บทที่ 51 กำนัลให้แก่ท่านหนึ่งฝ่ามือ
ไฟ!
แก่นสารของเคล็ดอัคคีสีชาดก็คือไฟ และภายในกระถางหลอมกลั่นยังเป็นค่ายกลยันต์เวทไฟหลี นี่เป็นเหตุผลที่จั่วม่อสามารถหลอมกลั่นเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรสำเร็จ แต่สิ่งที่เคล็ดอัคคีสีชาดควบรวมมาเป็นแก่นสารของดวงอาทิตย์ น่าเสียดายที่ไฟจากค่ายกลยันต์เวทไฟหลีในกระถางมีระดับต่ำเกินไป เดิมทีในกระบวนการหลอมกลั่น ค่ายกลยันต์เวทไฟหลีสมควรจะเป็นไฟหลัก จากนั้นแก่นสารดวงอาทิตย์ที่เคล็ดอัคคีสีชาดควบรวมมา สมควรเป็นส่วนเสริมพลัง ช่วยสนับสนุน แต่แล้วแก่นสารของดวงอาทิตย์กลับมีพลังเหนือกว่าค่ายกลยันต์เวทไฟหลี ย่อมเกิดปัญหาขึ้นเป็นธรรมดา
พอตระหนักว่าปัญหาอยู่ที่ใด จั่วม่อก็เกิดหลายแนวคิดในการแก้ปัญหาขึ้นมาทันที วิธีที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด คือหาทางลดความเข้มข้นของแก่นสารดวงอาทิตย์ในเคล็ดอัคคีสีชาดลง ส่วนวิธีที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดก็คือเปลี่ยนกระถางหลอมกลั่น เปลี่ยนไปเป็นกระถางหลอมกลั่นที่มีค่ายกลยันต์เวทไฟหลีระดับสูงมากกว่านี้ และวิธีสุดท้าย วิธีที่บ้าบิ่นที่สุด คือเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างไฟหลักกับส่วนเสริมพลังสนับสนุน ให้เคล็ดอัคคีสีชาดกลายเป็นไฟหลัก และค่ายกลยันต์เวทไฟหลีกลายเป็นส่วนเสริมพลังสนับสนุนแทน
จั่วม่อเลือกวิธีแรก มันรู้สึกว่าวิธีแรกมีโอกาสสำเร็จมากที่สุด
เมื่อคิดได้ มันก็เริ่มตระเตรียม
สิ่งแรกที่มันต้องทำ คือต้องสามารถควบคุมเคล็ดอัคคีสีชาดได้อย่างละเอียดอ่อนแม่นยำ แต่ก่อนมันไม่เคยต้องคำนึงถึงเรื่องนี้มาก่อน สำหรับจั่วม่อแล้ว ในยามที่ใช้เวทวิชากับต้นพืชปราณ หากแก่นสารดวงอาทิตย์ยิ่งเข้มข้นมากเท่าใด ก็ยิ่งได้ผลดีเท่านั้น ในความเป็นจริงก็ยังคงเป็นเช่นนั้นจริงๆ มันไม่เคยพบสถานการณ์ที่เคล็ดอัคคีสีชาดมีผลรุนแรงมากเกินไปมาก่อน แล้วไฉนจะต้องคิดเรื่องการควบคุมอย่างแม่นยำด้วย?
สำหรับจั่วม่อ นี่ถือเป็นประสบการณ์ใหม่อย่างแท้จริง
โชคดีที่เมื่อเทียบกับเวทวิชาอื่นๆ ห้าเวทวิชาเบญจธาตุขั้นพื้นฐานของเกษตรกรปราณเป็นสิ่งที่มันช่ำชองที่สุดอยู่แล้ว ภายในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จั่วม่อก็เข้าใจหลักการเบื้องต้นของการควบรวมแก่นสารดวงอาทิตย์
ครั้นเมื่อจั่วม่อพยายามซื้อวัตถุดิบสำหรับหลอมกลั่นเม็ดยาราชันธัญพืชจากสวี่ฉิงอีกครั้ง นางมองมันด้วยสายตาแปลกประหลาดอยู่บ้าง หอบวัตถุดิบซึ่งเป็นส่วนผสมของเม็ดยาราชันธัญพืชมากองใหญ่ จั่วม่อปิดห้องกักตนอยู่ในห้องหลอมกลั่น เริ่มการทดสอบอีกครั้ง
ล้มเหลว!
ยังคงล้มเหลว!
ล้มเหลว!
……
……
จั่วม่อไม่ได้ตื่นตระหนกเพราะความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องนี้ ตรงกันข้ามมันกลับสงบและมั่นคงอย่างยิ่ง มันสามารถรู้สึกได้ว่ากำลังใกล้ความสำเร็จเข้าไปทุกขณะแล้ว! ยิ่งหลอมกลั่นความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งหลายต่อหลายครั้งมันถึงกับคาดคิดว่าจะต้องประสบความสำเร็จในครั้งถัดไป
หนที่เก้า!
กระทั่งขั้นตอนสุดท้ายเสร็จสิ้นลง ก็ยังไม่ปรากฏกลิ่นเหม็นไหม้! จั่วม่อหัวใจเต้นระรัว กลืนน้ำลาย เปิดดูในกระถางหลอมกลั่นอย่างตึงเครียด
เห็นเม็ดยาราชันธัญพืชที่เปล่งประกายสีทองเม็ดหนึ่ง นอนนิ่งเงียบงันอยู่ด้านล่างของกระถางหลอมกลั่น
ไม่มีอาการโห่ร้องยินดี ไม่มีกระโดดจนตัวลอย สีหน้าจั่วม่อยังคงไร้อารมณ์ความรู้สึก มันเหม่อมองอย่างโง่งม พลางพึมพำว่า
“เกอรวยแล้ว!”
เท่านั้นเอง เบื้องหน้าพลันมืดทะมึน จั่วม่อล้มฟาดลงกับพื้นเสียงดัง หลับเป็นตายไปในบัดดล
เหน็ดเหนื่อยแทบตายแล้ว!
ภายในโถงสุญตา เผยเหยียนหรานสีหน้ามืดมน ขณะที่มองไปยังบุรุษสตรีที่คุกเข่าอยู่ด้านล่าง
หลัวหลีกับห่าวหมิ่นตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว
บนที่นั่งด้านข้างเจ้าสำนัก ใบหน้าสือฟ่งหรงเปี่ยมล้นด้วยโทสะ นางมักจะให้ความสำคัญอย่างสูงกับทุ่งโอสถในหุบเขาหมอกเย็นเยือก ซึ่งเป็นเหตุผลที่มอบหมายให้ห่าวหมิ่นคอยดูแลเอาใจใส่ นางไม่เคยคาดคิดว่าห่าวหมิ่นจะตั้งอกตั้งใจละทิ้งหน้าที่ถึงเพียงนี้ สีหน้าของซินหยานกับหยานเล่อก็ไม่สู้ดีนัก สำนักกระบี่สุญตาอาจเป็นเพียงสำนักเล็กๆ แต่กฎของสำนักก็เข้มงวดเคร่งครัดเสมอมา
ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงที่ทั้งสองคนออกไปยังด้านนอก แต่พวกมันทั้งคู่ล้วนมีหน้าที่รับผิดชอบสำคัญ กระนั้นก็ยังลอบออกไปท่องเที่ยวเป็นเวลานาน ดังนั้นพวกมันแน่นอนว่าจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก
จั่วม่อตื่นขึ้นมา พบว่าตนยังนอนอยู่ในห้องหลอมกลั่น มันรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น มองไปยังเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรที่ยังอยู่ในกระถาง มันถอนหายใจโล่งอก ไม่ได้ฝันไปจริงๆ
มันคร้านจะกลับไปยังห้องศิลา ดังนั้นตกลงใจนั่งเข้าฌานในห้องหลอมกลั่นเพื่อฟื้นฟูพลังปราณ
ครั้นเมื่อพลังปราณกลับคืนมาเต็มเปี่ยม มันก็เริ่มหลอมกลั่นเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรอีกรอบ ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้มันล้มเหลวไปกี่หน แต่ในความพยายามหลังจากนั้นทุกครั้งก็ไม่เคยล้มเหลวอีกเลย
รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง จั่วม่อลุกขึ้นยืนเหยียดตัว หลังจากหักโหมค้นหาวิธีการมาหลายวัน ทั้งร่างกายและจิตใจมันอ่อนล้ายิ่ง จำเป็นต้องพักผ่อนสักครา การเข้าฌานอาจสามารถฟื้นฟูพลังปราณ แต่จะอย่างไรก็ไม่อาจทดแทนการพักผ่อนได้
ผลักประตูออกมาจากห้องหลอมกลั่น แสงแดดแยงตาจนต้องยกมือขึ้นบัง
อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกที่ดวงอาทิตย์เชื่อมโยงลงมาในร่างกายก็เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ หลอมกลั่นเม็ดยาสำเร็จลุล่วง จั่วม่อเบิกบานใจยิ่ง ไม่คิดว่าจะมีสิ่งใดมากวนอารมณ์มันได้ ทันใดนั้นมันเห็นคนผู้หนึ่งเดินตรงมาทางมัน ได้แต่อึ้งงันไป นี่ไม่ใช่ศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่นหรอกหรือ?
นางกับศิษย์พี่หลัวหลีกลับมาแล้วหรือไร?
ความคิดในสมองจั่วม่อหมุนเร็วรี่ สุดท้ายตัดสินใจทักทาย “ศิษย์พี่หญิงห่าว... ...”
แต่เมื่อมันเดินเข้าไปใกล้ก็เห็นผิดท่า ห่าวหมิ่นดวงตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร่ำไห้มาหยกๆ
เพิ่งจะถูกดุด่าอย่างหนักหน่วงมารอบหนึ่ง ห่าวหมิ่นพอเห็นหน้าจั่วม่อ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าหุบเขาหมอกเย็นเยือกได้สั่งให้เจ้าหน้าผีดิบผู้นี้คอยดูแล ครั้นเมื่อหวนนึกถึงคำตำหนิติเตียนและความรุนแรงของท่านเจ้าสำนักกับท่านอาจารย์ โทสะในใจนางก็ระเบิดขึ้น ต้องเป็นฝีมือของมันผู้นี้แน่! มิเช่นนั้นท่านอาจารย์จะทราบเรื่องหุบเขาหมอกเย็นเยือกได้อย่างไร คิดไปคิดมานางก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าหน้าผีผู้นี้ ทั้งน่าชังและน่าแค้นใจอย่างบอกไม่ถูก
ศิษย์ฝ่ายนอกผู้หนึ่งกล้าเล่นเล่ห์กลกับคุณหนูผู้นี้?
นางเลิกคิ้วสูงชัน ไม่กล่าวอะไรสักคำก็ตวัดมือตบหน้าจั่วม่ออย่างดุดัน!
จั่วม่อผู้คอยระแวดระวังอยู่แล้วก็ตอบสนองทันควัน คว้าจับข้อมือห่าวหมิ่นไว้ ถามด้วยเสียงต่ำ “ศิษย์พี่หญิง ท่านจะทำอะไร?”
จั่วม่อโทสะก็ลุกฮือโหม ก่อนหน้านี้มันอับจนหนทางเมื่อต้องเผชิญเรื่องราวเช่นนี้ แต่บัดนี้ไม่ใช่แล้ว ทั้งสองฝ่ายมีสถานะเท่าเทียมกัน มันแม้ไม่เคยคิดระรานผู้ใดก่อน แต่ไม่จำเป็นต้องกล้ำกลืนฝืนทนอีก
“เจ้ากล้า!” ห่าวหมิ่นกัดฟันกรอด เดือดดาลถึงที่สุด “แม้แต่เศษสวะอย่างเจ้ายังกล้ารุกรานข้า!” นางกล่าวยังไม่ทันจบคำ มือซ้ายที่ยังว่างก็สะบัดฟาดขึ้นมาอีกหน ไม่ปล่อยให้จั่วม่อได้มีโอกาสกล่าววาจา
จั่วม่อม่านตาหดแคบลง ดวงตากลับกลายเป็นเย็นเยียบ มือขวาที่ผ่านการฝึกปรือกระบวนท่าดรรชนีมานับครั้งไม่ถ้วน คล่องแคล่วรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง มือซ้ายของห่าวหมิ่นยังไม่ทันบรรลุถึง นางทันใดนั้นก็รู้สึกสายตามืดวูบ เสียงดังเพียะ หน้าสะบัดเริด ถูกจั่วม่อตบอย่างถนัดถนี่
หลังโดนตบดังสนั่น ห่าวหมิ่นยืนอึ้งงัน ใบหน้านางทั้งเจ็บปวดทั้งแสบร้อน นางเหม่อมองจั่วม่ออย่างไม่เชื่อสายตา
สวี่ฉิงผู้ซึ่งบังเอิญออกมาจากลาน พอดีพบเห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้า นางเกือบจะกรีดร้องอย่างตื่นตระหนก แต่นางปฏิกิริยาว่องไว รีบตระครุบปิดปากตัวเองทันเวลา
จั่วม่อมองห่าวหมิ่นอย่างเย็นชา สุ้มเสียงเย็นยะเยือก “ศิษย์พี่หญิงท่านตื่นแล้วกระมัง?”
มันจ้องมองห่าวหมิ่นอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จากนั้นปล่อยข้อมือนาง ก้าวถอยห่าง ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เมื่อห่าวหมิ่นเห็นสายตาของจั่วม่อ นางถึงกับแข็งทื่ออย่างสิ้นเชิง ร่างเย็นเฉียบ สั่นสะท้านไปทั้งกาย ใบหน้าบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวเขียว หวาดกลัว อับอาย เคียดแค้น ผสมปนเปกันไปหมด ถึงกับหลงลืมกล่าววาจาไปเลยทีเดียว
“อ้อ ใช่แล้ว ศิษย์พี่หญิงเพิ่งกลับมา อาจจะยังไม่ทราบ” จั่วม่อซึ่งหมุนตัวไป หยุดชะงักกลางครันและกล่าวอย่างเย็นชา “น้องชายผู้นี้โชคดี ได้เข้าเป็นศิษย์ฝ่ายใน มิหนำซ้ำยังเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันกับท่านเพื่อร่ำเรียนวิชาหลอมกลั่นโอสถ”
มันหันใบหน้าผีดิบกลับมา แสยะยิ้มแยกเขี้ยว เผยฟันขาวน่าขนลุกสองแถว “ศิษย์พี่หญิง ฝากตัวด้วย”
สวี่ฉิงเบิกตากว้าง มองดูจั่วม่อเดินจากไป เหตุการณ์ฉากนี้ส่งผลกระทบกระเทือนต่อนางมากเกินไป ก่อนที่จั่วม่อจะมา ห่าวหมิ่นเป็นศิษย์ฝ่ายในเพียงผู้เดียวในเรือนขิงหอม นางจึงได้หยิ่งยโสโอหังถึงขีดสุด ทุกผู้คนล้วนหวาดกลัวนาง มิทราบว่าเพราะเหตุใด เมื่อสวี่ฉิงเห็นรอยมือห้านิ้วประทับไว้บนใบหน้าของห่าวหมิ่น พลันรู้สึกสุขสราญบานใจจนบอกไม่ถูก!
เหลือบมองห่าวหมิ่นที่ยังยืนซึมเซาอยู่กับที่ สวี่ฉิงตกลงใจหลบไปอย่างเงียบเชียบ หากศิษย์พี่หญิงห่าวหมิ่นล่วงรู้ว่านางเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เกรงว่าคราวนี้ตนก็ต้องอยู่ในสภาพน่าสังเวชบ้างแล้ว
กระทั่งหลบหน้าออกมาแล้ว สวี่ฉิงยังรู้สึกว่าช่างน่าเหลือเชื่อ ทั้งรู้สึกหวาดกลัวจั่วม่อขึ้นมาบ้าง ศิษย์พี่จั่วปกติสุภาพอ่อนน้อม ที่แท้ก็มีช่วงเวลาที่ดุร้ายน่ากลัวถึงเพียงนี้!
จั่วม่อเดินออกมาจากเรือนขิงหอม มือยังสั่นอยู่เล็กน้อย
ในใจมันเต็มไปด้วยหวาดกลัว ไม่ใช่กลัวห่าวหมิ่น แต่มันหวาดกลัวตัวมันเอง! ยามที่โทสะพลุ่งพล่านดาลใจขึ้นมา ราวกับได้ยินเสียงกล่าววาจากับมันว่า “ฆ่านาง! ฆ่านาง!” แรงปลุกเร้านั้นทั้งรุนแรงและชัดเจน รุนแรงจนกระทั่งมันเกือบจะไม่ได้ตบ แต่เปลี่ยนเป็นยิงปราณกระบี่ออกไปแทน!
มันกลายเป็นเหี้ยมโหดอำมหิตไปตั้งแต่เมื่อใด? การค้นพบครั้งนี้ทำให้จั่วม่อวิตกกังวลไม่น้อย
ตามตำนานเล่าว่าเหล่าอสูรปิศาจล้วนน่าสยดสยองและชั่วร้าย เป็นจอมโฉดชั่วซึ่งเห็นการฆ่าเป็นชีวิตจิตใจของพวกมัน! เรื่องนี้ใช่เป็นเพราะการฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญปราณก่อนกำเนิดมีอิทธิพลต่อนิสัยใจคอของมันอย่างเร้นลับหรือไม่? หรือว่าผูเยาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้?
จั่วม่อชะงักเท้า หลับตาลง สูดลมหายใจลึก ก่อนระบายลมหายใจออกยาวนาน อารมณ์ด้านลบทั้งหมดคล้ายกับว่าระบายออกมาพร้อมกับลมหายใจนี้ เมื่อมันลืมตาขึ้น สายตาก็กลับคืนสู่ความกระจ่างใส มือหยุดสั่น กลับเป็นมั่นคงดังเดิม
บางทีอาจเป็นเพราะมันเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป
จั่วม่อไม่ได้ฝึกปรือเคล็ดบำเพ็ญสูดปราณก่อนกำเนิดมาสักระยะหนึ่งแล้ว นี่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่วนผูเยา เจ้าผู้นี้เป็นคนวิปลาสผู้หนึ่ง แต่แน่นอนว่ามันวิปลาสอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง ย่อมไม่เคยกระตือรือร้นสร้างปัญหา จั่วม่อพบว่าผูเยายังคงเฝ้าระมัดระวังเหล่าผู้อาวุโสของสำนักเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอาจารย์ลุงซินหยาน
กลับมายังลานน้อยลมตะวันตก จั่วม่อตกลงใจว่าจะไม่คิดอะไรอีกและพักผ่อนสักระยะ ในใจมันลอบเฝ้าเตรียมพร้อม คอยเตือนตัวเองให้ระมัดระวังและใส่ใจมากกว่านี้
ตลอดทั้งวันมันไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนอนหลับ
จั่วม่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการรบกวนของนกกระเรียนกระดาษสีชมพู
“ท่านปู่ของข้า ฟังว่ามีหมู่ดาวปรากฏขึ้นในเวลากลางวัน นั่นน่าเล่นหรือไม่?” ยังคงเป็นลายมืออันสง่างามที่จั่วม่อชักจะคุ้นเคยอยู่บ้าง
“ไม่เห็นจะเคยได้ยิน” จั่วม่อตอบกลับไปอย่างมั่นอกมั่นใจ จะเป็นไปได้อย่างไรที่มีดาวขึ้นในเวลากลางวัน? มันแน่ใจว่าไม่เคยเห็นฉากผิดปกติแปลกๆ นี้เลย
“อ๊า แต่ข่าวที่ผู้อื่นฟังมามีเรื่องเช่นนั้นจริงๆ ท่านปู่ต้องระมัดระวังให้มาก ดาวพร่างกลางทิวาหาใช่ลางดีไม่ บางทีอาจเป็นฝีมือของอสูรปิศาจ”
จั่วม่อหัวใจสะท้าน ...อสูรปิศาจ!
“กลิ่นอะไรกันหนอ คุ้นเคยเหลือเกิน” ผูเยาพุ่งออกมาด้านข้างจั่วม่อ สายตาจับจ้องไปยังกระดาษสีชมพูในมือจั่วม่อ จากนั้นแย้มยิ้มออกมา “อ้อ ดรุณีน้อยผู้นั้นเอง”
จั่วม่อขนหัวลุกซู่ รู้สึกว่ารอยยิ้มของผูเยาเย็นเยียบจับใจ
“เจ้ารู้จักนาง?” มันถามอย่างระมัดระวัง
“รู้จัก?” ผู้เยาแย้มยิ้มอย่างมีความสุข จนดวงตาขวาสีเลือดหยีเป็นเส้นเดียว “แน่นอนว่าข้าย่อมรู้จักนาง” สายตามันพบตัวอักษรบนกระดาษในมือจั่วม่อ มันหัวร่อฮิฮะ อ่านทวนคำ “อสูรปิศาจ? เด็กหญิงผู้นี้น่าสนใจจริงๆ ข้าชอบนาง!”
ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวร่อกระหึ่มซึ่งแฝงไว้ด้วยความนัยอันลี้ลับ ผูเยาหายวับไป ปล่อยให่จั่วม่อยืนสับสนงุนงงอยู่ผู้เดียว
อันที่จริงจั่วม่อไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้าของนกกระเรียนกระดาษนี้ ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม เมื่อถูกบังคับข่มขู่ ความรู้สึกย่อมย่ำแย่ยิ่ง การสนทนาฉันท์มิตรก็เช่นเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นสิ่งที่มันแส่หาเองจริงๆ จั่วม่ออับจนหนทาง ไม่สามารถทำอะไรได้ สิ่งที่มันเป็นผู้ก่อย่อมต้องรับผลกรรมเอง!
ในวันถัดมา หลังจากจั่วม่อรู้สึกว่าพักผ่อนมากพอแล้ว มันก็กลับไปสู่ภารกิจอันรุ่งโรจน์สำหรับทำกำไรจิงสือของมัน คราวนี้มันหลอมกลั่นเม็ดยากล้าแกร่งเกรียงไกรรวดเดียวยี่สิบเม็ด แล้วส่งเม็ดยาทั้งหมดให้แก่หลี่อิงฟ่ง
หลี่อิงฟ่งมอบม้วนหยกอาคมหวงห้ามซึ่งนางเคยกล่าวถึงในครั้งก่อนให้แก่มัน และเตือนให้มันทราบ ว่าเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างมันกับห่าวหมิ่นแพร่สะพัดไปทั่วสำนักแล้ว ขอให้ระมัดระวังตัวให้มากไว้
เมื่อจั่วม่อได้ยินเรื่องนี้ มันตระหนักว่าชักไม่ค่อยเข้าท่าแล้ว แต่พอขบคิดเล็กน้อยก็สงบใจลงอย่างรวดเร็ว กับเรื่องราวประเภทนี้ คอยหลบเลี่ยงเสียก็ไม่มีอะไรแล้ว
แต่แล้วเมื่อมันกลับไปถึงปากทางเข้าหุบเขาลมตะวันตกของมัน ก็พบเห็นเศษซากย่อยยับของอาคมจำกัดที่มันก่อตั้งไว้ และเห็นศิษย์พี่หลัวหลีผู้ยืนหยิ่งยโสโอหังเหนือเศษซากเหล่านั้น
จั่วม่อสะดุดขาตัวเองแทบล้มฟาด