปยังแม่นางน้อยผู้สับสนผู้นี้ จั่วม่อนวดขมับ ชักจะเริ่มปวดหัวขึ้นมา แม้ว่ามันไม่มีหน้าที่ในคอกสัตว์ แต่อย่างน้อยก็ยังทราบหลักการพื้นฐาน ปริมาณของหญ้าปราณที่สัตว์ปราณต้องการ ปกติไม่ควรผันผวนแตกต่างกันมากนักในแต่ละวัน อีกทั้งสำนักยังมีทุ่งปราณเฉพาะ สำหรับปลูกหญ้าปราณเหล่านี้
หากเทียบกับข้าวปราณแล้ว หญ้าปราณนั้นทั้งเพาะปลูกง่าย และดูแลง่ายมาก ดังนั้นมอบให้ศิษย์สตรีที่มีหน้าที่เลี้ยงสัตว์ปราณ เป็นผู้ดูแลไปด้วย
เกิดปัญหาอันใดขึ้นกับทุ่งหญ้าปราณ?
“ที่แท้เกิดเรื่องอันใด เจ้าสามารถบ่งบอกรายละเอียดแบบเป็นผู้เป็นคน มากกว่านี้หรือไม่?”