บทที่ 7 เหยียจะรอเจ้า
(เหยีย – ปู่, ท่านปู่ผู้นี้, เป็นคำที่มักใช้เรียกแทนตัวเอง เพื่อกวนโทสะฝ่ายตรงข้าม)
ครั้นถอยออกจากฌาน พลังกายพลังใจของจั่วม่อล้วนฟื้นคืนอย่างสมบูรณ์ ร่างของมันรู้สึกเบาขึ้น ทั้งสุขสบายอย่างยิ่ง
เดินออกมาจากห้องสันโดษ มันคว้าอินกุย พลางกระโดดขึ้นบนหลังคา
จั่วม่อเหยียดมือออก จิตเคลื่อนตามหลักเคล็ดวิชา แสงสีทองจาง ๆ ของปราณทองคำคร่ำคร่าปรากฏขึ้นในพริบตา โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม จั่วม่อสุขสำราญบานใจยิ่ง มันนับว่าไม่ได้เสี่ยงชีวิตฟันฝ่าอุปสรรคโดยสูญเปล่า เนื่องจากความสามารถในการควบคุมปราณทองคำคร่ำคร่า รุดหน้าไปอย่างเห็นได้ชัด
พลังปราณทองคำคร่ำคร่ารอบดัชนีของมัน พลันบิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว แล้วหยุดชะงัก กลับกลายเป็นเม็ดทรายทองอันเปล่งประกายดุจดวงดาวจุดหนึ่ง ดูน่าหลงใหลภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี
ความคิดหนึ่งวาบขึ้นมาดุจสายฟ้า เคล็ดปราณทองคำคร่ำคร่าที่แท้เป็นเวทวิชาที่ใช้โจมตีหรือไม่?
การต่อสู้เล็ก ๆ แต่ดุเดือดรุนแรงอย่างน่าประหลาดหนนี้ จุดประกายให้มันเริ่มมีความคิดเช่นนี้
ด้วยความรู้ความเข้าใจเรื่องเกษตรกรปราณของมัน โดยทั่วไปเกษตรกรปราณไม่ใช่สายอาชีพที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ จั่วม่อไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่ามีเกษตรกรปราณที่มีฝีมือในการสู้รบด้วย นอกจากนี้ มันยังไม่ใช่คนเดียวในสำนักที่ฝึกเคล็ดปราณทองครำคร่ำคร่า ต่างคนต่างมีพรสรรค์ที่แตกต่างกันไป หากจั่วม่อสามารถฝึกฝนจนบรรลุขั้นที่สามของเคล็ดเมฆฝนหล่นรินได้ ย่อมเป็นธรรมดา หากจะมีผู้ที่เก่งกาจในเวทวิชาอื่นด้วยเช่นกัน
ในหมู่ศิษย์ฝ่ายนอก มีศิษย์พี่ผู้หนึ่งสำเร็จเคล็ดปราณทองคำคร่ำคร่าถึงขั้นที่สอง และไม่ใช่เพียงปราณทองคำคร่ำคร่า ผู้อื่นยังฝึกฝนเคล็ดสารพันพฤกษ์, เคล็ดปราณพิภพ และเคล็ดอัคคีสีชาดอีกด้วย เพียงแต่ว่าพวกมันไม่ได้บรรลุถึงขั้นสูงเท่านั้น
หรือเป็นมันเอง ที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับปราณทองคำคร่ำคร่า?
คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา ไม่ยอมหายไป
แต่อย่างรวดเร็ว มันไม่ต้องการนึกถึงปัญหานี้อีก จั่วม่อหยิบอินกุยขึ้นมา ประจุพลังปราณเข้าไป และวางลงที่ข้างตัว
มันนอนหนุนท่อนแขน มองไปยังฟ้ากว้าง หัวใจค่อยสงบลงช้า ๆ สายลมยามค่ำอันฉ่ำเย็นพัดโชยชาย ความรื่นรมย์เช่นนี้มิอาจบรรยายเป็นถ้อยวาจาได้ ท่ามกลางเสียงรายงานข่าวที่ออกอากาศอย่างต่อเนื่อง จั่วม่อค่อย ๆ หลับไปอย่างสงบสุข
-----------------------------
วันต่อมา มันมุ่งหน้าไปเสกเรียกฝนให้สวนยาปราณ แล้วค่อยสะสางงานเรียกฝนที่สัญญาไว้กับเหล่าศิษย์คนอื่น ๆ ก่อนจะกลับมายังบ้านของตน
ครั้นเดินผ่านทุ่งนาปราณ จั่วม่อชะงัก มองไปยังทิวแถวอันเป็นระเบียบเรียบร้อยของต้นข้าวปราณ แล้วพลันหวนนึกถึงปัญหาที่ยังค้างคาใจอยู่เมื่อคืน ขึ้นมาอีกครั้ง
มันลังเลอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะตัดสินใจทดลองดูอีกสักหน
จั่วม่อทาบมือลงบนต้นข้าวปราณ พลังปราณทองคำคร่ำคร่าแทรกซึมเข้าสู่ลำต้นข้าวอย่างเงียบเชียบ แล้วก็เป็นเช่นเดียวกับวันวาน จิตสำนึกของมันเชื่อมต่อกับพลังปราณทองคำคร่ำคร่าอย่างชัดเจน
พลังปราณทองคำคร่ำคร่าค้นพบเพลี้ยฝูงหนึ่งอย่างรวดเร็ว จั่วม่อกลายเป็นตึงเครียดขึ้นมาทันที นึกถึงการต่อสู้อันดุดันอำมหิตเมื่อวันวาน มันยังคงรู้สึกหวาดหวั่นมาจนถึงยามนี้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในปัจจุบันเกินความคาดหมายของมันอยู่บ้าง ปราณทองคำคร่ำคร่าไม่ได้เผชิญพบการต่อต้านใด ๆ เหล่าเพลี้ยตัวน้อยถูกบดขยี้จนสิ้นซาก กลายเป็นกองฝุ่นภายในเวลาไม่เกินจิบชาหนึ่งถ้วย กระบวนการทั้งหมดเสร็จสิ้นในรวดเดียว โดยปราศจากอุปสรรคแม้แต่น้อย
ไฉนเป็นเช่นนี้?
จั่วม่องุนงง มันวางมือทาบลงบนข้าวปราณอีกต้นหนึ่ง เหตุการณ์คล้ายกันก็บังเกิดซ้ำอีกหน เป็นต้นข้าวปราณต้นเมื่อวานแตกต่างจากต้นอื่นหรือไม่? มันโคลงศีรษะ ไม่ได้มีสิ่งใดแตกต่างกันเลย ระหว่างต้นข้าวสองต้นนี้ กับต้นข้าวเมื่อวันวาน
เช่นนั้นปัญหาอยู่ที่ใด?
มันรีบวิ่งไปยังตำแหน่งของข้าวปราณต้นเมื่อวาน ลงมือตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง ก็ยังไม่พบเห็นความแตกต่างอันใด อย่างไรก็ตาม มันกลับเห็นว่าต้นข้าวปราณต้นนั้นเจริญงอกงามกว่าเดิม ใบเขียวสดดียิ่ง กองฝุ่นซากเพลี้ยคล้ายจะกลายเป็นสารอาหารชั้นดี ด้วยประสบการณ์เพาะปลูกกว่าสองปีของมัน มันสามารถคาดเดาได้ว่า ผลผลิตของข้าวปราณต้นนี้ย่อมดีงามขึ้นไม่น้อย
จั่วม่อปิติยินดียิ่ง ปัญหาที่ว่าปราณทองคำคร่ำคร่าสมควรนับว่าเป็นปราณสายโจมตีหรือไม่ ถูกโยนทิ้งออกจากความคิดมันทันควัน
ยังจะมีผลประโยชน์ใด จับต้องได้ยิ่งกว่าผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอีกเล่า? ข้าวปราณย่อมเท่ากับจิงสือ จิงสือเท่ากับยุทธภัณฑ์เวท เท่ากับเวทวิชา... ...
จั่วม่อทุ่มเทแรงกายแรงใจ กระทำภารกิจอันยิ่งใหญ่ของมัน นั่นคือลงมือกำจัดศัตรูพืชออกจากทุ่งนาปราณทั้งหมดในพื้นที่ห้าหมู่ มันจะไม่ยอมให้หลงหูหลงตาแม้แต่ต้นเดียว
———
ตลอดทั้งสิบวัน นอกเหนือจากการไปเสกเรียกฝนที่สวนยาปราณ กับทุ่งนาปราณตามหน้าที่แล้ว จั่วม่อใช้เวลาทั้งหมดไปกับต้นข้าวปราณที่ลานบ้านของมัน มันบังคับใช้ปราณทองคำคร่ำคร่ากับต้นข้าวทีละต้น เมื่อพลังปราณถูกใช้จนเกลี้ยงเกลา มันจะวิ่งไปยังห้องสันโดษเพื่อฟื้นฟูพลังปราณ จากนั้นก็กลับมาทำงานของมันต่อ ทำอยู่เช่นนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่จบสิ้น พอต่อ ๆ มา มันก็กลับกลายเป็นมึนชาทื่อด้าน ใช้ปราณทองคำคร่ำคร่าเหมือนเครื่องกลไก ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเครื่องหนึ่ง
หลังจากต้นข้าวต้นสุดท้าย ผ่านการตรวจสอบโดยปราณทองคำคร่ำคร่า จั่วม่อจ้องมองทุ่งนาปราณที่ถูกชำระล้างจนหมดจด ความเจริญงอกงามเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ ต้นข้าวทั้งเขียวสด ทั้งอวบอ้วน ในใจมันอดรู้สึกถึงรสชาติของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่มิได้
ไม่ใช่มันเพียงผู้เดียวที่ฝึกฝนพลังปราณทองคำคร่ำคร่า แต่ไม่มีผู้ใดที่บ้าสุดโต่งเยี่ยงมัน การไล่ตรวจสอบต้นข้าวปราณทีละต้น ทีละต้น นั่นเป็นจำนวนงานที่น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว ผู้อื่นปกติจะใช้ปราณทองคำคร่ำคร่า เฉพาะเวลาที่พบต้นข้าวแสดงอาการของการเป็นโรคเท่านั้น
หากไม่ได้มีชีพจรปราณปฐพีอยู่ในห้องสันโดษ จั่วม่อเองก็คงไม่กล้ากระทำการอันคลุ้มคลั่งเช่นนั้น
สิบวันของการกรำงานหนักอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจของมัน ล้วนเหนื่อยล้าถึงขีดสุด
ยามนี้มันต้องการเพียงสิ่งเดียว นั่นคือกลับไปที่ห้อง แล้วนอนหลับให้เต็มอิ่มสักที
แต่เพียงแค่มันเริ่มจะเดินเข้าด้านใน กระเรียนน้อยสีชมพูพลันบินดิ่งเข้ามาจากที่ห่างไกล แล้วหยุดกึกลงตรงหน้ามันพอดิบพอดี
“อืมมมม” จั่วม่อรู้สึกว่าเจ้าสิ่งนี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง เอียงคอคิดอยู่เป็นครู่ ค่อยนึกขึ้นได้ถึงเจ้านกกระเรียนอธิษฐาน ที่เก็บได้เมื่อสิบวันก่อน ตอนที่ทำความสะอาดลานบ้าน เจ้าตัวนั้นก็เป็นสีชมพูแบบเดียวกันนี้เอง
นี่ไม่ถูกต้อง! กระเรียนอธิษฐานไม่สมควรกำหนดเป้าหมายได้ สำหรับกระเรียนน้อยพันตัวเพื่อที่จะหาเป้าหมาย มันจำเป็นต้องมีรอยประทับวิญญาณช่วยนำทาง ก่อนหน้านี้ เจ้ากระเรียนน้อยตัวนั้นมีรอยประทับวิญญาณของเจ้าของมันอยู่ เมื่อประจุพลังปราณให้มัน มันย่อมสามารถบินกลับไปหาเจ้าของได้เป็นธรรมดา
แต่จั่วม่อไม่ได้ทิ้งรอยประทับวิญญาณของตัวเอง ไว้บนตัวเจ้ากระเรียน!
ควรทราบว่ารอยประทับวิญญาณทุกประเภท จะต้องบรรจุทับด้วยพลังปราณตามขั้นตอน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการสืบเสาะหามัน จั่วม่อเพียงเขียนคำสองคำ ไม่กล้าใช้พลังปราณต่อเจ้ากระเรียนแม้แต่น้อย
หากเพียงครั้งแรก อาจกล่าวได้ว่าเป็นโชคดี แต่เจ้ากระเรียนเมื่อสามารถตามหาจั่วม่อเป็นหนที่สอง นั่นมิอาจอธิบายด้วยคำว่าโชคดีได้อีกแล้ว
อ้า ช่างเป็นเหตุการณ์ที่แปลกพิกลอันใดเช่นนี้!
เพ่งพิศดูกระเรียนอธิษฐานที่ลอยอยู่เบื้องหน้าอย่างละเอียด มันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่จั่วม่อยังคงเอื้อมมือออกไปคว้ามา
มันถือกระเรียนกระดาษตัวน้อย เดินไปยังห้องสันโดษ
นั่งลงบนเสื่อ มันค่อยคลี่เจ้ากระเรียนน้อยกางออก
ครั้นเมื่อกระดาษสีชมพูแผ่หราออกมา มีตัวอักษรเพียงสองคำเท่านั้น ยังคงเป็นลายมืออันงดงามเหมือนครั้งก่อน
แต่แล้วเมื่อสองคำนั้นกระทบสายตา เรื่องไม่คาดฝันพลันอุบัติ!
กระแสพลังปราณอันเย็นเยียบพลุ่งเข้าล้อมรอบจั่วม่อในพริบตา สังหรณ์อันตรายร้ายแรงระเบิดขึ้น เส้นขนทั่วร่างลุกชี้ชัน ไม่ผิดอันใดกับถูกกระบี่บินอันคมกล้าสุดเปรียบปานจี้ใส่ลำคอ ปลายกระบี่อันหนาวเยือกทิ่มแทงผ่านผิวหนังอย่างง่ายดาย ทั้งแผ่ซ่านไปทั่วร่างมันอย่างรวดเร็ว
บัดซบ, ขยับตัวไม่ได้!
บนใบหน้าผีดิบเป็นดวงตาขวัญหนีดีฝ่อคู่หนึ่ง จั่วม่อร่างแข็งทื่อด้วยพลังเย็นอันไร้ปราณี มิอาจขยับได้แม้แต่ปลายนิ้ว
ผู้อื่นต้องการแก้แค้น? การลงทัณฑ์ทรมาน? หยอกล้อ เล่นตลก?
จั่วม่อไหนเลยจะมีเวลาคิดถึงเรื่องเหล่านี้ มันประดุจสัตว์ร้ายที่ถูกคุมขังตัวหนึ่ง สัญชาตญาณเดียวที่เหลืออยู่คือการต่อสู้เอาตัวรอด มันสู้ตายถวายชีวิต พยายามดิ้นรนกลับมาควบคุมร่างกายอีกครั้ง เพียรผนึกพลังปราณต่อต้านอย่างคลุ้มคลั่ง แต่ไร้ผลโดยสิ้นเชิง มันยังคงยืนร่างแข็งทื่ออยู่ที่เดิม
กระแสพลังเย็นเยือกเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประหนึ่งสัตว์ร้ายเลือดเย็นที่ไร้เมตตาตัวหนึ่ง มันเคลื่อนเข้าประชิดจั่วม่ออย่างไม่แยแส พร้อมอ้าปากกว้างเตรียมเขมือบกลืน ทั้งดูเหมือนจะมั่นใจเป็นอันมาก ว่าจั่วม่อมิอาจต่อต้านขัดขืน
จั่วม่อยามนี้ ดูไม่ผิดอันใดกับหุ่นขี้ผึ้งรูปร่างพิกลตัวหนึ่ง ใบหน้าอันไร้การแสดงออกนั้นน่าขบขันยิ่ง
มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่แตกต่าง ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ความไร้พลังอำนาจ และเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ช่างตรงกันข้ามกับร่างผอมแห้งที่ยืนแข็งทื่อ กับใบหน้าอันน่าขบขันใบนั้น
ความพยายามของมันล้วนไร้ประโยชน์ พลังปราณน้ำแข็งอันน่าหวาดหวั่น ผลักดันมันไปจนสุดขอบของความสิ้นหวัง ไม่เว้นช่องทางถอยหนีให้แม้สักเส้นสายเดียว
ความไม่ยินยอมพร้อมใจ ระคนความโกรธเคืองในใจมัน พลันพลุ่งพล่านระเบิดขึ้น
ไสหัวไปลงนรกเถอะ!
มันร่ายเคล็ดปราณทองคำคร่ำคร่าอย่างเกรี้ยวกราด พลังปราณทั่วร่าง พร้อมด้วยพลังจิตสำนึกทั้งหมดของมัน กระแทกใส่พลังเย็นสุดแรงเกิด!
นี่เป็นสิ่งเดียวที่มันกระทำได้
ประสบการณ์หนเดียวของมัน ที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ คือการใช้ปราณทองคำคร่ำคร่าสู้รบกับเพลี้ยในต้นข้าวปราณ มันระลึกถึงจิตสำนึกอำมหิตอันเกรี้ยวกราดในตอนนั้น และรีบควบรวมสำนึกนั้นลงในจิตสำนึกของมันเอง เพียงแต่น่าเสียดาย ที่จิตสำนึกอันเกิดจากการหลอมรวมของเพลี้ยนับพันตัว ยังอ่อนแอไม่ต่างจากทารก ยามอยู่ต่อหน้าพลังปราณน้ำแข็งขุมนี้
จั่วม่อในยามนี้ ไม่ต่างอันใดกับคนบ้าถือเคียวเกี่ยวข้าว ที่ทะยานเข้าฟาดฟันกับศัตรูหุ้มเกราะ ผู้ติดอาวุธหนักเต็มพิกัด
พลังปราณทองคำคร่ำคร่าคล้ายหมอกแสงสีทองทรงกลมลูกหนึ่ง ทันทีที่มันปรากฏขึ้น พลันกระตุ้นการโจมตีจากพลังปราณเย็นเยือกขุมนั้น
ชั่วพริบตานั้น จั่วม่อคล้ายได้เห็นกระบี่บินนับไม่ถ้วน ส่งเสียงกรีดแหลม ขณะลากหางสว่างพราวทะลวงเข้าหามัน! พลังเย็นอันเสียดแทงครอบคลุมรอบทิศ ประหนึ่งกิ่งก้านสาขาอันหนาแน่นของต้นไม้ใหญ่ มันไม่มีปัญญาหลบหลีกแม้แต่น้อย
ดวงตาของจั่วม่อเบิกกว้างจนแทบฉีกขาด ม่านตาใสกระจ่างแปรสภาพเป็นทะเลเพลิงคำราม โลหิตไหลหยาดหยดลงมาเป็นทาง อาบบนใบหน้าอันไร้ความรู้สึกของมัน เห็นเป็นริ้วสีแดงสดสองสายพาดผ่าน
แต่มันไม่ได้รู้สึกรู้สมอันใด
พลังปราณอันบ้าดีเดือดทวีพลังขึ้น จนเริ่มหลุดออกจากการควบคุม แต่จั่วม่อไม่ได้หาทางหยุดยั้ง กลับเร่งส่งเสริมพลังปราณให้ยิ่งเดือดพล่านขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภายใต้การเปลี่ยนแปลงนี้เอง พลังปราณทองคำคร่ำคร่าดูประหนึ่งคลุ้มคลั่งไป มันไม่ถอยหนี กลับเป็นฝ่ายกระโจนเข้าใส่พลังเย็นเยียบขุมนั้น
ยามนี้หากมีผู้ใดเข้ามาในห้องของจั่วม่อ จะเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดฉากหนึ่ง เป็นกลุ่มก้อนเมฆหมอกสีทองจาง ๆ กำลังบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง ราวกับถูกขุมกำลังที่มองไม่เห็นบางอย่างกัดกร่อนไม่หยุดยั้ง ขนาดของมันหดตัวลงอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มเมฆสีทองจาง ๆ ยิ่งนานยิ่งคลุ้มคลั่ง แต่ก็ยังคงคุ้มกันจั่วม่อไว้อย่างแน่นหนา
การต่อสู้ทวีความรุนแรงขึ้น พลังปราณทองคำคร่ำคร่าไม่ถอยหนีแม้แต่ก้าวเดียว ยืนหยัดเผชิญกับขุมพลังเย็นที่จู่โจมกระบี่บินออกมาอย่างซึ่งหน้า เช่นเดียวกับที่ปะทะกับจิตสำนึกของฝูงเพลี้ย ปราณทองคำคร่ำคร่าจู่โจมใส่ขุมพลังเย็น ราวกับว่ามันเป็นเพียงจิตสำนึกของเพลี้ยขนาดยักษ์ฝูงหนึ่ง!
จั่วม่อไม่ใส่ใจจะออมรั้งพลังปราณทองคำคร่ำคร่าไว้เลย มีเพียงความคิดเดียวในใจมัน- แรงขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้นอีก!
พลังปราณในร่างมันโคจรหมุนวนด้วยความเร็วอันน่าตื่นตะลึง ที่ผ่านมามันไม่เคยพยายามโคจรพลังปราณให้เร็วขึ้นมาก่อน มันย่อมไม่มีความกล้าหาญเช่นนั้น แต่ในยามนี้ จั่วม่อผู้เลือดขึ้นหน้า เพียงตำหนิว่าพลังปราณโคจรได้ไม่รวดเร็วพอ มันยิ่งทุ่มเรี่ยวแรง เร่งการโคจรหมุนวนพลังปราณไม่หยุดยั้ง
ทันใดนั้นในหัวมันบังเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ราวกับว่ามีบางสิ่งแตกหักไป จิตสำนึกของมันพลันสั่นคลอนอย่างรุนแรง
พลังปราณพลุ่งพล่านดุจม้าป่าห้อตะบึง หลุดออกจากการควบคุมอย่างสมบูรณ์ ปราณทองคำคร่ำคร่าหมุนวนอย่างเกรี้ยวกราด ทั้งบิดเบี้ยว ทั้งเดือดพล่านปานน้ำเดือด รูปทรงของเมฆปราณทองคำไม่เสถียรอย่างรุนแรง หากผู้ฝึกตนระดับสูงมาพบเห็นเช่นนี้ พวกมันจะต้องหน้าซีดเผือดในบัดดล เมื่อสูญเสียการควบคุมพลังปราณในร่าง ย่อมนำไปสู่การแตกระเบิด เสียชีวิตอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นเอง กระแสพลังอบอุ่นอ่อนโยนสายหนึ่ง พลันหลั่งรินออกมาจากส่วนลึกในหัวใจของจั่วม่อ ถาโถมเข้าสู่เส้นชีพจรของมัน
พลังปราณอันดุดันจู่ ๆ ก็กลับมาอยู่ในการควบคุม ทว่าความเร็วของการหมุนไม่ได้ลดน้อยลง กลับเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นอีก มีเพียงการสั่นคลอนผันผวนอย่างรุนแรง ของปราณทองคำคร่ำคร่า ที่หายไปโดยปราศจากสัญญาณเตือน มันคล้ายสงบลงในทันที
นี่เป็นปรากฏการณ์อันพิสดารยิ่ง พลังเย็นขุมนั้น ก็คล้ายจะสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาดเช่นกัน และมันเริ่มถอยกลับเป็นครั้งแรก
กลุ่มเมฆปราณทองคำคร่ำคร่าอันเงียบสงบ เปลี่ยนแปรไปอีกครั้ง มันหดตัวลงอย่างรวดเร็ว จนเหลือแต่แก่นแกน ขุมพลังปราณอันเย็นเยือกนั้น ก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
ด้านหนึ่งแปลงเป็นเหล็กหมาด รูปเจดีย์ทรงกรวยเจ็ดเหลี่ยมสีทองจาง ๆ !
อีกด้านหนึ่งเป็นกระบี่บิน รูปพระจันทร์เสี้ยวสีฟ้าคราม แขวนระฆังใบน้อยใบหนึ่ง!
ทั้งคู่ลอยนิ่ง เผชิญหน้ากันอย่างเงียบเชียบ แล้วในชั่วพริบตา ก็พลันลงมือพร้อมกัน
หนึ่งเหล็กหมาด หนึ่งกระบี่ พลันกลับกลายเป็นลำแสงหนึ่งทอง หนึ่งคราม พุ่งเข้าปะทะกันอย่างถนัดถนี่
พิ้ง!
เสียงระเบิดดังสดใสดุจเสียงแก้วแตกสลาย ประกายแสงปลิวกระจัดกระจายในอากาศ มันดูประหนึ่งดอกไม้เพลิงสีทองปนคราม พร่างพราวงดงามอย่างแท้จริง
———
เวลาผ่านไปนานเท่าใดมิอาจทราบได้ จั่วม่อลืมตาขึ้นมาอย่างมึนงง ปวดร้าวไปหมดทั้งกาย ผิวหนังทั่วร่างปริแตก มันอดไม่ได้ต้องสูดปากครวญคราง และเสียงครวญครางนี้เอง ทำให้มันฟื้นตื่นจากความมึนงง
ขยับได้แล้ว!
พลังปราณบัดซบน่าตายนั้นหายไปแล้ว!
ทีแรกมันประหลาดใจ ต่อมาความปลอดโปร่งอันไม่อาจบ่งบอกบรรยายชนิดหนึ่ง ก็ก่อตัวขึ้น มันอยากจะหัวร่อ แต่ก่อนจะทันได้ขยับปาก กล้ามเนื้อก็ดึงปากแผล เสียงหัวร่อกลายเป็นเสียงกรีดร้องในบัดดล แม้ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นฝ่ายชนะ!
มันยังคงกำกระดาษสีชมพูไว้ในมือ จนถึงยามนี้สองคำนั้นค่อยเห็นชัดเจนในสายตา
“คนเลว!”
ลายมือนั้นยังสง่างาม น้ำเสียงที่แฝงในคำพูดบ่งบอกว่าผู้เขียนมิได้อายุมาก แต่สำหรับจั่วม่อผู้รอดตายอย่างฉิวเฉียด ช่วยไม่ได้ที่มันจะรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์อย่างลึกซึ้ง
สตรีเลวร้าย! นางต้องการชีวิตข้า!
นางบรรจุการจู่โจมทางจิตวิญญาณลงในสองคำนี้ กับการที่สามารถอาศัยเพียงตัวอักษร ปลดปล่อยการโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวระดับนี้ นี่แน่นอนว่าไม่ใช่ผู้ที่มันสามารถต่อกรได้ จั่วม่อรู้ซึ้งอย่างชัดแจ้ง หากกล่าวถึงเจ้าสำนัก กับเหล่าอาจารย์อา มันไม่ทราบว่าพวกท่านสามารถทำเช่นเดียวกันนี้หรือไม่ แต่สำหรับบรรดาศิษย์ฝ่ายในทั้งหมด ไม่มีผู้ใดเข้าถึงพลังอำนาจระดับนี้ได้
นั่นหมายความว่า พลังฝีมือของสตรีชั่วร้ายนี้ เหนือล้ำกว่าเหล่าศิษย์พี่ในสำนักมันทั้งหมด
แต่ลองได้เหยียบผ่านประตูแห่งความตายมาหนหนึ่ง มันก็ชักไม่เกรงกลัวเสียแล้ว แม้ว่าความเข้มแข็งของผู้อื่นจะเหนือล้ำกว่ามันมากก็ตาม
จั่วม่อย่อมเคยได้ยินมาบ้าง ว่ายอดฝีมือบางคนนั้นหยิ่งยโส ทั้งไม่แยแสสนใจผู้ฝึกตนระดับต่ำ แต่มันไม่เคยคาดคิดว่าผู้อื่นจะถึงขั้นต้องการชีวิตมัน เพียงเพราะวาจาผิดหูเท่านั้น!
เกอช่างไร้เดียงสานัก!
จั่วม่อสูดลมหายใจลึก บาดแผลถูกดึงตึง เจ็บปวดจนแทบหลั่งน้ำตา มันดิ้นรนลุกขึ้นยืน เดินแยกเขี้ยวไปยังโต๊ะ
จั่วม่อใช้ชาดสีสดและเข้มข้นตลับเดิม ทั้งใช้พู่กันขนพังพอนแข็ง ๆ อันเดิม มันจุ่มพู่กันลงในชาดอย่างดุดัน
แขนขวาทั้งแขนราวกับจะหักเป็นหลายท่อน เพียงเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็เจ็บลึกไปถึงกระดูก มันกัดฟันขยับพู่กัน หยดชาดสีแดงหยดน้อยกระจายไปทั่วกระดาษสีชมพู ดูไม่ผิดอันใดกับหยดเลือด
เพียงแค่กระดิกนิ้วยังเจ็บปวด จั่วม่อสูดปากโดยไม่รู้ตัว มือขวาจับพู่กันแน่น ตั้งอกตั้งใจเขียนถ้อยคำโย้เย้ในกระดาษสีชมพู
“เหยียจะรอเจ้า ! ” (เหยีย-ท่านปู่)
โยนพู่กันในมือทิ้ง มันมองดูถ้อยคำเหล่านั้นแวบหนึ่ง แล้วพลันหัวร่อเสียงแปลกแปร่ง มือไม้ของมันขยับไม่ได้อย่างใจ ดังนั้นต้องหยุดพักอยู่ร่วมครึ่งชั่วยาม กว่าจะสามารถพับกระดาษ ให้กลายเป็นนกกระเรียนกระดาษได้
น่าเสียดาย ตัวอักษรคราวนี้ไม่ได้ดูดีเท่าหนก่อน จั่วม่อรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
แม้จะหอบหายใจพะงาบ แต่มันก็พยายามประจุพลังปราณที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อย ลงไปในตัวนกกระเรียนกระดาษ
เฝ้ามองนกกระเรียนสีชมพูตัวน้อยลอยหายลับไปตรงขอบฟ้า มันสาปแช่งสตรีเลวร้ายดังระงมอยู่ในใจ
เสร็จสิ้นทั้งหมดนี้ จั่วม่อไม่สามารถยืนหยัดได้อีก เบื้องหน้าพลันมืดทะมึน มันล้มฟาดลงกับพื้น และสลบไสลไปในทันที